ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 24 ปากเสีย

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 24 ปากเสีย

“ฮูหยินผู้เฒ่า หงโต้วนำอาหารมาให้แล้วเจ้าค่ะ”

ได้ยินคำรายงานจากไฉ่สยา ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งกระแอมเสียงเบาเพื่อรักษามารยาท “ตักข้าวมาเถิด”

ไฉ่สยาเริ่มวางอาหารที่ครัวใหญ่ส่งมา เห็นได้ชัดว่าหนึ่งในนั้นมีหมูสามชั้นน้ำแดงอยู่ด้วย

ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งมองแวบเดียวพลันรู้สึกไม่อยากอาหาร

ไม่ใช่ว่าหน้าตาอาหารไม่น่ากิน หรือรสชาติไม่ดี คนทำอาหารของสกุลเซิ่งไม่เคยทำอาหารแย่ แต่อาหารที่นางกินมานานหลายปี คือมาตรฐานเดิมๆ นางกินจนเลี่ยนและเบื่อแล้ว

เห็นอาการของฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่ง ไฉ่สยาก็รีบเปิดกล่องอาหารที่หงโต้วนำมา ก่อนจะหยิบโถดินเผาสีดำออกมา

เปิดฝาโถดินเผาที่มีลวดลายนกบนกิ่งบ๊วยสีดำ กลิ่นหอมพลันพุ่งทะลักออกมา

ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งยืดคอขึ้นมอง

โถดินเผาสีดำลึกล้ำนี้ มีหมูสามชั้นน้ำแดงที่มีสีราวหยกอำพันวางเรียงอย่างเป็นระเบียบ โรยด้วยหัวหอมซอยละเอียดสีเขียวอ่อน เพิ่มความน่ากินมากขึ้น

ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งใช้ตะเกียบจิ้มเบาๆ

ก้อนหยกสีน้ำตาลเข้มสั่นไหว ตะเกียบสามารถจิ้มเข้าไปได้ง่ายและสามารถคีบเนื้อส่วนที่มีไขมันทั้งเจ็ดชั้นมาได้

ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งดวงตาเป็นประกาย ไม่อาจห้ามใจจนต้องเอ่ยชม “เนื้อดี!”

จากนั้นก็กัดเข้าไป เนื้อส่วนที่ไม่มีไขมันแน่นแต่ไม่แข็ง ส่วนไขมันชุ่มฉ่ำแต่ไม่เลี่ยน ส่วนหนังมีความเหนียวนุ่ม รสหวานพอเหมาะกำลังพอดีทำให้รสชาติวิเศษยิ่งขึ้น

ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งหลับตาไม่พูดอะไร

ไฉ่สยาที่คอยปรนนิบัติอยู่ด้านข้างปกติจะสุขุมหนักแน่น ทว่าตอนนี้กลับอดกลืนน้ำลายไม่ได้

รสชาติเป็นอย่างไรบ้าง ท่านบอกข้าหน่อยสิ!

ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งไม่ได้สนใจหรือมีเวลาว่างจะมาสื่อสารกับสาวใช้ รีบหยิบอีกชิ้นขึ้นมากินทันที

หยิบชิ้นอื่นขึ้นมาอีกครั้ง…

ไม่นานตะเกียบของนางก็คีบอาหารในชามจนหมด

ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งกะพริบตาอย่างไม่อยากเชื่อ “หมดแล้วหรือ”

นางจำได้ว่าเพิ่งจะเริ่มกินเอง

ไฉ่สยารีบเอ่ย “ท่านกินไปหกชิ้นแล้วเจ้าค่ะ กินเยอะเกินไปอาจจะไม่ย่อยได้”

ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งจ้องมองโถว่างๆ ด้วยความเศร้า กินแล้วย่อยไปแล้ว พวกเจ้าจะมากังวลสิ่งใดกัน!

สุดท้าย นางเทข้าวสวยลงในโถดินเผาสีดำ คนเข้ากับน้ำเคี่ยวข้น ก่อนจะตักขึ้นมา

ไม่นานฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งก็สั่งไฉ่สยาอย่างเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง “เอาข้าวมาเพิ่มอีกชามหนึ่ง”

เมื่อเทียบกับความสุขของฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งแล้ว ด้านสกุลซูกลับมีบรรยากาศเคร่งเครียด

ฮูหยินซูจับผ้าเช็ดหน้า ตัวสั่นด้วยความโกรธ “คุณหนูลั่วคนนั้นคงเป็นดาวโชคร้ายของสกุลซูเราแน่ ไฉนพอเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับนางถึงไม่เคยมีเรื่องดีเลย!”

พูดจบ นางก็มองไปที่บุตรสาวทั้งสองที่คุกเข่าอยู่ข้างหน้าด้วยความโกรธ “พวกเจ้าทั้งสองก็เหมือนกัน รู้ว่าคุณหนูลั่วเป็นจอมปีศาจแห่งความวุ่นวาย เหตุใดยังไปเข้าใกล้นางอีก”

หากไม่ใช่บุตรสาวคนเล็กทำเกินไปก็คงไม่ทำให้บุตรชายคนรองต้องเข้าไปพัวพันด้วยหรอก!

“เป็นความผิดของลูกเองเจ้าค่ะ ลูกควรจะพาน้องสาวกลับจวนเร็วกว่านี้…”

คุณหนูรองซูที่คุกเข่าอยู่ข้างๆ คุณหนูใหญ่พูดด้วยดวงตาแดงก่ำ “ไม่เกี่ยวกับพี่หญิงใหญ่ ปัญหาเกิดจากข้า ท่านจะลงโทษก็ลงโทษข้าเถอะเจ้าค่ะ”

ซูเย่าเอ่ยปาก “ท่านแม่ อย่าตำหนิน้องๆ เลย น้องรองเป็นเพื่อนสนิทกับคุณหนูรองเซิ่งมาตั้งแต่เด็ก นางเพียงรู้สึกไม่เป็นธรรมแทนอีกฝ่าย ใครจะคาดคิดว่าจะมีเส้นสนกลในเช่นนี้”

ฮูหยินซูหัวเราะเสียงเย็น “เดิมข้าคิดว่าสกุลเซิ่งเป็นตระกูลซื่อสัตย์ผ่าเผย ตอนนี้เห็นแล้วเป็นเพียงความดีแค่เปลือกเท่านั้น จากนี้ไปพวกเจ้าไม่ต้องไปมาหาสู่สกุลเซิ่งมากนัก”

คุณหนูใหญ่ซูและคุณหนูรองซูตอบรับพร้อมกัน

ฮูหยินซูเช็ดน้ำตาที่หางตา มองลูกชายด้วยความเจ็บปวด “แม่เสียใจที่เจ้าต้องมาเผชิญเรื่องไม่ดีเช่นนี้”

ซูเย่ายิ้มอย่างไม่ยี่หระ “ลูกไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้หรอกขอรับ อีกอย่าง ลูกเป็นชาย เรื่องพวกนี้ก็แค่เรื่องที่นินทากันไป ผ่านไปแล้วก็หายไป เหตุการณ์เหล่านี้ไม่ได้ส่งผลต่อลูก”

ฮูหยินซูพยักหน้าอย่างอดกลั้น ทว่าก็ถูกความวุ่นวายที่เกิดขึ้นโดยไม่จำเป็นนี้ทำให้จิตใจขุ่นมัว ยามดึกก็พลิกตัวไปมา พอลุกขึ้นมากลางดึกก็โดนลมหนาวจนล้มป่วยลง

เรื่องเลวร้ายของคุณหนูรองเซิ่งกลายเป็นหัวข้อที่ผู้คนในเมืองจินซาพูดถึงหลังมื้ออาหาร ทำให้คนในจวนสกุลเซิ่งแทบไม่อยากออกจากบ้าน

ลั่วเซิงไม่ได้รับผลกระทบใดจากตระกูลเซิ่งเลย

หรือบอกได้ว่า ในมุมมองของนาง เป็นเซิ่งจยาหลานที่ทำให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น ในทางกลับกันการตำหนิเหยื่อต่างหากกลับเป็นเรื่องไร้สาระน่าขัน

แต่หลายคนกลับไม่คิดเช่นนั้น

หงโต้วถือถุงเงินเดินเข้ามาในเรือนซักผ้าจึงได้ยินคำนินทาเข้าพอดี

“คุณหนูหลานนอกก็ไม่คิดถึงจวนสกุลเซิ่งเลย ทำให้เราไม่กล้าโงหัวตอนออกไปข้างนอก…”

เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหว เหล่าสาวใช้แม่เฒ่าที่กำลังตากผ้าก็พากันหันไปมอง พอเห็นใบหน้าดุร้ายโหดเหี้ยมของหงโต้วก็พลันตกใจ

ไม่นาน สาวใช้แม่เฒ่าที่หัวไวหน่อยก็หันมาหัวเราะแห้งๆ ให้ “พี่หงโต้วนำผ้ามาส่งซักหรือ”

หงโต้วหน้าเครียดมองพวกสาวใช้แม่เฒ่าเหล่านั้น ถามเสียงเครียด “ผู้ใดเป็นคนเอ่ยเมื่อครู่”

เหล่าสาวใช้แม่เฒ่าหันไปมองแม่เฒ่าที่มีใบหน้ายาว

แม่เฒ่าคนดังกล่าวตบปากตัวเอง “ปากเสียๆ ของข้านี่นะ พูดจาไร้สาระไปเรื่อย พี่หงโต้วอย่าถือสายายแก่อย่างข้าเลยนะ…”

หงโต้วจ้องมองแม่เฒ่าอย่างละเอียด พลางลากเสียงยาวเอ่ย “เป็นเจ้าเองหรือ”

แม่เฒ่านึกตระหนกอยู่ในใจ ตบปากตัวเองไปพลางขอโทษไปพลาง “เป็นข้าเอง ท่านเป็นผู้ใหญ่อย่าถือโทษผู้น้อยเลย คิดเสียว่าข้าก็แค่ผายลม…”

ไม่กี่วันก่อน มีบ่าวรับใช้หลายคนถูกลงโทษเพราะแพร่ข่าวลือเรื่องคุณหนูรองถูกคุณหนูหลานนอกรังแก แม้พวกบ่าวรับใช้ในจวนสกุลเซิ่งจะรู้สึกไม่ปลอดภัย แต่การนินทาลับๆ เช่นนี้เป็นเรื่องที่ไม่อาจหยุดยั้งได้

แม่เฒ่าผู้นี้แค้นใจนักที่ตนดันโชคร้ายถูกจับได้

หากหงโต้วทำให้เรื่องใหญ่โตขึ้นมา นางและครอบครัวก็คงจะจบสิ้นแล้ว

เมื่อนึกถึงเช่นนั้น แม่เฒ่าหน้ายาวก็ตบปากตัวเองแรงขึ้น

“ในเมื่อเป็นเจ้า เรื่องวันนี้ก็ให้แล้วกันไป” หงโต้วพูดด้วยใบหน้าเย็นชา ทำให้แม่เฒ่ารวมทั้งบรรดาสาวใช้อึ้งไป

สาวใช้ของคุณหนูหลานนอกพูดง่ายเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน

พวกนางเคยได้ยินว่า แม้แต่เหล่าคุณหนูยังไม่กล้าตีพี่ใหญ่หงโต้วเลย พวกนางฐานะต่ำชั้นเช่นนี้ยิ่งแล้วใหญ่

หงโต้วดึงถุงเงินออกมาจากชายเสื้อยัดใส่ในมือแม่เฒ่าพร้อมเอ่ยเตือน “นี่คือรางวัลที่คุณหนูของพวกข้าให้เจ้า คราวหน้าก็ควบคุมปากเสียๆ ของตัวเองไว้ให้ดี”

หลังพูดจบ นางก็จ้องพวกสาวใช้แม่เฒ่าทีละคนก่อนจะเดินออกไป

หลังปิดประตู พวกสาวใช้แม่เฒ่าต่างจ้องมองถุงผ้าในมือแม่เฒ่าหน้ายาว

“เปิดดูสิ คุณหนูหลานนอกให้อะไรเจ้า”

แม่เฒ่าเองก็สงสัยเช่นกันจึงเปิดถุงผ้าออกตามสัญชาตญาณ

ใบไม้ทองกองหนึ่งอัดแน่นอยู่ในถุงผ้า เปล่งประกายทิ่มแทงนัยน์ตาภายใต้แสงแดด

พวกนางนิ่งอึ้งไปคล้ายไก่ไม้จนเมื่อแม่เฒ่ารีบยัดถุงผ้าเก็บใส่ในอกอย่างรวดเร็ว พวกนางถึงได้สติกลับมา

“ทอง ทอง ใบไม้ทองคำ! เหตุใดคุณหนูหลานนอกถึงให้ใบไม้ทองคำกับเจ้าได้”

แม่เฒ่าถือเงินจำนวนมากแข้งขาอ่อนแรง นั่งลงไปกองกับพื้น สับสนอยู่สักพักก่อนจะหยิกต้นขาแรงๆ

ความเจ็บทำให้นางได้สติกลับมาเร็วขึ้น “บางที…บางทีอาจเป็นเพราะวันนั้นข้าช่วยคุณหนูหลานนอกขึ้นจากสระน้ำ…”

วันนั้นนางเผอิญเดินผ่านไปพอดี หลังจากคุณชายหลานนอกหมดแรงจึงได้ช่วยลั่วเซิงขึ้นฝั่ง แต่หลังจากได้รับคำชมจากฮูหยินใหญ่และเงินรางวัลสองตำลึง นางก็คิดว่าเรื่องนี้จบลงแล้ว ไม่คิดว่าคุณหนูหลานนอกจะ…

ทันใดนั้นแม่เฒ่าพลันตบหน้าตัวเองด้วยแรงที่มากขึ้นกว่าเดิม “ปากเสียๆ ของข้านี่นะ ปากเสียๆ ของข้านี่นะ…”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท