ทันใดนั้น สายตาที่ชายหนุ่มมองไป๋หลี่ซ่างเสียและเฮ่อเหลียนชิงเฉิงก็พลันเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง!
เขารู้สึกมาตั้งแต่แรกแล้วว่ามีบางอย่างดูไม่ชอบมาพากล แต่เขาไม่สามารถบอกได้ว่ามันคืออะไร
เจ้าเด็กเหลือขอสองคนนี้เงียบเกินไป
ยิ่งกว่านั้น พวกเขาก็ยังไม่เคยร้องไห้ออกมาเลยแม้แต่ครั้งเดียว
มิหนำซ้ำตอนพวกเขาอยู่แถวโรงเรียนอนุบาล เด็กคนหนึ่งก็ยังเคยพาเขาไปหาตำรวจมาแล้วด้วยซ้ำ
ถ้าไม่ใช่เพราะไหวพริบที่เขามี ป่านนี้เขาก็อาจจะถูกจับไปนานแล้ว
เด็กอายุสามขวบจะฉลาดถึงขนาดนั้นได้อย่างไร
ตอนเขาอายุสามขวบ ถ้ามีคนแปลกหน้ายื่นขนมให้เขา เขาย่อมเดินตามคนคนนั้นไปทันที และคงไม่มีความคิดที่จะวางกับดักเพื่อเล่นงานคนคนนั้นแม้แต่นิดเดียว
เรื่องที่เกิดขึ้นนี้เหมือนออกมาจากจินตนาการไม่มีผิด
วันเวลาก่อนหน้านี้ดำเนินไปอย่างราบรื่น แต่ตั้งแต่เจ้าเด็กเหลือขอสองคนนี้ปรากฏตัวขึ้น ชีวิตของเขาก็พลันต้องเผชิญกับปัญหามากมายนับไม่ถ้วน
สามคน.. มีคนตายไปแล้วถึงสามคน!
แต่เจ้าเด็กเหลือขอสองคนนี้กลับไม่ส่งเสียงสักแอะ
การตายอย่างกะทันหันและไร้สาเหตุนั้นไม่ได้ทำให้พวกเขาหวาดกลัวสักนิดเลยหรือ
ต่อให้พวกเขาไม่กลัว แต่เด็กที่ไหนจะมีสติรู้จักหยิบเงินออกจากกระเป๋าในสถานการณ์แบบนี้ได้
น่ากลัวเหลือเกิน ทุกอย่างน่ากลัวเกินไปแล้ว!
ไม่รู้ว่าทำไม แต่เขามักจะรู้สึกกดดันจนประสาทแทบเสียทุกครั้งที่ตกอยู่ภายใต้สายตาของเด็กสองคนตรงหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็กคนที่พวกเขาไม่ได้วางแผนจะลักพาตัวมา ดวงตาสีแดงดุดันของเขาทำให้เขาดูเหมือน.. เหมือนกับปีศาจ!
ไม่ผิดแน่!
ปีศาจเป็นสิ่งที่ผุดมาจากนรก แม้บรรยากาศที่มันแผ่ออกมาจะชั่วร้ายชวนให้รู้สึกอึดอัด แต่ก็ยังสง่างาม และมันสามารถฆ่าคนได้โดยไม่ลังเล!
ชายคนนั้นตัวสั่นเมื่อคิดได้เช่นนั้น ไม่ว่านี่จะเป็นเพียงสิ่งที่เขาคิดไปเองหรือไม่ แต่เขาก็ไม่อยากทำการซื้อขายในครั้งนี้อีกต่อไป
ชายคนนั้นไม่คิดให้เสียเวลา เขารีบวิ่งหนีไปจากที่นั่นพร้อมกับกระเป๋าเงินในมือทันที
โชคดีที่ทางสถานีเริ่มทำการตรวจตั๋วรถไฟที่เขากำลังจะขึ้นพอดี
ดังนั้นการที่เขารีบวิ่งออกไปเช่นนี้จึงไม่ได้ทำให้คนอื่นรู้สึกผิดสังเกตแต่อย่างใด
นอกจากนั้นพวกเขาก็อยู่กันที่สถานีรถไฟ ไม่ว่าเมืองแห่งนี้จะมีขนาดเล็กเพียงใด แต่คนที่ต่อแถวรอตรวจตั๋วก็ยังมีจำนวนไม่น้อยอยู่ดี
ไป๋หลี่ซ่างเสียมองร่างที่วิ่งหายไปท่ามกลางผู้คนในเวลาเพียงไม่กี่วินาที คิ้วเล็กๆ ของเขาย่นเข้าหากันในระหว่างที่ส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา
คิดจะหนีหรือ หึ งี่เง่าชะมัด ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ไม่เคยมีใครหนีจากเงื้อมมือของเขาพ้นสักคนเดียว
ยิ่งกว่านั้น เขาก็ยังจำเป็นต้องใช้เจ้าหนูทดลองตัวนี้เพื่อล่อคนที่ชักใยเรื่องทั้งหมดนี้ออกมา เขาตัดสินใจแล้วว่าจะกำจัดเจ้าคนพวกนี้ให้สิ้นซาก ดังนั้นเขาจะต้องทำให้ได้
เสี่ยวชิงเฉิงก็รู้สึกแบบนั้นเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงกระโดดลงจากที่นั่งโดยไม่ต้องรอให้ไป๋หลี่ซ่างเสียบอก เขาไม่ลืมที่จะจับมือของไป๋หลี่ซ่างเสียเอาไว้ในระหว่างที่ก้าวเตาะแตะออกไปข้างหน้าอย่างไม่มั่นคงนัก และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า ”ฉันรู้ว่าเขาขึ้นรถไฟขบวนไหน ตามเขาไปกันเถอะ”
เสี่ยวชิงเฉิงมีความสามารถในการจดจำสิ่งต่างๆ ได้ด้วยการเห็นเพียงครั้งเดียวมาตั้งแต่ยังเด็ก เขาจึงจดจำข้อมูลสำคัญเหล่านี้ได้ตั้งแต่ตอนที่นักค้ามนุษย์พวกนั้นส่งตั๋วรถไฟให้กัน เขาไม่ได้จำได้แค่เวลารถไฟ แต่ยังจำได้แม้กระทั่งหมายเลขที่นั่งและตู้โดยสารที่นักค้ามนุษย์นั่งได้อีกด้วย เขาสามารถยัดข้อมูลทั้งหมดนี้ไว้ในสมองเล็กๆ ของตัวเองได้โดยไม่ต้องพยายามเลยแม้แต่น้อย
สิ่งเดียวที่พวกเขากังวลก็คือการผ่านระบบรักษาความปลอดภัยที่อาจจะลำบากขึ้นเล็กน้อยนี้
เสี่ยวชิงเฉิงกระโดดขึ้นยืดคอมอง แต่เขาก็ยังมองไม่เห็นว่าสถานการณ์ข้างหน้าเป็นอย่างไร
เมื่อเห็นความพยายามในการกระโดดของเขา ไป๋หลี่ซ่างเสียจึงเอื้อมมือออกไปอุ้มเด็กชายขึ้น
แต่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าต่อให้เด็กสองคนจะต่อตัวกัน คนหนึ่งอยู่สูงกว่าอีกคน แต่ส่วนสูงโดยรวมของพวกเขาก็ยังเตี้ยกว่าเด็กมัธยมปลายอยู่ดี…
“ดูท่าว่าเราคงต้องใช้ตั๋วผี” เสี่ยวชิงเฉิงพึมพำกับตัวเองพร้อมกับจับมือไป๋หลี่ซ่างเสียแน่นแล้วจูงอีกฝ่ายเหมือนจูงเพื่อนตัวน้อยๆ มาหยุดยืนอยู่ที่หน้าคู่สามีภรรยาคู่หนึ่ง
หนุ่มสาวคู่นั้นสังเกตเห็นพวกเขาอยู่ก่อนแล้ว พวกเขาเห็นตอนที่เด็กคนพี่อุ้มแฝดคนน้องลงแล้วบอกให้เขานั่งอยู่นิ่งๆ ท่าทางของพวกเขานั้นน่ารักน่าชังอย่างยากจะปฏิเสธได้
ตอนนี้เมื่อเด็กทั้งสองมายืนอยู่ตรงหน้า พวกเขาจึงไม่สามารถข่มความรู้สึกที่อยากยื่นมือออกไปยีผมของเด็กชายคนน้องเอาไว้ได้
เสี่ยวชิงเฉิงรู้ว่าแผนการของเขาสำเร็จแล้ว เขาจึงเงยหน้าขึ้นยิ้มให้กับผู้หญิงที่ลูบศีรษะของเขาอยู่ในขณะที่พวกเขาก้าวสู่ชานชาลาอย่างเป็นธรรมชาติพร้อมกับฝูงชนที่หลั่งไหลเข้ามา
ไม่มีใครคิดที่จะตรวจตั๋วของเด็กทั้งสอง พวกเขาคิดง่ายๆ ว่าเด็กๆ มากับผู้ใหญ่ที่อยู่ด้านหลัง อีกทั้งพวกเขาก็ยังเตี้ยเกินกว่าจะจำเป็นต้องซื้อตั๋ว
มิหนำซ้ำหนึ่งในนั้นก็ยังเหมือนจะเดินไม่คล่องนัก เขาเอนหน้าเอนหลังทุกครั้งที่ก้าวเดิน
ไป๋หลี่ซ่างเสียกลัวว่าอีกฝ่ายจะสะดุดล้มจนได้แผลในช่วงเวลาเร่งด่วนเช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงรีบโน้มตัวลงช่วยจับอีกฝ่ายไว้ เด็กชายเคลื่อนสายตาลงขณะช่วยพับแขนเสื้อยาวๆ ให้เสี่ยวชิงเฉิง
“น่ารักจัง!”
“เขาเป็นพี่ชายที่รักน้องที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมาเลย ดูที่เขาดูแลน้องชายตัวเองสิ”
“เขาช่วยพับแขนเสื้อให้น้องด้วย! เธอว่าเขาจะรู้วิธีผูกเชือกรองเท้าให้น้องด้วยหรือเปล่า พี่น้องคู่นี้น่ารักกันจริงๆ เลย!”
เสี่ยวชิงเฉิงไม่ได้คิดมากกับเรื่องนี้นัก เวลาที่ไป๋หลี่ซ่างเสียบอกให้เขายกแขนซ้าย เขาก็จะยกแขนซ้ายขึ้น ถ้าเขาบอกให้เขายกแขนขวาขึ้น เขาก็จะทำตาม
ดวงตากลมโตของเขาเหลือบมองไปที่ด้านข้างของรถไฟ แต่ไม่รู้ว่าเขากำลังมองอะไรอยู่กันแน่ ผมบนศีรษะของเขาติดจะยุ่งเหยิงเล็กน้อย เส้นผมที่ชี้ฟูไม่เป็นทรงอย่างน่ารักนั้นทำให้เขาดูเหมือนเด็กที่ว่านอนสอนง่ายคนหนึ่ง
หลังจากพับแขนเสื้อให้เขาเสร็จ เขาก็ยื่นมือซ้ายออกไปแนบกับฝ่ามือข้างขวาของเขา
เมื่อเห็นภาพนี้ คนรอบตัวที่มองพวกเขาอยู่ต่างก็รู้สึกอยากดึงเด็กชายเข้ามากอดแน่นๆ สักที
การกระทำหลังจากนั้นของเสี่ยวชิงเฉิงไม่ได้ดูเซ่อซ่าอีกต่อไป