ตอนที่ 2 แตงที่ฝืนเด็ดจากต้นย่อมไม่หวาน
บรรยากาศภายในจวนสกุลซูที่อยู่อีกตรอกซอยตึงเครียดอย่างมาก
ในห้อง ฮูหยินใหญ่สกุลเซิ่งกับนายหญิงสกุลซูหารือเรื่องการแต่งงาน ในขณะที่รุ่นเด็กหลายคนยืนอยู่ตรงลานกว้างด้วยสีหน้าโกรธเคือง
“พี่รอง ทำไมพี่ไม่เข้าไปพูดกับท่านแม่ล่ะ หากท่านแม่ตกลงขึ้นมาจริงๆ จะทำอย่างไร” เด็กสาวในอาภรณ์ชุดเขียวดูเป็นกังวลและดึงชายเสื้อของเด็กหนุ่มเอาไว้
เด็กหนุ่มอายุราวสิบหกสิบเจ็ดคือซูเย่า คุณชายรองสกุลซู มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วเมืองจินซาในฐานะหนุ่มรูปงามราวกับพานอันและซ่งอวี้[1]
ซูเย่าลูบต้นอวี้หลานที่ดอกบานสพรั่งตรงลานกว้างพร้อมกับมองยังประตูเรือนด้วยแววตานิ่งสงบ
เด็กสาวอีกคนในชุดกระโปรงปักลายทับทิมตะคอกด้วยความโกรธ “พี่อย่าพูดจามั่วซั่วนะ คนอย่างลั่วเซิง ท่านแม่จะยอมตกลงได้อย่างไร”
คุณหนูใหญ่ซูกลอกตาใส่น้องสาวและเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ “อย่าลืมสถานะของลั่วเซิง!”
คุณหนูรองซูหยุดชะงักและกระทืบเท้าด้วยความโกรธ “แล้วอย่างไร สกุลซูเราก็ไม่ใช่ตระกูลธรรรมดางานแต่งของพี่รองก็ต้องถูกบังคับอย่างนั้นหรือ”
สกุลซูเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงของเมืองจินซา สืบทอดอาชีพเกษตรกรและนักปราชญ์จากรุ่นสู่รุ่น ในช่วงร้อยปีที่ผ่านมา ผลิตขุนนางที่ได้รับการแต่งตั้งในราชสำนักจำนวนมาก ไม่มีใครในท้องที่กล้าหาเรื่องพวกเขา
แต่บิดาของลั่วเซิงเป็นแม่ทัพใหญ่ คุมองครักษ์จิ่นหลิน จะสนใจเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร
คุณหนูใหญ่ซูคิดเช่นนี้จึงค่อนข้างหงุดหงิดกับไร้เดียงสาของน้องสาว
ขณะนี้ ซูเย่าเอ่ยว่า “น้องทั้งสองอย่าทะเลาะกันเลย เรื่องการแต่งงานขึ้นอยู่กับคำสั่งของพ่อแม่และคำพูดของแม่สื่อ ท่านแม่จะเลือกให้ข้าเอง”
เขาน้ำเสียงอ่อนโยน สีหน้านิ่งสงบ ทำให้เด็กสาวทั้งสองยิ่งร้อนใจ
“หากท่านแม่ตกลงขึ้นมาล่ะ” คุณหนูใหญ่ซูกัดริมฝีปากถาม
ซูเย่ามองยังประตูเรือนอีกครั้ง ดวงตาดูมืดมน “ก็ว่าตามท่านแม่”
“พี่รอง!” สองสาวตะโกนอย่างพร้อมเพรียงกัน
เสียงฝีเท้าอันเร่งรีบดังเข้ามา ทั้งสามมองไป เห็นน้องชายที่ยืนอยู่ตรงประตูวิ่งเข้ามา
น้องซูเล็กอายุเพียงแปดเก้าขวบ วิ่งจนแก้มแดงก่ำพลางตะโกนว่า “แย่แล้ว ลั่วเซิงมาแล้ว!”
ราวกับผู้มาเยือนไม่ใช่เด็กสาว แต่เป็นภัยพิบัติอันใหญ่หลวงอย่างนั้น
ซูเย่าลูบศีรษะน้องซูเล็กพลางเอ่ยเสียงอ่อนโยน “อย่าเรียกชื่อจริงของนาง ให้เรียกคุณหนูลั่วหรือพี่ลั่ว”
ขณะลั่วเซิงเดินเข้ามาก็ได้ยินเสียงอันแผ่วเบานี้พอดี
ดูอ่อนโยน แต่ขาดความอบอุ่น
คุณหนูรองซูรีบวิ่งไปยืนขวางหน้าซูเย่าและตะคอกว่า “เจ้ามาที่นี่ทำไม”
ลั่วเซิงมองนางที่ทำตัวราวกับผู้ผดุงความยุติธรรมมายืนขวางหน้าหญิงงามพลางตะคอกเสียงดังใส่พวกบ้าตัณหาที่หวังจะฉุดหญิงสาวชาวบ้าน
หญิงงาม…ดวงตาของลั่วเซิงจ้องซูเย่า
เด็กหนุ่มสวมชุดยาวสีขาวพระจันทร์ ผิวพรรณขาวผ่องดุจหยก ผมดำยาวราวกับอีกา รูปร่างผอมเพรียวสะดุดตาเสียยิ่งกว่าต้นอวี้หลานเสียอีก
ซูเย่ากำลังจะขมวดคิ้วก็พบว่าสายตาของลั่วเซิงได้เบนไปทางอื่นแล้ว
ลั่วเซิงจ้องประตูเรือนพลางเอ่ยว่า “ได้ยินมาว่าน้าสะใภ้ใหญ่มาหารือเรื่องงานแต่งของข้ากับฮูหยินซู ข้าเลยมาน่ะ”
คุณหนูรองซูโกรธจัดจนมือสั่น ชี้หน้าลั่วเซิงและด่าทอว่า “เจ้าพูดออกมาได้อย่างไร! ขู่ฆ่าตัวตายบีบบังคับให้สกุลเซิ่งมาสู่ขอฝ่ายชายไม่พอ ยังจะมาด้วยตัวเองอีก บนโลก…บนโลกนี้ทำไมถึงมีคนไร้ยางอายอย่างเจ้าอยู่ด้วย!”
น้ำตาคลอเบ้าเด็กสาวตัวน้อย
นางโกรธจนแทบเป็นบ้าแล้ว แต่ผู้ใหญ่กลับกำชับว่าอย่ายั่วโมโหลั่วเซิง โดยบอกว่าจะสร้างความเดือดร้อนให้กับสกุลซู
คุณหนูใหญ่ซูจับมือน้องสาวเอาไว้ ดูท่าทางสงบนิ่งกว่าเล็กน้อย “คุณหนูลั่ว ผู้ใหญ่กำลังหารือกันอยู่ เจ้ากลับไปรอฟังข่าวที่จวนเถิด”
สกุลซูไม่ต้อนรับเจ้า เจ้ายืนอยู่ที่นี่จะเป็นเสนียดแก่สกุลซู
คุณหนูใหญ่ซูไม่ได้เอ่ยคำพูดนี้ออกมา แต่ไม่รู้ว่าคำพูดนี้ผุดขึ้นในใจของนางมาแล้วกี่หน
“กลับไปกับข้า!” ลั่วเฉินที่ไล่ตามมาคว้าข้อมือของลั่วเซิงไว้ด้วยความโมโห
ลั่วเซิงกลับไม่ขยับ
ท่ามกลางการจ้องมองของพี่น้องสกุลซู ใบหน้าของลั่วเฉินรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมา เขากัดฟันเอ่ยเสียงเบา “ท่านจะอยู่ที่นี่ให้อับอายขายขี้หน้าต่ออย่างนั้นหรือ”
ลั่วเซิงตบศีรษะของลั่วเฉินพลางเอ่ยเสียงราบเรียบ “ข้าเข้าไปพูดอะไรเล็กน้อยก็จะกลับ”
เด็กหนุ่มอายุสิบสามปียังสูงไม่เต็มที่จึงเตี้ยกว่าลั่วเซิงหนึ่งนิ้ว และการกระทำเช่นนี้ของลั่วเซิงก็ดูสมัครสมานกลมเกลียวไม่น้อย
ทุกคนลืมที่จะมีปฏิกิริยาโต้ตอบ รวมถึงลั่วเฉินที่ถูกลูบศีรษะด้วย
จนกระทั่งแผ่นหลังของลั่วเซิงหายเข้าไปในประตูเรือน ลั่วเฉินที่รู้ตัวก็โกรธจนใบหน้าซีดขาว
นาง นางกล้าดีอย่างไรมาลูบศีรษะเขา!
สาวใช้หงโต้วที่ไม่ได้ติดตามเข้าไปอธิบายแทนลั่วเซิงด้วยรอยยิ้ม “คุณหนูของพวกข้าชอบคุณชายนะเจ้าคะ”
หากเป็นคนอัปลักษณ์ คุณหนูของพวกนางคงไม่แม้แต่จะเหลือบมอง แม้แต่น้องชายแท้ๆ ก็เช่นกัน
สีหน้าลั่วเฉินเปลี่ยนจากขาวผ่องเป็นสีแดงก่ำพร้อมกับอุทานอย่างเย็นชา “ไสหัวไปซะ!”
เขาอยากให้ลั่วเซิงชอบอย่างนั้นหรือ พี่สาวแบบนี้ สร้างความอับอายให้น้อยลงหน่อย ก็ขอบคุณมากแล้ว
“แค่กๆ” ลั่วเฉินกระแอมไอเพราะอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน
ลั่วเฉินร่างกายอ่อนแอจึงถูกส่งมายังเมืองจินซาที่มีสภาพอากาศดีเพื่อพำนักระยะยาวตั้งแต่เด็ก ทุกคนที่คุ้นเคยกับสกุลเซิ่งย่อมรู้เรื่องนี้ดี
พี่น้องสกุลซูเห็นดังนั้นก็รู้สึกเป็นห่วงจึงสอบถามขึ้นมา
ในเวลานี้ เซิ่งจยาอวี้ก็เดินทางมาถึง นางมองไปรอบๆ พลางเอ่ยถามว่า “ลั่วเซิงล่ะ”
คุณหนูใหญ่ซูตอบเสียงราบเรียบ “เข้าไปแล้ว…”
คุณหนูรองซูสนิทสนมกับเซิ่งจยาอวี้ไม่น้อยจึงตอบอย่างไม่ปิดบัง “พี่จยาอวี้ พวกพี่ทำไมถึงไม่ห้ามนาง ปล่อยให้นางบุกมาถึงจวนข้า เหอะ กลัวว่าท่านแม่ข้าจะไม่ยอมตกลง เลยมาเจรจาด้วยตัวเองเลยล่ะสิ”
คำพูดเหล่านี้ ทำให้ใบหน้าของเซิ่งจยาอวี้เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำด้วยความอับอาย ในขณะที่ลั่วเฉินแทบอยากแทรกแผ่นดินหนี
“ข้าจะพานางกลับจวนเอง!” ลั่วเฉินเดินเข้าประตูเรือนไป
ณ เรือนฝั่งตะวันออก ทั้งฮูหยินใหญ่สกุลเซิ่งและฮูหยินซูล้วนตกตะลึงกับการมาของลั่วเซิง
“หลานมาที่นี่ทำไมหรือ” ฮูหยินใหญ่สกุลเซิ่งเอ่ยถามเสียงนุ่ม แต่ในใจกลับเปี่ยมไปด้วยความขยะแขยง
นางอายุปูนนี้แล้วยังไม่เคยเห็นสตรีเยี่ยงนี้มาก่อน!
สกุลเซิ่งมีความสัมพันธ์อันดีกับสกุลซู สองตระกูลไปมาหาสู่กันมาตลอด นางมาเป็นแขกที่เรือนแห่งนี้นับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่เคยมีครั้งใดที่รู้สึกอึดอัดและเสียหน้าเช่นนี้เลย
หากมีคนมาเอ่ยทาบทามลูกชายนางให้กับหญิงเช่นลั่วเซิง นางคงหยิบแจกันเขวี้ยงใส่คนผู้นั้นไปแล้ว
ซึ่งบัดนี้นางเป็นคนทำสิ่งที่น่ารังเกียจนี้
แต่จะทำอย่างไรได้ ลั่วเซิงยอมแขวนคอตัวเองเพื่อคุณชายรองสกุลซู ไม่ว่าจะจริงหรือปลอม หากเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ สกุลเซิ่งจะอธิบายกับแม่ทัพใหญ่ลั่วว่าอย่างไร
ถึงเวลานั้น ยังไม่ต้องพูดถึงสกุลเซิ่ง เพราะแม้แต่สกุลซูก็คงไม่อาจหลุดพ้นจากการฆ่าล้างตระกูลเป็นแน่
ก็เพราะทราบผลลัพธ์เช่นนี้ ฮูหยินซูถึงกำลังจะพยักหน้าตอบตกลงอย่างไม่เต็มใจ
ลั่วเซิงมาทำอะไรในเวลานี้
ลั่วเซิงคุกเข่าแสดงความเคารพต่อฮูหยินใหญ่สกุลเซิ่งและฮูหยินซู “ท่านน้าสะใภ้ ข้ามาเรียกท่านกลับจวน”
ฮูหยินใหญ่สกุลเซิ่งตกตะลึงกับมารยาทของลั่วเซิงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “หลานรู้หรือไม่ว่าข้ามาที่นี่เพราะเหตุอันใด”
ลั่วเซิงมุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อย “ข้ารู้ว่าท่านน้าสะใภ้ใหญ่มาหารือกับฮูหยินซูเรื่องงานแต่งระหว่างข้ากับคุณชายรองซู แต่การแต่งงานครั้งนี้ยกเลิกเสียเถิด”
“ทำไมรึ” ท่ามกลางความตกตะลึง ฮูหยินใหญ่สกุลเซิ่งและฮูหยินซูเอ่ยถามเสียงเดียวกัน
เสียงประหลาดใจดังมาจากเซิ่งจยาอวี้และคนอื่นๆ ตรงบริเวณประตู
ลั่วเซิงยิ้ม “เพราะแตงที่ฝืนเด็ดจากต้นย่อมไม่หวาน ท่านน้าสะใภ้ เรากลับกันเถิด”
จนกระทั่งพวกลั่วเซิงเดินจากไป คุณหนูรองซูแสดงสีหน้าราวกับเห็นผีพร้อมกับเอ่ยด้วยความเหลือเชื่อ “นางก็รู้ว่าแตงที่ฝืนเด็ดจากต้นย่อมไม่หวานด้วยหรือ”
[1] พานอัน(潘安)และซ่งอวี้(宋玉)คือยอดชายงามแห่งประวัติศาสตร์จีน