ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 43 ระแวงสงสัย

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 43 ระแวงสงสัย

เด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดเลือดอาบหน้า ทั้งดูสะบักสะบอมและน่าสงสาร

“พี่ชายได้รับบาดเจ็บหรือไม่” ลั่วเซิงเอ่ยถาม

คุณชายสามเซิ่งส่ายศีรษะ “ข้าไม่เป็นไร น้องหญิง เจ้า…เจ้ารู้ได้ยังไงว่าอีกฝั่งมีคนจำนวนไม่มาก จะมีคนหลบซ่อนอยู่ด้านนอกหรือไม่”

ลั่วเซิงเหลือบมองนอกประตูวัด

ประตูวัดเปิดกว้าง ม่านฝนที่มองไม่เห็นปลายทาง ยังไม่เที่ยงก็มืดสนิทไปทั้งแถบแล้ว

“หากอีกฝ่ายมากันจำนวนมาก คงไม่มีความจำเป็นต้องซุ่มโจมตีในที่มืด”

คุณชายสามเซิ่งถอนหายใจเบาๆ ด้วยความโล่งอก แต่กลับได้ยินลั่วเซิงเปลี่ยนน้ำเสียง “แต่หลังจากสองคนนี้ทำงานพลาดก็ไม่รู้ว่าจะมีคนตามมาไล่ล่าสังหารอีกหรือไม่ อันนี้พูดยากแล้ว”

คุณชายสามเซิ่งโกรธจัดจนทนไม่ไหว “นึกไม่ถึงว่าข้างนอกจะวุ่นวายเช่นนี้ โจรป่าพวกนี้มาต่อเนื่องราวกับเก็บเกี่ยวผักกุยไช่อย่างนั้น!”

พวกเขาเพิ่งเผชิญกับกลุ่มโจรปล้นขาหมูไปไม่นานก็ต้องมาเจอกับกลุ่มคนที่โหดร้ายกว่าอีก

เมื่อก่อนตอนอยู่บ้าน เขาอิจฉาคนเหล่านั้นที่ได้ท่องเที่ยวไปทั่ว นึกไม่ถึงเลยว่าต้องเสี่ยงชีวิตเพียงนี้

ลั่วเซิงก้มมองศพที่อยู่ไม่ไกล

หนึ่งในหมู่คนร้าย คือชายหนุ่มมหน้าตาธรรมดาคนหนึ่ง

ทันใดนั้น ลั่วเซิงโค้งก็คำนับคุณชายสามเซิ่ง “ทำให้พี่ชายต้องเดือดร้อนแล้ว”

คุณชายสามเซิ่งรีบขยับกายหลบ “น้องหญิงพูดอะไรกัน ตระกูลพวกข้าเตรียมการไม่ถี่ถ้วนเอง หากรู้ว่าข้างนอกวุ่นวายเช่นนี้ คงเชิญผู้คุ้มกันสินค้ามาแล้ว ไม่เกี่ยวข้องกับน้องหญิงสักหน่อย”

ลั่วเซิงส่ายศีรษะ “เกี่ยวข้องกับข้าแน่นอน”

คุณชายสามเซิ่งตะลึง “น้องหญิง เจ้าหมายความว่าอะไร”

ลั่วเซิงตอบเสียงเคร่งขรึม “คนร้ายครั้งนี้พุ่งเป้ามาที่ข้า”

คุณชายสามเซิ่งตกใจ “เพราะอะไร”

ลั่วเซิงเหลือบมองศพที่นอนราบอยู่บนพื้นอีกครั้ง สีหน้าดูซับซ้อน “ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน”

นางรู้สึกแปลกๆ ตั้งแต่แรกแล้ว

แม้เมืองจินซาจะเป็นเพียงเมืองธรรมดาทั่วไป แต่จวนจินหลิงที่ปกครองเมืองจินซาก็ควรมีคนของแม่ทัพใหญ่ลั่วประจำการอยู่ที่นั่น ต่อให้คนเหล่านี้ไม่ได้จับตาเฝ้ามองบุตรชายหญิงทั้งสองของแม่ทัพใหญ่ลั่วที่อยู่เมืองจินซาตลอดเวลา แต่ก็ต้องให้ความสนใจไม่น้อย

นางออกจากจวนสกุลเซิ่งกลับเมืองหลวง คนเหล่านั้นควรทราบข่าว แม้จะรู้ว่านางปลอมจดหมายของแม่ทัพใหญ่ลั่วจึงไม่อาจปรากฏตัวอย่างโจ่งแจ้งแต่ก็ควรส่งคนมาคุ้มกันอย่างลับๆ

มีเหตุย่อมมีผล เหตุใดถึงมีคนไล่ล่าสังหารคุณหนูลั่วกัน

ลั่วเซิงยังคิดไม่ตก แต่รู้ดีว่าคงยากที่จะกลับเมืองหลวงได้อย่างราบรื่น

ครั้งนี้ อีกฝ่ายมาเพียงสองคนแล้วครั้งหน้าล่ะ

นางมีเรื่องต้องสะสางอีกมากจึงกลัวตายอย่างยิ่ง

ลั่วเซิงผู้รักชีวิตใบหน้ายังคงนิ่งเฉย “พี่ชาย เราฝังศพเหล่านี้กันเถอะ”

คุณชายสามเซิ่งตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

ฝั่งเรามีองครักษ์สี่นาย แต่ตอนนี้เหลือคนที่รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียว อีกสามคนกลายเป็นศพที่เย็นเยือกแล้ว

ฝนตกหนักทำให้ดินโคลนนิ่ม พวกเขาหลายคนช่วยกันขุดหลุมสามหลุม ให้องครักษ์ทั้งสามจากไปอย่างสงบสุข

ลั่วเซิงยืนอยู่หน้ากองดินที่พูนขึ้นมาและเอ่ยเสียงเบาว่า “รอข้ากลับเมืองหลวงแล้วจะส่งคนมารับศพเจ้ากลับเมืองจินซา จะต้องให้พวกเจ้ากลับคืนมาตุภูมิให้จงได้”

เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ หัวใจของคุณชายสามเซิ่งก็หนักอึ้งขึ้น เขายกมือจะตบไหล่ลั่วเซิง แต่สุดท้ายก็วางลงอย่างเงียบๆ “น้องหญิง ชุดเจ้าเปียกหมดแล้ว รีบกลับเข้าวัดเถอะ”

ทุกคนกลับมาที่วัด

กองไฟยังคงเผาไหม้อยู่ กลิ่นคาวเลือดยังคงอยู่

คุณชายสามเซิ่งเหลือบมองศพทั้งสองที่นอนราบอยู่กับที่ เอ่ยอย่างลังเล “จะฝังศพทั้งสองนี้หรือไม่”

ลั่วเซิงนั่งข้างกองไฟเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ก็เอ่ยอย่างเย็นชา “ไม่ฝัง ให้พวกมันตายอย่างไร้ญาติขาดมิตรในถิ่นทุรกันดาร”

คุณชายสามเซิ่งตกตะลึง

อันที่จริง เขายังลังเลว่าจะฝังดีหรือไม่ นึกไม่ถึงว่าน้องลั่วจะเด็ดขาดเพียงนี้

หงโต้วนวดเอวพลางสบถ “ฝังไปทำไม! คุณหนู ให้บ่าวดูไหมเจ้าคะว่ามีของมีค่าอะไรติดตัวพวกเขาหรือไม่”

นางยังคงเจ็บปวดจากการถูกคนร้ายน่าตายเตะ คนชั่วพวกนี้ควรแก้ผ้าแล้วโยนออกไปข้างนอกนู่น

คุณชายสามเซิ่งอดไม่ได้จะรั้งเอาไว้ “ช่างเถอะ ถอดเสื้อศพคงไม่เหมาะ”

“ลองดู” ลั่วเซิงลุกขึ้นเดินไป โน้มตัวลงและเลิกเสื้อผ้าของศพขึ้น

คุณชายสามเซิ่งใบหน้าบิดเบี้ยว เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “น้องหญิง หากว่าเจ้าขาดเงิน ข้ามี…”

หงโต้วเบ้ปาก “คุณหนูไม่ชอบการได้มาโดยไม่ออกแรง”

เมื่อมองลั่วเซิงที่ตรวจสอบศพอย่างตั้งใจ คุณชายสามเซิ่งก็ริมฝีปากสั่นเทา

ขอร้องน้องหญิงโปรดรับไว้ด้วยเถอะ!

ลั่วเซิงหยิบเจอบางสิ่ง นางถือไว้แล้วสำรวจอย่างละเอียด

“คุณหนู นี่มันคืออะไรหรือเจ้าคะ” หงโต้วพบของนุ่มๆ ที่ยัดอยู่ในถุงเงินจึงเขยิบเข้ามาถาม

“จี้รูปขวานที่ทำจากไม้ท้อน่ะ” ลั่วเซิงจ้องขวานไม้ท้อในมือที่ยาวไม่เกินสามชุ่นอย่างครุ่นคิด

คุณชายสามเซิ่งเหลือบมองและเอ่ยว่า “ไม่มีอะไรแปลกนี่ บนขวานไม้ท้อไม่สลักแม้แต่ชื่อด้วยซ้ำ”

“ไม่มีอะไรแปลก” ลั่วเซิงเดินไปที่อีกศพและเริ่มค้นหาอย่างระมัดระวัง

คุณชายสามเซิ่ง “…”

หลังจากนั้น ไม่นานลั่วเซิงก็ดึงเครื่องรางไม้ท้อออกจากอกของศพที่สอง มีรูปทรงขวานเช่นกัน

ขวานไม้ท้อทั้งสองมีลักษณะเหมือนกันทุกประการ แตกต่างเพียงลวดลายด้านบนเล็กน้อย

แขวนเครื่องรางแคล้วคลาดล้วนเป็นความนิยมของคนสมัยนี้ บนขวานไม้ท้อไม่มีตัวอักษรแม้แต่คำเดียว ปกติเวลาคนมองจึงคิดว่าเป็นแค่เครื่องรางทั่วไป

แต่สำหรับลั่วเซิงแล้ว การพบขวานไม้ท้อบนศพทั้งสองนั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างแปลก

ลั่วเซิงเก็บขวานไม้ท้อทั้งสองอย่างระมัดระวัง

เมื่อเห็นน้องสาวและสาวใช้พลิกศพอย่างแรง คุณชายสามเซิ่งก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ในใจกลับตึงเครียดขึ้นมา “น้องหญิงบอกว่าคนเหล่านั้นพุ่งเป้ามาที่เจ้า ประเดี๋ยวจะมีคนร้ายไล่ตามมาอีกหรือไม่”

ด้านนอกฟ้าร้องเป็นระยะๆ ฝนที่ตกหนักได้พัดพาร่องรอยทั้งหมดหายไปจนสิ้น

ลั่วเซิงละสายตา “หากคาดการณ์จากสถานการณ์ปกติคงไม่น่าเร็วขนาดนั้น สองคนนี้มีทักษะโดดเด่น การจะทำภารกิจให้สำเร็จไม่น่ามีปัญหา อีกฝ่ายคงใช้เวลาสักพักในการยืนยันว่าภารกิจล้มเหลว”

คุณชายสามเซิ่งรู้สึกโล่งใจได้ชั่วคราว “ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้พวกเราก็ปลอดภัยแล้ว”

“ไม่ช้าก็เร็วคนที่ไล่ล่าสังหารก็จะตามมาแน่” ลั่วเซิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง

คุณชายสามเซิ่งไม่รู้ว่าจะวางใจหรือตกใจดีจึงทำได้เพียงตบอกแล้วเอ่ยว่า “น้องหญิงวางใจได้ คนร้านพวกนั้นคิดทำร้ายเจ้า ต้องข้ามศพข้าไปก่อน!”

ลั่วเซิงเงียบพลางเอ่ยว่า “พอพวกเราถึงเมืองถัดไปก็สามารถจ้างกลุ่มผู้คุ้มกันสินค้า คำนวณเวลาและระยะทางให้ดี ต่อไปจะไม่พักในถิ่นทุรกันดารอีก”

นางรับประกันไม่ได้ว่ากระทำเช่นนี้แล้วจะปลอดภัย แต่บัดนี้ไม่ควรให้คนที่ติดตามนางจิตใจย่ำแย่

คุณชายสามเซิ่งกะพริบตาอย่างประหม่า “น้องหญิงพูดถูก”

เขาโง่เขลาเบาปัญญา น้องหญิงมีเงินมากมาย สามารถจ้างทั้งกลุ่มผู้คุ้มกันสินค้าได้เลยด้วยซ้ำ จะต้องข้ามศพเขาไปก่อนทำไม

ในที่สุดฝนก็หยุดตก เนื่องจากองครักษ์ลดไปสามนาย คุณชายสามเซิ่งจึงสละม้าและรับหน้าที่เป็นคนขับรถม้าแทน ทั้งขบวนทัพมาถึงเมืองถัดไปก่อนฟ้ามืด

คนงานในโรงเตี๊ยมไม่แปลกใจกับกลุ่มคนที่มีสภาพสะบักสะบอม เดินทางขณะฝนตกหนัก ไม่สะบักสะบอมสิถึงจะแปลก

“แขกทั้งหลายเชิญเข้ามาด้านขอรับ พวกเราเตรียมน้ำร้อนไว้ให้แล้ว”

ตายจริง คุณหนูที่สาวใช้ประคองอยู่นั้นดูอ่อนแอมาก อย่าล้มป่วยจะดีที่สุด

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท