ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 38 ปล้นสะดม

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 38 ปล้นสะดม

ลั่วเซิงคาดว่าน่าจะได้แล้วจึงใช้เสียมเหล็กอันเล็กขุดขาหมูขอทานที่ฝังอยู่ในกองไฟออกมา

เมื่อเห็นของสีดำสนิทสี่ชิ้น คุณชายสามเซิ่งก็เดินเข้าพลางเอ่ยว่า “น้องหญิง นี่ได้ที่แล้วหรือ”

“ได้ที่แล้ว” ลั่วเซิงหยิบหินขึ้นมาก้อนหนึ่งเคาะลงไปบนเปลือกโคลน

คุณชายสามเซิ่งรีบแย่งหินไปแล้วเอ่ยว่า “น้องหญิง งานหยาบพวกนี้ไว้เป็นหน้าที่ข้าเอง”

“รบกวนพี่ชายแล้ว”

คุณชายสามเซิ่งหยิบหินทุบลงบนเปลือกโคลน ไม่กี่ครั้งเปลือกโคลนก็แตกกระจาย เผยให้เห็นขาหมูขอทานด้านในที่ห่อหุ้มด้วยใบบัวแห้ง

“ร้อนมาก!” คุณชายสามเซิ่งสูดลมหายใจ ร้อนมือจนแยกเขี้ยวยิงฟัน แต่ยังคงยืนกรานที่จะเปิดใบบัวแห้งออก

กลิ่นหอมประหลาดโชยมา ส่งกลิ่นเข้มข้นรุนแรงนัก

ขาหมูที่เปิดออกเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มมันวาว ผิวหนังมีรอยย่นและเนื้อเหนียว เนื้อทุกตารางนิ้วล้วนปรากฏออกมาสองคำว่า อร่อย!

คุณชายสามเซิ่งน้ำลายไหลทันที

น้องหญิงพูดถูก ขาหมูขอทานดูน่าอร่อยกว่าไก่ขอทานที่แห้งผากเสียอีก!

พวกโจรป่าที่ซุ่มอยู่ในพุ่มหญ้าเองก็ได้กลิ่นประหลาดเช่นกัน

ชายหนุ่มที่มีหนวดเคราตบเด็กหนุ่มหน้าดำ “ขาหมูเสร็จแล้ว ออกไปได้แล้ว! เจ้าเจ็ด วันนี้ให้เจ้าเป็นคนตะโกน เอาความน่าเกรงขามของค่ายเฮยฟงออกมา!”

“พี่ใหญ่วางใจได้!”

เด็กหนุ่มหน้าดำวิ่งพุ่งออกไปพร้อมกับมีดพร้า ชี้มีดไปที่พวกคุณชายสามเซิ่งและตะโกนว่า “ส่งขาหมูมาเสียดีๆ!”

คุณชายสามเซิ่งตกตะลึง

มาปล้นขาหมูหรือนี่

ชายที่มีหนวดเครายกเท้าถีบก้นเด็กหนุ่มหน้าดำไปทีหนึ่ง ไม่มีเวลามาด่าน้องชายที่ทำตัวเป็นตัวถ่วง เอ่ยด้วยใบหน้าดุร้ายว่า “ส่งแก้วแหวนเงินทองของมีค่ามาแล้วจะไว้ชีวิตพวกเจ้า!”

องครักษ์ที่คราบน้ำมันเต็มปากหยิบอาวุธขึ้นชี้พวกเขา

คุณชายสามเซิ่งขมวดคิ้วจ้องไปที่พวกโจร “พวกเจ้าต้องการอะไรกันแน่”

เขาหูฝาดไปหรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้บอกว่าให้ส่งขาหมูออกมา

ไม่รอให้ชายที่มีหนวดเคราเอ่ยปาก เด็กหนุ่มหน้าดำก็ตะโกนว่า “ก็ส่งแก้วแหวนเงินทองของมีค่าแล้วก็ขาหมูมาด้วยนั่นแหละ!”

ใบหน้าของคุณชายสามเซิ่งมืดมนลง

เยี่ยมมาก ฟังไม่ผิด

“ฝันไปเถอะ!”

“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว” ชายที่มีหนวดเคราโบกมือ “พี่น้องทั้งหลาย บุก!”

พวกโจรป่ารีบถือดาบวิ่งกรูกันเข้ามาปะทะเข้ากับองครักษ์ประจำสกุลเซิ่งอย่างรวดเร็ว เนื่องด้วยจำนวนคนที่มากกว่าจึงได้เปรียบ

“คุณชาย เหตุใดท่านถึงยืนดูความคึกคักอยู่ข้างๆ เล่า เพราะไร้ความสามารถใช่หรือไม่”

คุณชายสามเซิ่งรู้สึกเหมือนถูกสาวใช้หยามเกียรติจึงชักสีหน้าเอ่ย “ข้าต้องปกป้องน้องหญิง!”

หงโต้วมองไปที่ลั่วเซิงด้วยความตื่นเต้น “คุณหนู บ่าวไปช่วยได้หรือไม่เจ้าคะ”

ลั่วเซิงพยักหน้า “ไปสิ”

หงโต้วส่งเสียงโห่ร้องและวิ่งไปมือเปล่า

“ระวังด้วย” คุณชายสามเซิ่งอดไม่ได้ที่จะตะโกนขึ้น

บุกเข้าไปมือเปล่าได้อย่างไร ไปรนหาที่ตายหรือ

เห็นเพียงหงโต้วเตะเข้าไปที่เป้าของโจรป่าแล้วฉวยโอกาสขณะคนผู้นั้นโค้งตัวแย่งดาบใหญ่เขามา ฟันใส่ก้นของคนผู้นั้น

คุณชายสามเซิ่งอ้าปากค้างด้วยความตกใจและค่อยๆ มองไปที่ลั่วเซิง

ลั่วเซิงใบหน้าสงบนิ่ง “พี่ชายก็ไปช่วยเถอะ คู่ต่อสู้มีคนมากกว่า หากยื้อกันนานไป พวกเราจะเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบ”

“ข้าต้องอยู่ปกป้องน้องหญิง

“ไม่ต้อง ข้าต่อสู้ได้เก่งกว่าหงโต้วเสียอีก”

คุณชายสามเซิ่งยกดาบขึ้นอย่างเงียบๆ และรีบเข้าสู่สมรภูมิรบ

เมื่อหงโต้วและคุณชายสามเซิ่งเข้าร่วมด้วย กลุ่มโจรที่เคยได้เปรียบเรื่องจำนวนคนก็เริ่มรู้สึกกินแรง

“เจ้าเจ็ด ทำตามแผน!” ชายมีหนวดกำลังรับมือกับหงโต้วที่ร่ายรำมีดพร้าอย่างน่าเกรงขามร้องคำรามดังลั่น

เด็กหนุ่มหน้าดำพุ่งตรงไปที่ลั่วเซิงทันที

ซิ่วเย่ว์ที่ยืนอยู่ข้างกายลั่วเซิง อดไม่ได้ที่จะกำชับนางว่า “คุณหนูกลับขึ้นรถเถิด”

นางไม่อาจทนเห็นคุณหนูลั่วเกิดเรื่อง ถ้าเช่นนี้ข้อสงสัยมากมายก็คงมิได้รับการคลี่คลาย

ลั่วเซิงจ้องเด็กหนุ่มหน้าดำเข้มที่วิ่งพุ่งเข้ามาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงสบายๆ “อย่ากังวลไป ท่านพ่อเคยให้ข้าเรียนวรยุทธ์มาก่อน บอกว่าต่อไปหากอยากทุบตีสามีก็จะได้ลงมือเองได้ ไม่ต้องลำบากบ่าวรับใช้”

ซิ่วเย่ว์เนื้อตัวสั่นสะท้านและหลุดปากเอ่ยออกมาว่า “ตกลงเจ้า…”

ประโยคหลังนางไม่ได้ถามต่อ เพราะเด็กหนุ่มหน้าดำพุ่งมาถึงตรงหน้าแล้ว

“เจ้าจะจับข้าเป็นตัวประกันหรือ” ลั่วเซิงเลิกคิ้วถามเด็กหนุ่มหน้าดำที่วิ่งเข้ามาตรงหน้า

เมื่อประสานเข้ากับดวงตาที่เปล่งประกายของเด็กสาว เด็กหนุ่มหน้าดำก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมา แต่เขาระลึกไว้เสมอว่าโจรที่ได้มาตรฐานควรทำอย่างไร

“ได้ ในเมื่อพวกเจ้าไม่ยอมส่งขาหมู…ไม่ยอมส่งทั้งทองและเงินมาก็อย่าหาว่าข้าไร้ความปรานีแล้วกัน!”

เด็กหนุ่มหน้าดำมือข้างหนึ่งถือมีดพร้า อีกข้างคว้าลั่วเซิงเอาไว้

ข้อมือของเด็กสาวเพรียวบางและขาวผ่องราวกับออกแรงก็สามารถหักได้ทุกเมื่อ

ขณะที่เด็กหนุ่มหน้าดำเผลอออมแรงโดยไม่รู้ตัว ข้อมือเรียวเล็กก็พลิกกลับและดึงเขาเข้าไปด้วยพลังอันมหาศาล

“ทุกคนหยุด!” กริชพาดขวางบริเวณลำคอของเด็กหนุ่มหน้าดำ อัญมณีบนด้ามกริชเปล่งประกายโดดเด่น

หลังจากสถานการณ์ตรงหน้าสงบลง เสียงร้องคำรามอันน่าเหลือเชื่อก็ดังมาจากชายที่มีหนวดเครา “เจ้าเจ็ด นี่มันอะไรกันเนี่ย”

ไม่ใช่ให้เจ้าไปจี้สาวน้อยหรอกหรือ แต่เหตุใดถึงโดนสาวน้อยจี้แทนได้เล่า

เมื่อนึกเรื่องที่เด็กหนุ่มหน้าดำหมกมุ่นอยู่กับการปล้นขาหมูขอทานเป็นอันดับแรก ชายมีหนวดเคราจึงอดไม่ได้ที่จะบ่นพึมพำ

มิใช่ว่าเจ้าเด็กนี่ถูกติดสินบนด้วยขาหมูขอทาน กลายเป็นไส้ศึกไปแล้วหรอกนะ

“ทิ้งอาวุธของพวกเจ้าซะ มิเช่นนั้นข้าจะฆ่าเขาทิ้งเสียประเดี๋ยวนี้” ลั่วเซิงเอ่ยเสียงราบเรียบ

ความเงียบทำให้นางรู้ว่าเดิมพันถูกแล้ว โจรหนุ่มผู้นี้มีสถานะไม่ธรรมดาในบรรดาโจรกลุ่มนี้ อย่างน้อยเขาก็ไม่ใช่เบี้ยที่จะถูกสังเวยได้ตามอำเภอใจ

“สาวน้อย รีบปล่อยเขาเร็วเข้า มิเช่นนั้นพวกเจ้าอย่าหวังว่าจะมีชีวิตรอดออกไปได้” ชายมีหนวดเคราจ้องลั่วเซิงด้วยแววตาดุร้าย

เป็นถึงโจรป่าจะยอมจำนนง่ายๆ ได้อย่างไร เขาไม่เชื่อว่าเด็กสาวจะกล้าฆ่าคน

ลั่วเซิงขยับกริช เลือดก็ไหลออกมาจากลำคอของเด็กหนุ่มหน้าดำในทันที

ขณะนี้ ไม่ใช่แค่พวกโจรป่าเท่านั้นที่ตกตะลึง แต่ยังรวมถึงคุณชายสามเซิ่งด้วย

น้องหญิงบอกจะลงมือก็ลงมือ ไม่ลังเลบ้างเลยหรือ

“พูดเป็นครั้งสุดท้าย วางอาวุธในมือลงซะ”

แม้ว่าโจรหนุ่มผู้นี้จะดูเหมือนมือใหม่ยังไม่กลายเป็นโจรที่เหี้ยมโหด แต่ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีจุดยืนที่แตกต่างกัน เมื่อฝ่ายหนึ่งพ่ายแพ้ตกไปอยู่ในกำมือของอีกฝ่าย ความเป็นความตายล้วนขึ้นอยู่กับความคิดของอีกฝ่าย

ในยามจำเป็น นางก็สามารถฆ่าคนได้ การมีน้ำใจต่อศัตรูเท่ากับโหดร้ายกับตัวเอง

“พี่ใหญ่…” ดวงตาเย็นชาของลั่วเซิงทำให้พวกโจรตระหนักว่าเด็กสาวไม่ได้ล้อเล่น ทุกคนมองไปยังชายมีหนวดเครา

สีหน้าของชายมีหนวดเคราเปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดเขาก็โยนดาบลงกับพื้น “ทุกคนวางดาบลง!”

เสียงดังกึกก้อง พวกโจรทิ้งดาบอันคมกริบลงกับพื้น

ลั่วเซิงกล่าวเตือนคุณชายสามเซิ่งที่ยังเหม่อลอย “พี่ชาย เก็บดาบของพวกเขา”

เมื่อเห็นว่าคู่ต่อสู้ริบอาวุธไปหมดแล้ว ใบหน้าที่มีหนวดเคราก็มืดครึ้ม “ตอนนนี้จะปล่อยคนได้หรือยัง”

ลั่วเซิงผลักเด็กหนุ่มหน้าดำออกไป

ชายที่มีหนวดเคราคว้าเด็กหนุ่มหน้าดำแล้วตะโกนว่า “ถอย!”

“ช้าก่อน” ลั่วเซิงตะโกน เมื่อเห็นเหล่าโจรจ้องมองมาจึงเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ทิ้งแก้วแหวนเงินทองของมีค่าบนตัวไว้ก่อนแล้วค่อยไป”

นางรู้สึกเกรงใจที่ใช้เงินของคุณหนูลั่วมาโดยตลอด นางสมควรสร้างรายได้แล้ว

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท