ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 8 ล่องูออกจากถ้ำ

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 8 ล่องูออกจากถ้ำ

คุณหนูใหญ่เซิ่งจยาอวี้กับคุณหนูรองเซิ่งจยาหลานกำลังเดินไปตามทางเดินหินสีเขียวทิศทางเดียวกับลั่วเซิง

อายุของเด็กสาวทั้งสองไล่เลี่ยกัน สวมอาภรณ์ชุดผ้าแพรที่สวยประณีตเดินมาซึ่งเพิ่มสีสันให้กับสวนดอกแห่งนี้อย่างไม่ต้องสงสัย

เมื่อทั้งสองมองเห็นลั่วเซิง เสียงฝีเท้าก็หยุดชะงักพร้อมกัน

เซิ่งจยาอวี้คิ้วขมวดและจ้องลั่วเซิงอย่างระมัดระวัง

เซิ่งจยาหลานโค้งคำนับทักทายลั่วเซิง “พี่สาวอรุณสวัสดิ์”

ลั่วเซิงทักทายตอบและก้าวเท้าเดินไปข้างหน้าต่อ

เซิ่งจยาอวี้อดตะโกนเสียงดังไม่ได้ “จะไปที่ใดหรือ”

ลั่วเซิงหันกลับมามองนางและตอบเสียงราบเรียบ “เวลานี้ก็ต้องไปน้อมเคารพท่านยายน่ะสิ”

“น้อมทักทายท่านย่างั้นหรือ” แววตาของเซิ่งจยาอวี้เริ่มระแวดระวังตัวมากขึ้น กดเสียงลงต่ำและเอ่ยถามว่า “ลั่วเซิง เจ้ามีแผนอะไรกันแน่”

เซิ่งจยาหลานดึงชายเสื้อของเซิ่งจยาอวี้อย่างเบามือ “พี่หญิงใหญ่ พูดกับพี่สาวเขาดีๆ หน่อยเถิด”

ลั่วเซิงจ้องมองเซิ่งจยาอวี้แล้วหันมองเซิ่งจยาหลานและยิ้มในทันใด “มีแต่น้องหญิงใหญ่เท่านั้นที่เข้าใจข้า”

หลังจากพูดจบ นางเดินผ่านสองพี่น้องและก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

หงโต้วรีบเดินตาม แต่เมื่อนึกย้อนถึงคำพูดของเซิ่งจยาอวี้ นางก็รู้สึกโกรธไม่น้อยเลยหันกลับมาแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เซิ่งจยาอวี้

เซิ่งจยาอวี้โกรธจัดจนบิดผ้าเช็ดหน้าพลางเอ่ยอย่างไม่พอใจ “นางหมายความว่าอะไร”

เซิ่งจยาหลานเกลี้ยกล่อมเซิ่งจยาอวี้ พลันคิดถึงคำพูดที่ลั่วเซิงเอ่ยกับเซิ่งจยาอวี้เมื่อครู่นี้ ดวงตาของนางก็สั่นไหวอย่างร้อนใจ

“น้องหญิงรอง เจ้าได้ยินหรือไม่ นางบอกว่าข้าเข้าใจนาง นี่มันพาลหาเรื่องกันใช่หรือไม่”

เซิ่งจยาหลานคิ้วขมวดเล็กน้อย “พี่สาวน่าจะพูดด้วยอารมณ์น่ะเจ้าคะ”

“พูดด้วยอารมณ์อะไร วันนึงนางไม่สร้างปัญหา คงอยู่ไม่สุขน่ะสิ ไม่ได้การแล้ว ข้าต้องไปเตือนท่านย่าก่อน มิเช่นนั้นอาจถูกนางหลอกได้” เซิ่งจยาอวี้ลากเซิ่งจยาหลานไล่ตามนางไป

การมาเยือนของลั่วเซิงทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งประหลาดใจอย่างไม่ต้องสงสัย

“เซิงเอ๋อร์ยังไม่หายดี ทำไมวันนี้ถึงมาได้ล่ะ” ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งเอ่ยพลางใช้หางตาแอบมองนอกหน้าต่าง

แสงตะวันเจิดจ้านอกหน้าต่างและสายลมอันอบอุ่นพัดโชยมา

พระอาทิตย์ไม่ได้ขึ้นทางทิศตะวันตกสักหน่อย

ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งยิ่งประหลาดใจมากขึ้น แต่ใบหน้าไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจน

เพราะเป็นถึงหลานนอกของสายเลือดนางเอง ไม่ว่านางจะรังเกียจเพียงใดก็ทิ้งไม่ได้

ลั่วเซิงยิ้มเล็กน้อย “ดีขึ้นมากแล้ว สมควรแก่เวลาที่ต้องมาน้อมทักทายท่านย่าแล้วเจ้าค่ะ”

ริมฝีปากของฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งกระตุก อยากจะบอกเหลือเกินว่าไม่มาน้อมทักทายยังจะดีเสียกว่า แต่คำพูดนี้ติดอยู่แค่มุมปาก “เซิงเอ๋อร์ ขอบใจมาก”

เซิ่งจยาอวี้ยิ้มเยาะอยู่ด้านข้าง

ดวงตาดุจมีดอันคมกริบของฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งจ้องมองไป เซิ่งจยาอวี้ถึงปิดปากเงียบ

เมื่อลั่วเซิงจากไป ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งก็มืดมนลง “จยาอวี้ อย่าใช้สายตาเหยียดหยามมองลูกพี่ลูกน้องของเจ้า มีมารยาทหลงเหลืออยู่บ้างหรือไม่”

แม้หลานสาวคนโตจะมีนิสัยร่าเริง แต่ก็เป็นคนมีมารยาทงาม อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่หลานนอกมาก็อารมณ์เสียอยู่บ่อยครั้ง หรือคบคนพาล พาลพาไปหาผิดกัน

เซิ่งจยาอวี้กัดริมฝีปากน้อยใจ “ท่านย่า หลานมิใช่ไม่มีมารยาท แต่ข้ามีมารยาทกับคนอย่างลั่วเซิงไม่ได้จริงๆ เพราะอาเขยมีอำนาจคับฟ้า ก็ต้องให้หลานทำตัวต้อยต่ำ ยอมก้มหน้าให้กับพี่สาวหลานนอกอย่างนั้นหรือ”

ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งถูกต้อนถาม

สกุลเซิ่งและสกุลซูเป็นตระกูลเกษตรกรและนักปราชญ์ ความหยิ่งทะนงจึงอยู่ในสายเลือด

พวกเขาในฐานะผู้อาวุโสไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเด็กเมื่อวานซืน แต่ก็ไม่อยากเห็นลูกหลานของตนต้องลดตัวยอมก้มหัวให้กับคนมีอำนาจอย่างลั่วเซิง

“ท่านย่า ระหว่างทางมาเรือนฝูหนิง พวกเราพบกับลั่วเซิงเข้า ท่านไม่รู้หรอกว่านางพูดอะไรออกมาบ้าง”

เซิ่งจยาอวี้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างทางและเขย่าแขนของฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่ง “ท่านย่า ท่านลองฟัง เห็นได้ชัดว่านางมีแผนชั่วร้าย คิดทำอะไรแผลงๆ ท่านอย่าคิดว่านางร้องไห้ โวยวายและแขวนคอตายจะสงบเสงี่ยมเจียมตัว ท่านคิดผิดแล้ว”

เปลือกตาของฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งกระตุกหลังจากได้ยินถึงตรงนี้และเอ่ยถามอย่างห้วนๆ “จริงหรือ”

นางอายุปูนนี้แล้วทนโดนหลานนอกทรมานไม่ไหวหรอก

เซิ่งจยาอวี้พยักหน้าอย่างแรงพร้อมกับผลักเซิ่งจยาหลาน “น้องหญิงรอง เจ้าก็ได้ยินนี่”

เมื่อมองเห็นฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งมองมา เซิ่งจยาหลานก็พยักหน้าเล็กน้อย

ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งถอนหายใจเฮือกใหญ่ จ้องมองหลานสาวทั้งสองที่ราวกับดอกไม้และเอ่ยอย่างจนใจ “ไม่ว่าพี่สาวเขาทำอะไร พวกเจ้าทำตัวดีๆ ก็พอแล้ว กลับไปกันเถอะ”

เซิ่งจยาอวี้และเซิ่งจยาหลานเดินออกจากเรือนฝูหนิงและเดินไปที่เรือนพักของพวกนาง

“พี่หญิงใหญ่ พี่คิดว่าพี่สาวจะก่อเรื่องอีกงั้นหรือ”

“ไม่ใช่ข้าคิดอย่างนั้น แต่นางทำแน่นอน!” เซิ่งจยาอวี้ยิ้มเยาะและทันใดนั้นเองก็ลากเซิ่งจยาหลานไปหลบหลังดอกไม้และต้นไม้แล้วกระซิบว่า “ลั่วเซิงอยู่ริมทะเลสาบ”

จวนสกุลเซิ่งสร้างทะเลสาบเทียมขนาดเล็กไว้ในสวนดอก ข้างทะเลสาบปลูกต้นซิ่งกับต้นหลิว ผิวน้ำเขียวใส ทำให้เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการชมวิวทิวทัศน์

“นางไม่ชอบแม้แต่ต้นไม้ใบหญ้าทุกต้นของจวนสกุลเซิ่งเราไม่ใช่หรือ ทำไมถึงมานั่งชมทิวทัศน์อยู่ข้างทะเลสาบอย่างสบายใจเช่นนี้ได้” เซิ่งจยาอวี้รู้สึกแปลกๆ จึงชะเง้อคอมอง

ลั่วเซิงยืนหันหน้าเข้าทะเลสาบ หันศีรษะคุยกับหงโต้วเป็นระยะๆ

เซิ่งจยาหลานดึงชายเสื้อของเซิ่งจยาอวี้อย่างเบามือ “พี่หญิงใหญ่ เราไปกันเถอะเจ้าค่ะ ทำแบบนี้ไม่ดีนะ”

“ไม่ดีอะไร ข้าจะฟังว่าพวกนางพูดคุยอะไรกัน!” เซิ่งจยาอวี้สะบัดแขนเซิ่งจยาหลานและหลบซ่อนตัวอยู่ใต้ต้นดอกไม้และต้นไม้ต่อไป

เซิ่งจยาหลานยื่นมือที่ว่างเปล่าออกมาแล้วค่อยๆ กำมือเดินตามไป

บทสนทนาระหว่างสองนายบ่าวดังเข้าหูของสองพี่น้องอย่างชัดเจน

เมื่อได้ยินหงโต้วเอ่ยถึงซูเย่า เซิ่งจยาอวี้กับเซิ่งจยาหลานต่างแสดงสีหน้าตึงเครียดและเงี่ยหูฟัง

เสียงหัวเราะอันแผ่วเบาที่แฝงด้วยความไม่แยแสดังขึ้น แต่กลับดูไพเราะเป็นพิเศษ “ใครพูดล่ะ”

ดวงตาของหงโต้วเบิกโพลงและรู้สึกงุนงงอย่างยิ่ง “แล้วเหตุใดท่านถึงยกเลิกงานแต่งกับสกุลซูเล่า”

ลั่วเซิงหยิบกิ่งไม้ของต้นหลิวตีบนผิวน้ำของทะเลสาบอย่างสบายใจแล้วเหลือบมองสาวใช้น้อย “หงโต้ว เจ้าอยู่ที่นี่จนโง่ไปแล้วหรือ คุณชายรองสกุลซูก็หน้าตาหล่อเหลาอยู่แหละ แต่หากข้าแต่งงานกับเขาแล้วเจอชายหนุ่มที่รูปหล่อกว่าเขาล่ะจะทำอย่างไร”

ทันใดนั้น หงโต้วก็เข้าใจในทันที “คุณหนูพูดถูก ปล่อยให้คุณชายรองสกุลซูถ่วงท่านไว้ไม่ได้!”

คางเนียนขาวของลั่วเซิงเชิดขึ้นเล็กน้อย ดูหยิ่งผยองและอวดดี “ก็เป็นเช่นนั้นแหละ”

หงโต้วกะพริบตาและค่อนข้างลังเล “แต่ในเมืองจินซา ข้าไม่เคยได้ยินว่ามีชายหนุ่มคนไหนรูปงามกว่าคุณชายรองสกุลซูเลยนะเจ้าคะ”

ลั่วเซิงยิ้ม “ฉะนั้นข้าก็ไม่คิดปล่อยเขาไปอยู่แล้ว รอข้าหายดีสักกหน่อยก่อน เจ้าก็แอบทุบเขาให้สลบแล้วพามาหาข้า ดูซิว่าถึงตอนนั้นจะปฏิเสธข้าอย่างไร!”

พอได้ยินถึงตรงนี้ เซิ่งจยาอวี้ก็คิ้วขมวด แทบจะบุกเข้าไปโต้เถียงกับลั่วเซิงให้เสียรู้แล้วรู้รอด แต่ถูกซิ่งจยาหลานคว้าข้อมือนางไว้และใช้มืออีกข้างปิดปากนาง

เซิ่งจยาอวี้มองยังเซิ่งจยาหลานพลางกะพริบตาด้วยความงุนงง

เซิ่งจยาหลานส่ายศีรษะเล็กน้อยและกดเสียงลงต่ำ “พี่หญิงใหญ่อย่าหุนหันพลันแล่นไป หากพี่สาวโกรธขึ้นมาอาจทำสถานการณ์ให้แย่ลงและรีบไปหาเรื่องคุณชายรองซูทันทีก็ได้”

ขณะที่สองพี่น้องกำลังกระวนกระวายใจ ลั่วเซิงกลับโยนกิ่งของต้นหลิวลงไปในทะเลสาบแล้วเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ไปกันเถอะ”

ราวกับว่าสำหรับนางแล้ว การทำร้ายคุณชายรองสกุลซูก็เหมือนดั่งการโยนกิ่งของต้นหลิวทิ้งล้วนไม่มีค่าให้กล่าวถึงเลยสักนิด

“ช่างไร้ยางอายสิ้นดี!” หลังจากลั่วเซิงสองนายบ่าวเดินจากไปไกลแล้ว เซิ่งจยาอวี้โกรธมากจนถึงขั้นเตะต้นซิ่ง

ดอกซิ่งร่วงหล่นราวกับหิมะ

และท่ามกลางฝนดอกซิ่งฮวา สายตาของเซิ่งจยาหลานยังคงจ้องแผ่นหลังที่ห่างไกลออกไป แววตาค่อยๆ เย็นเยือกขึ้นมา

……………………………………………………………..

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท