ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 31 สถานที่เดิม

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 31 สถานที่เดิม

ลั่วเซิงหลับตาฟัง ความเศร้าโศกในใจมิอาจเอื้อนเอ่ยออกมาได้

ใช่ ช่างโง่เหลือเกิน

ค่ำคืนนั้นลมแรง ราตรีมืดมิด นางในชุดแต่งงานขี่ม้า รีบกลับบ้านอย่างเร็วที่สุด โดยมีเว่ยเชียงในชุดแต่งงานไล่ตามมา

นางเห็นโคมไฟสีแดงแขวนห้อยอยู่ใต้ชายคาหน้าจวนเจิ้นหนานอ๋อง และเห็นทหารถือดาบคมกริบปิดล้อมจวนเจิ้นหนานชั้นแล้วชั้นเล่า

เสียดายที่นางไม่ทันได้พบเสด็จพ่อ เสด็จแม่และน้องชายที่ยังเป็นทารกก็ร่วงลงมาจากหลังม้าและล้มลงต่อหน้าผู้นำที่สั่งการปิดล้อมจวนอ๋อง

ความเจ็บปวดหลังจากถูกลูกธนูแทงทะลุหัวใจไม่อาจเปรียบได้กับความโศกเศร้าไร้สิ้นสุด

สามีหมาดๆ ของนางฆ่านางตายที่หน้าประตูจวน ไม่ยอมให้นางกลับไปรวมตัวกับสมาชิกในตระกูลด้วยซ้ำ

นางพยายามดิ้นรนคลานไปข้างหน้า และเมื่อเผชิญหน้ากับสีหน้าอันตกตะลึงของผู้นำที่มาปิดล้อมจวนอ๋อง ความเดือดพล่านในตัวนางก็ปะทุขึ้น แต่กลับไม่มีโอกาสปีนป่ายผ่านประตูนั้นไปได้

นางหลับตาลงด้วยความเคียดแค้นและความเสียดายอย่างสุดซึ้ง เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งก็ได้กลายเป็นคุณหนูลั่วไปแล้ว

ในขณะที่เว่ยเชียงคู่หมายตั้งแต่วัยเยาว์ของนาง สามีหมาดๆ ของนางก็ได้กลายเป็นองค์รัชทายาทและเป็นชายสูงศักดิ์อันดับสองของต้าโจว

ลั่วเซิงรวบรวมพละกำลังทั้งหมดสงบสติอารมณ์แล้วยิ้มอย่างสบายๆ ให้กับขอทานเฒ่า “ฉะนั้น สามีของท่านหญิงเลยกลายเป็นพ่อหม้ายในวันแรกของการแต่งงาน…”

จู่ๆ สีหน้าของขอทานก็เปลี่ยนไป “คุณชายอย่าพูดจาซี้ซั้ว!”

เห็นแก่เศษเงินหรอกนะ ขอทานเฒ่าจึงกดเสียงเอ่ย “คุณชาย ท่านเอาแต่ร่ำเรียนเลยไม่ค่อยรู้เรื่องภายนอกใช่หรือไม่ สามีของท่านหญิงเป็นถึงองค์รัชทายาทเชียวนะ”

“องค์รัชทายาทปัจจุบันคือสามีของท่านหญิงงั้นหรือ” ลั่วเซิงดูประหลาดใจ “แต่ท่านหญิงไม่ได้แต่งออกไปยังจวนผิงหนานหรอกหรือ”

นางพูดพร้อมยัดเศษเงินให้อย่างเงียบๆ

หากมีเงินจะทำอะไรก็ย่อมได้ทั้งนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเรื่องนี้คนที่มีอายุในเมืองหนานหยางล้วนทราบกันดีอยู่แล้ว ขอทานเฒ่าเก็บเงินแล้วเอ่ยอีกครั้ง “องค์รัชทายาทมีความดีความชอบ หลักฐานที่เจิ้นหนานอ๋องสมคบคิดกับศัตรูและคิดกบฏ องค์รัชทายาทเป็นคนหาเจอที่จวนเจิ้นหนานอ๋อง ต่อมาเชื้อพระวงศ์ต้องการเลือกผู้สืบเชื้อสายจากตระกูลให้เป็นองค์รัชทายาทจึงเลือกผิงหนานอ๋องซื่อจื่อในขณะนั้นซึ่งก็คือองค์รัชทายาทคนปัจจุบัน…”

เรื่องนี้หากถามผู้คนจากที่อื่นหรือแม้แต่ชาวเมืองหลวง เกรงว่าอาจรู้ไม่มากนัก แต่เมืองหนานหยางนั้นแตกต่างสิ้นเชิง

ขอทานเฒ่าไม่ใช่ขอทานตั้งแต่แรก แต่โศกนาฏกรรมเมื่อสิบสองปีก่อนเปลี่ยนแปลงไม่เพียงแต่จวนเจิ้นหนานอ๋องเท่านั้น แต่ยังรวมถึงชะตากรรมของผู้คนจำนวนมากด้วย

ลั่วเซิงนิ่งเงียบไปพักใหญ่ จากนั้นก็เผยรอยยิ้มจางๆ “ข้าเข้าใจแล้ว องค์รัชทายาททรงกล้าหาญและมีไหวพริบเสียจริงเชียว”

หลังจากถามในสิ่งที่อยากรู้แล้ว ลั่วเซิงก็เปลี่ยนใส่เสื้อผ้าชุดเดิมและเดินไปยังโรงเตี้ยมพร้อมกับหงโต้วอย่างช้าๆ

“หงโต้ว”

“มีอะไรหรือ คุณหนู”

“เจ้าคิดว่าองค์รัชทายาทเป็นคนแบบไหน”

หงโต้วมองไปรอบๆ และลดเสียงตอบว่า “บ่าวมีอะไรก็ไม่เคยปิดบังคุณหนูอยู่แล้ว ในอดีต บ่าวคิดว่าองค์รัชทายาทโชคดีมากแล้วก็มีเมตตามากด้วย”

“ตอนนี้ล่ะ”

หงโตวเม้มริมฝีปาก “ตอนนี้ บ่าวคิดว่าองค์รัชทายาทเป็นพวกเศษสวะ ท่านหญิงท่านนั้นน่าสงสารเหลือเกิน”

ดวงตาของลั่วเซิงสั่นไหว กลั้นน้ำตาเอาไว้

นางชอบสาวใช้หงโต้วผู้นี้มาก

“แต่ว่า…”

“แต่อะไร”

หงโต้วกัดริมฝีปากและเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ “องค์รัชทายาทพบหลักฐานที่แสดงว่าเจิ้นหนานอ๋องร่วมมือกับศัตรูและคิดก่อกบฏตั้งแต่แรกแล้ว แต่เขายังแต่งงานกับท่านหญิงราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลังจากแต่งงานกับเขาแล้วเขาก็สังหารท่านหญิงด้วยตัวเอง ท่านหญิงมองชายโหดร้ายอำมหิตผู้นี้ไม่ออกหรืออย่างไร”

ลั่วเซิงเอ่ยด้วยสีหน้านิ่งสงบ “บางทีนางอาจจะตาบอดก็ได้”

สาวใช้พยักหน้าอย่างแรง “นางคงตาบอดจริงๆ ไม่เหมือนคุณหนูที่ฉลาดหลักแหลม”

ลั่วเซิงโค้งริมฝีปากยิ้ม แต่ยิ้มไปไม่ถึงดวงตา

ขอบคุณสวรรค์ที่ให้โอกาสนางได้เป็นคนฉลาดหลักแหลม

เว่ยเชียง เจ้ารอก่อนเถอะ

ลั่วเซิงและคุณชายสามเซิ่งนัดพบกันที่โรงเตี๊ยมและเขาก็ไปริมถนนเผากระดาษเป็นเพื่อน

เทศกาลเชงเม้งใกล้เข้ามาถึงแล้ว ผู้คนที่เดินทางอยู่ข้างนอกเผากระดาษข้างถนนเพื่อแสดงกตัญญูกับผู้เสียชีวิตจึงไม่ค่อยดึงดูดความสนใจของทุกคนเท่าไหร่

รอจนเงินกระดาษถูกเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน คุณชายสามเซิ่งก็มองสำรวจใบหน้าของลั่วเซิง และเกลี้ยกล่อมว่า “น้องหญิง พวกกลับกันเถอะ”

เขารู้สึกเสมอว่าเงินกระดาษที่เพิ่งเผาไปนั้น เป็นเพียงครึ่งหนึ่งของที่เขาซื้อ แต่เขาไม่มีหลักฐาน และไม่กล้าเอ่ยถามด้วย

อะแฮ่ม บางอาจเป็นเพียงภาพลวงตา เพราะท้ายที่สุด วิชาเลขเป็นวิชาที่เรียนได้ไม่ดีเท่าใดนัก

ลั่วเซิงจ้องมองไปยังเงินกระดาษที่ไหม้เป็นเถ้าถ่านและก่อตัวเป็นผีเสื้อสีเทาบินวนบริเวณโดยรอบแล้วพยักหน้าเบาๆ “อืม กลับกันเถอะ”

แสงยามค่ำคืนเริ่มมืดมนลง พระจันทร์เสี้ยวก็ลอยสูงตระหง่านอยู่บนยอดไม้อย่างเงียบๆ ให้ความรู้สึกเงียบเหงาและเยือกเย็น

ลั่วเซิงในอาภรณ์ชุดดำตลอดร่างเดินออกจากห้องและออกไปจากโรงเตี๊ยมอย่างราบรื่น

ถนนตรอกซอยว่างเปล่า เสียงระฆังในยามราตรีลอยแว่วมาแต่ไกล

“ช่วงยามจื่อ[1] ทุกคนแคล้วคลาดปลอดภัย…”

ถือว่าดึกมากแล้ว โดยเฉพาะเมืองเล็กที่ห่างไกลจากความเจริญและความครึกครื้น

ลั่วเซิงวิ่งด้วยฝีเท้าแผ่วเบาไปตามริมถนน ในไม่ช้าก็มาถึงหน้าจวนที่ทรุดโทรม

สิงโตหินหน้าประตูยังคงองอาจ แต่ไม่หลงเหลือความสดใสในอดีตอยู่แล้ว

นางเดินวนรอบกำแพงพักใหญ่ถึงหยุดเดิน ถอยหลังกลับหลายก้าว ใช้การวิ่งเป็นแรงส่งเพื่อปีนกำแพง แล้วกระโดดเข้าไปด้านในอย่างง่ายดาย

ลั่วเซิงยืนทรงตัวมั่นและมองไปรอบๆ

ตรงหน้าพื้นที่รกร้างว่างเปล่า

หญ้าเขียวชอุ่มสูงเท่าเอวมนุษย์ ต้นไม้บดบังแสงอาทิตย์บังท้องฟ้า มีเสียงแมลงร้องประสานเสียงเป็นบทเพลงในยามราตรี

ลั่วเซิงเดินเข้าไปทีละก้าว ร่างกายรู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัว

สรรพสิ่งยังเหมือนเดิม แต่คนเปลี่ยนไป ชีวิตก็แค่นี้

บางทีอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญหรืออาจจะเป็นลิขิตของสวรรค์ คืนนี้เมื่อสิบสองปีที่ก่อนเป็นช่วงเวลาที่เหตุการณ์นองเลือดปะทุขึ้น

วันนั้นเป็นวันที่นางออกเรือนและเป็นวันครบรอบการเสียชีวิตของคนทั้งตระกูลแม้กระทั่งตัวนางเอง

ลั่วเซิงแตะถุงที่คล้องแขนไว้ ด้านในมีกระดาษเผาที่คุณชายสามเซิ่งซื้อไว้ให้

บัดนี้ นางยังทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าเผาเงินกระดาษไปให้ญาติพี่น้อง บอกกล่าวกับพวกเขาว่านางยังมีชีวิตอยู่

พื้นผิวทะเลสาบที่ครั้งหนึ่งเคยใสจนเห็นก้นสระตอนนี้เต็มไปด้วยกิ่งก้านและใบไม้ที่แห้งเหี่ยว ส่งกลิ่นเน่าเหม็นจางๆ ลอยเข้าสู่จมูกผู้คน

ลั่วเซิงหยุดอยู่หน้าหอปักผ้าริมทะเลสาบ

นั่นคือห้องนอนของนาง แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องกลับไปยังสถานที่เดิมอีกแล้ว

ที่นั่นบันทึกช่วงวัยเยาว์ที่มีความสุขที่สุดของนางเอาไว้ รวมถึงความตึงเครียดและความคาดหวังก่อนนางออกเรือนเอาไว้ด้วย

ในสายตาของชาวเมืองหนานหยาง นางเป็นท่านหญิงชิงหยางผู้สูงศักดิ์ แต่เมื่อเอ่ยถึงเรื่องออกเรือนกลับไม่แตกต่างจากเด็กสาวทั่วไป

เว่ยเชียงเป็นสามีที่พ่อแม่เลือกให้นาง เขาไม่ได้อัปลักษณ์หรือนิสัยไม่ดีและรู้จักกันมานาน นางจึงไม่มีเหตุผลที่จะขัดขืน

ในเวลานั้น นางเอนตัวลงบนม่านกั้นปักลายตรงหัวเตียง เคยคิดว่าในอนาคตนางกับเว่ยเชียงจะครองรักกันเหมือนดั่งท่านพ่อและท่านแม่หรือไม่

ใครจะรู้ว่าไม่มีอนาคตนี้อีกต่อไปแล้ว

ลั่วเซิงก้มศีรษะจ้องมองนิ้วเรียวยาวและหัวเราะเยาะตัวเอง

และใครจะรู้ว่าตอนนี้นางยังพูดถึงอนาคตได้

ลั่วเซิงยืนจ้องหอปักผ้าอยู่ริมฝั่งทะเลสาบที่ทรุดโทรมเป็นครั้งสุดท้าย ขณะหันหลังกลับจะจากไป กลับเหลือบมองฉากที่ทำให้นางร่างกายแข็งทื่อ

หลังจากหวาดกลัวอยู่ครู่หนึ่ง ลั่วเซิงรีบหลบซ่อนตัวหลังต้นไม้ก็เอื้อมมือไปคลำหากริช

นั่นคือกริชที่ประดับด้วยอัญมณีล้ำค่าและคุณหนูลั่วทิ้งไว้ให้

ลั่วเซิงเคยลองแล้ว ใบมีดคมกริบ

ภายใต้แสงจันทรา สายตาของนางจ้องเงาร่างนั้นไม่ละสายตา

คนผู้นั้นคลุมศีรษะและใบหน้า ทำให้ยากที่แยกออกว่าเป็นชายหรือหญิง กำลังเขยิบเข้าใกล้ลั่วเซิงมากขึ้นเรื่อยๆ

[1] ยามจื่อ (子时) คือเวลา 23.00 น. – 01.00 น.

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท