ตอนที่ 22 ไม่เป็นแพะรับบาป
คุณหนูใหญ่ซูไม่คาดคิดว่าลั่วเซิงจะพูดเช่นนี้จึงตะลึงอยู่ที่เดิม
คุณหนูรองซูโกรธจัดจนโพล่งออกมาโดยไม่คิด “พี่หญิงของข้าเกรงใจเจ้าเพียงนี้ เจ้ายังต้องการอะไรอีก”
เหตุใดโลกนี้ถึงมีคนไร้มารยาทเช่นนี้
ลั่วเซิงมองคุณหนูรองซูด้วยสายตาเย็นชา “คนที่พูดไม่เกรงใจก่อนไม่ใช่คุณหนูรองซูหรือ พี่สาวเจ้าต้องมาขอโทษข้าแทนเจ้า ทว่าคุณหนูรองซูไม่เพียงแต่จะไม่ละอายใจที่ทำให้พี่หญิงลำบาก ยังมาใช้วาจาข่มข้า นี่มันเรื่องอะไรกัน”
“เจ้า…” คุณหนูรองซูโกรธจนใบหน้าแดงก่ำ เหน็บแนมกลับ “เช่นนั้นเจ้าทำกับข้าไม่เรียกว่าข่มกันหรอกหรือ ข้ายังไม่เคยเห็นผู้ใดที่ถูกขอโทษแล้วยังไม่ยอมลดละเลย!”
ลั่วเซิงพลันหัวเราะขึ้นมา แต่เสียงหัวเราะนั้นไร้ซึ่งความอบอุ่นแต่อย่างใด “เจ้าหัวเราะอะไร”
“หัวเราะเพราะเจ้าหน้าด้านนั่นแหละ” ลั่วเซิงเอ่ยเสียงราบเรียบ
“เจ้า…” คุณหนูรองซูโกรธจนตัวสั่น
ลั่วเซิงถามอย่างไม่รีบร้อน “ตามความคิดของคุณหนูรองซู คนที่ทำร้ายผู้อื่นแค่ขอโทษก็เพียงพอหรือ หากฝ่ายที่ถูกทำร้ายไม่ยอมรับ ผู้ที่ทำร้ายคนอื่นไม่เป็นอะไร แต่ผู้ที่ถูกทำร้ายกลับต้องถูกข่ม และต้องยอมปล่อยไปหรือ ข้าอยากรู้เสียจริงๆ ว่าคุณหนูรองซูซึ่งเป็นสตรีสกุลใหญ่มีความคิดไร้ยางอายเช่นนี้ได้อย่างไร”
คนที่คิดแบบนี้มีมากมาย ส่วนใหญ่เมื่อได้ยินก็มักจะถูกหลอกล่อ กลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดที่ยืนพูดโดยไม่ต้องเจ็บตัว
แต่ทว่านางไม่ใช่
นางคือท่านหญิงชิงหยาง
คุณหนูรองซูถูกต้อนถามจนพูดไม่ออก
แม้ว่าจะโกรธแค้นเต็มประดา แต่นางก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าคำพูดนั้นมีเหตุผลอยู่บ้าง
หากแต่การยอมรับก็เหมือนเสียหน้า นางได้สติเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะเสียงเย็น “เกือบจะถูกลวงด้วยคำพูดหวานหูพวกนั้นแล้ว แต่เจ้าก็บอกเอง นั่นเป็นเพราะคนที่ถูกทำร้ายไม่ยอมรับคำขอโทษ แต่ว่าใครทำร้ายเจ้ากันเล่า คำที่ข้าพูดนั้นล้วนเป็นความจริง”
“ความจริงหรือ” ลั่วเซิงเบนสายตามองไปยังเซิ่งจยาอวี้ที่ยังไม่ได้พูดอะไร
เซิ่งจยาอวี้ดวงตาไหววูบ น้ำเสียงเผยแววเว้าวอนออกมาหลายส่วนโดยไม่รู้ตัว “พี่หญิง ที่นี่คือประตูใหญ่ มีคนมากมายเฝ้าดูเราอยู่ เราเข้าไปด้านในก่อนเถิด”
หญิงสาวหลายคนงดงามราวกับดอกไม้น้อยๆ กลุ่มหนึ่งเริ่มมีปากเสียงกัน การกระทำเช่นนี้ทำให้ผู้คนสนใจได้ง่าย ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรก็เริ่มมีคนมากมายมายืนดู
ลั่วเซิงยิ้มเย็นที่มุมปาก “ดูเหมือนว่าน้องหญิงยังไม่ได้บอกความจริงกับคุณหนูซูทั้งสองสินะ”
“พี่หญิง!” เซิ่งจยาอวี้ดึงแขนลั่วเซิงด้วยความรีบร้อน “มีอะไรเราไปพูดข้างในดีกว่า ทะเลาะกันที่นี่เหมือนให้คนมองเราเป็นเรื่องตลก…”
ลั่วเซิงส่ายศีรษะ “น้องหญิงผิดแล้ว ข้าเป็นเรื่องตลกของทุกคนไปถึงไหนต่อไหน พบเจอเรื่องราวมามากกระทั่งรู้สึกว่าไม่สำคัญอะไรอีกแล้ว ยังจะกลัวเรื่องตลกอะไรอีกเล่า”
เซิ่งจยาอวี้ร้องด้วยความร้อนรน กัดปากจนเจ็บไปหมด “พี่หญิงไม่กลัวอะไรเลย แต่ไม่คิดถึงสกุลเซิ่งบ้างเลยหรือ”
“พี่จยาอวี้ ท่านกลัวนางทำไม นางอยากจะเสียหน้าก็ปล่อยให้นางเสียไป ตอนนี้ใครๆ ก็รู้ว่าจยาหลานไม่ได้ถูกส่งไปพักฟื้นเพราะป่วย แต่เป็นเพราะลั่วเซิงไม่ยอมรับนางเลยไล่นางไป!” คุณหนูรองซูไม่พอใจกับการอดทนของเซิ่งจยาอวี้จึงเอ่ยออกมาด้วยความแค้นเคืองต่อสิ่งที่ไม่เป็นธรรม
ผู้คนที่มามุงดูพากันวิพากษ์วิจารณ์
คุณหนูใหญ่ซูมองคุณหนูรองซูด้วยสายตาแข็งกร้าว ก่อนจะดึงนางไปทางด้านข้าง “น้องรอง นี่เป็นเรื่องของจวนสกุลเซิ่ง เจ้าอย่าพูดมาก!”
เซิ่งจยาอวี้ไม่ได้สนใจคำพูดของคุณหนูรองซู นางดึงลั่วเซิงไปทางประตูจวนสกุลเซิ่ง “พี่หญิง เราเข้าไปด้านในกันเถอะ”
ลั่วเซิงยืนนิ่งประหนึ่งเท้ามีรากฝังดิน ไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว
นางมองเซิ่งจยาอวี้ มุมปากโค้งขึ้นด้วยความเย้ยหยัน “น้องหญิงพูดผิดอีกแล้ว แม้ข้าจะไม่กลัวกลายเป็นเรื่องตลก แต่ไม่ได้หมายความว่าข้ายินดีที่จะเป็นตัวตลกให้ผู้อื่น”
ลั่วเซิงพูดจบก็ค่อยๆ ดึงแขนเสื้อออกจากมือเซิ่งจยาอวี้ พลางเบนสายตาเย็นชาไปทางคุณหนูรองซู
คุณหนูรองซูรู้สึกราวกับเข้าใจอะไรบางอย่าง ใจเต้นแรงขึ้นทันใด
ลั่วเซิงยิ้มบาง “ในเมื่อเซิ่งจยาอวี้ไม่ได้บอกความจริงกับเจ้า เช่นนั้นข้าจะบอกเจ้าเอง ความจริงก็คือเซิ่งจยาหลานไม่ได้ไปพักฟื้นเพราะป่วย แต่ถูกจวนสกุลเซิ่งขับไล่ออกจากตระกูล!”
“ทำไมกัน” คุณหนูรองซูถามออกมาทันใด
“เพราะวันนั้นนางผลักข้าลงไปในทะเลสาบของสวนจวนสกุลเซิ่ง และก่อนหน้านั้นยังใช้ยาทำให้ข้าสลบแล้วแขวนข้าไว้ที่คานเพื่อให้ดูเหมือนข้าแขวนคอตายอย่างไรเล่า!”
คำพูดนี้ทำให้ทั้งคุณหนูใหญ่ซูและคุณหนูรองซูสีหน้าเปลี่ยน ผู้คนที่มาดูก็ต่างพากันฮือฮา
ว่าอย่างไรนะ ไม่ใช่ว่าคุณหนูหลานนอกสกุลเซิ่งต้องการแต่งงานกับคุณชายรองซูจึงร้องไห้ โวยวายแล้วแขวนคอตายหรอกหรือ เหตุใดกลายเป็นว่าถูกคุณหนูรองเซิ่งวางแผนสังหารกันเล่า
“เป็นไปไม่ได้!” คุณหนูรองซูส่ายศีรษะอย่างแรง ก่อนจะหันไปมองเซิ่งจยาอวี้ “พี่จยาอวี้ นางกำลังบิดเบือนความจริง รีบอธิบายสิ!”
ในเวลานี้เซิ่งจยาอวี้ราวกับถูกฟ้าผ่า ในหัวมีเพียงความคิดเดียว จบแล้ว จวนสกุลเซิ่งกลายเป็นเรื่องตลกของเมืองจินชาแล้ว!
ความผิดปกติของเซิ่งจยาอวี้ทำให้คุณหนูใหญ่ซูหวาดหวั่น ก่อนจะรีบดึงคุณหนูรองซู “น้องรอง เรากลับกันเถอะ”
เหตุการณ์ที่ลั่วเซิงพูดอาจเป็นความจริง เพราะไม่อย่างนั้นเซิ่งจยาอวี้คงไม่แสดงออกเช่นนี้
หลังจากเรื่องนี้แพร่สะพัด ชื่อเสียงของจวนสกุลเซิ่งจะเสียหายแน่นอน การที่พวกนางสองพี่น้องมีส่วนเกี่ยวข้องจะมีอะไรดี หลังกลับไปต้องถูกผู้ใหญ่ตำหนิแน่นอน
คุณหนูรองซูก็รู้สึกตัวเช่นกัน แม้ว่าในใจจะไม่เชื่อก็ตาม แต่ไม่กล้าทะเลาะต่อไปอีก นางกัดริมฝีปาก ก่อนจะเอ่ย “พี่จยาอวี้ เช่นนั้นพวกเรากลับก่อนนะ…”
“เดี๋ยว” ผู้ที่พูดไม่ใช่เซิ่งจยาอวี้ที่งุนงงอยู่ แต่กลับเป็นลั่วเซิง
คุณหนูใหญ่ซูและคุณหนูรองซูมองใบหน้าสงบนิ้งของลั่วเซิง ความรู้สึกไม่ดีพลันแผ่ซ่านในใจ
ลั่วเซิงยิ้มเล็กน้อย “คุณหนูซูทั้งสองอย่าเพิ่งรีบไป ข้ายังพูดไม่จบ”
คุณหนูใหญ่ซูยิ้มแห้งๆ “เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องส่วนตัวของสกุลเซิ่ง ไม่จำเป็นต้องบอกพวกเราสองพี่น้องหรอก”
ลั่วเซิงมองคุณหนูใหญ่ซูด้วยแววตาคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “ยังคงต้องบอก ในเมื่อเรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับสกุลซูอยู่บ้าง”
คุณหนูรองซูโกรธจัด “ลั่วเซิง ต่อให้เจ้าจะป่าวประกาศเรื่องราวน่าอับอายของสกุลเซิ่งโดยไม่สนใจอะไร แต่เหตุใดต้องเอาสกุลซูเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย”
“ไม่ถึงกับเอาเข้าไปเกี่ยวข้องหรอก แต่จำเป็นต้องให้คุณหนูซูทั้งสองทราบ เซิ่งจยาหลานมุ่งร้ายกับข้าหลายครั้ง ก็เพราะซูเย่า พี่ชายของพวกเจ้า”
ซูเย่าเป็นผู้บริสุทธิ์จริงๆ หรือ
คิดถึงคุณหนูลั่วที่ผูกคอตายและคิดถึงแม่นางเฉียนที่ผูกคอตายเมื่อไม่นานมานี้ ลั่วเซิงเองก็สงสัยอยู่ในใจ
แต่ข้อสงสัยนั้นยังไม่เพียงพอที่จะทำให้นางดำเนินการอะไร
หลังจากลั่วเซิงพูดจบ นางก็พบว่าทั้งคุณหนูใหญ่ซูและคุณหนูรองซูยืนโง่งมไม่ขยับ เซิ่งจยาอวี้ก็ยังอยู่ในสภาพเดียวกัน ทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่างเปล่าเพราะคู่แข่งไร้น้ำยาเกินไป
นางถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเดินยกชายกระโปรงไปที่ประตูจวน
“หงโต้ว ไป”
“เจ้าค่ะ” หงโต้วขานรับ ก่อนจะเดินตามไปอย่างรวดเร็ว
สาวใช้วิ่งตามไปข้างๆ คุณหนูของตนพลางหันหลังกลับไปถ่มน้ำลายลงพื้น “ถุย คิดจะให้คุณหนูของข้าเป็นแพะรับบาปแทนเรื่องเลวร้ายของตนงั้นหรือ ฝันไปเถอะ!”
คุณหนูของนางเป็นคนที่จะยอมเป็นแพะรับบาปอย่างนั้นหรือ คนเหล่านี้ช่างโง่เขลาสิ้นดี!