ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 54 ห่วงใยผู้ทุกข์ร้อน

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 54 ห่วงใยผู้ทุกข์ร้อน

ใกล้แล้ว ใกล้เข้ามาแล้ว

ยามเด็กสาวในอาภรณ์สีเรียบขยับฝีเท้าใกล้เข้ามาทีละก้าวด้วยใบหน้าเยือกเย็น ทุกย่างก้าวราวกับเหยียบย่ำลงบนหัวใจของเว่ยหาน ในใจพลันบีบรัดไม่อาจข่มกลั้นความกระวนกระวายรุนแรงไว้ได้

เขายังไม่ได้เอ่ยอะไรสักคำ เหตุใดคุณหนูลั่วถึงพุ่งเข้ามาหาเขาอีกเล่า

มิผิด แม้เขาจะยังเป็นหนี้สามพันห้าร้อยตำลึงและยังไม่จ่ายคืน แต่แม่นางคนนี้จะไม่รีบร้อนทวงไปหน่อยหรือ

กระทั่งสตรีในอาภรณ์สีเรียบหยุดยืนตรงหน้า ใบหน้าของเว่ยหานที่รักษาความสุขุมเอาไว้ในคราวแรกก็ต้องพ่ายให้กับความหวังสายสุดท้าย

นางตรงมาหาเขาจริงด้วย!

เว่ยหานสัมผัสได้ว่าสายตาที่กวาดมองมายังร่างของเขาร้อนแรงยิ่ง ไม่อยากจะคาดเดาเลยว่าอารมณ์ของคนตรงหน้ายามนี้เดือดพล่านเพียงใด และไม่อยากจะคาดเดาเลยว่าเขาจะอับอายเพียงไหน หลังจากคุณหนูลั่วอ้าปากทวงหนี้

เว่ยหานหาใช่คนที่จะเก็บความคิดของผู้อื่นมาใส่ใจ และแม้จะมองข้ามมันไปได้ หากแต่การที่ชินอ๋องผู้สูงศักดิ์โดนหญิงสาวตัวเล็กๆ คนหนึ่ง… และยังเป็นหญิงสาวที่เคยแทะโลมตนมาทวงหนี้ต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้ก็ยังต้องสะท้าน

เรื่องเดียวที่น่ายินดียามนี้ก็คือการที่เขาบังเอิญยัดตั๋วเงินหมื่นตำลึงเอาไว้ในถุงเงินก่อนออกมา มิฉะนั้นลองคิดว่าหากโดนทวงหนี้แล้วไม่มีเงินจ่าย…หัวใจของเว่ยหานพลันเย็นเยียบ แทบจะรักษาท่วงท่าสุขุมที่แสร้งทำเอาไว้ไม่อยู่

ลั่วเย่ว์พลันตื่นจากความมึนงง มองแผ่นหลังของลั่วเซิงก็ได้แต่เอ่ยเสียงสั่น “นาง นางคิดจะทำอะไรกัน”

วันนี้มาที่นี่ก็เพื่อขอรับการรักษาให้บิดา ไม่ว่าผลจะสำเร็จหรือจะโดนเด็กเฝ้าประตูไล่ตะเพิดปิดประตูใส่หน้าแล้วตกเป็นเรื่องขบขันยามว่างหลังอาหารของชาวบ้านนางก็ยอมรับแล้ว แต่ลั่วเซิงกำลังทำอะไรกัน

โรคเก่าของนางกำเริบอีกแล้ว เห็นบุรุษรูปงามทีไรก็เรื่องลืมของบิดาไปจนสิ้น เป็นอันต้องวิ่งรี่เข้าหา!

แล้วคนที่วิ่งเข้าหาในครานี้ยังเป็นไคหยางอ๋องอีก!

ลั่วอิงและลั่วฉิงก็คล้ายกับกระจ่างแจ้ง ใบหน้าพลันซีดขาวราวหิมะ

“ข้าจะไปหยุดนาง” ลั่วเย่ว์ย่ำเท้า

หากแต่ลั่วอิงและลั่วฉิงกลับคว้านางไว้ กดเสียงต่ำโน้มน้าว “น้องสี่ จะวู่วามเช่นนี้ไม่ได้ เจ้าพุ่งเข้าไปอาละวาดน้องสามที่อยู่เบื้องหน้าไคหยางอ๋องยามนี้ ก็รังแต่จะขายหน้ากว่าเดิม…”

ลั่วเย่ว์หลับตา กัดริมฝีปากแล้วเผยยิ้มขมขื่น “รู้อยู่แล้วว่าไม่ควรฝากความหวังไว้กับนาง!”

ลั่วอิงและลั่วฉิงนิ่งเงียบ

เรื่องถึงขั้นนี้แล้ว เสียใจไปก็เท่านั้น

ทว่า ต่อให้จะต้องเลือกอีกครั้ง พวกนางก็ยังจะติดตามลั่วเซิงมาที่นี่เพื่อขอรับการรักษา เพราะผู้ที่นอนหายใจรวยรินอยู่บนเตียงในยามนี้คือบิดาของพวกนาง

แต่ก่อนนั้นมีเหล่าพี่ชายบุญธรรมคอยออกหน้า พวกนางจึงไม่เคยคิดว่าจะสามารถมาพบหมอเทวดาด้วยตนเองได้ กระทั่งลั่วเซิงหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา

ใช่ ในเมื่อพวกนางเป็นบุตรสาวของท่านพ่อ เหตุใดจะทำไม่ได้เล่า มิใช่ว่าทุกอย่างจะต้องให้พวกพี่ชายบุญธรรมจัดการเสียหน่อย

แต่เพราะมัวตื่นตระหนกอยู่กับความโกลาหลครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในจวนลั่ว และรอคอยความคาดหวังไม่ควรมี

สามพี่น้องหัวใจเย็นเยียบ มองไปยังร่างในอาภรณ์สีอ่อนที่ยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้าบุรุษอาภรณ์แดงด้วยความสิ้นหวัง

“ท่านอ๋อง พบกันอีกแล้วนะเจ้าคะ” ลั่วเซิงย่อกายกล่าวทักทายเว่ยหาน

เสียงของนางหาได้หวานเชื่อมเหมือนเด็กสาวทั่วไปไม่ แต่กลับบริสุทธิ์ราวตาน้ำพุรินไหล พาลให้คนฟังรู้สึกเย็นสบายผ่อนคลาย

เว่ยหานผงกศีรษะรับคำด้วยใบหน้าปราศจากอารมณ์ “อืม พบกันอีกแล้ว”

บทสนทนาเรียบง่ายของทั้งสองทำให้ใบหน้าของทุกคนที่ได้ยินฉายแววประหลาดใจ

คุณหนูลั่วเก่งกาจนัก หลังจากเอ่ยวาจาแทะโลมไคหยางอ๋องในคราวนั้นแล้ว ยังวิ่งเข้ามากล่าวทักทายเขาราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

ประเดี๋ยวก่อน ผู้ที่แปลกประหลาดยิ่งกว่าคือไคหยางอ๋องมิใช่รึ คาดไม่ถึงเลยว่าจะสนใจคุณหนูลั่ว

ยามนี้ เกรงว่าจะมีเพียงองครักษ์ที่ยืนอยู่ข้างกายเว่ยหานเท่านั้นที่จะเข้าใจอารมณ์นายท่านของตนอย่างถ่องแท้

คนเขลาพวกนี้ คิดว่านายท่านกำลังเผชิญหน้าอยู่กับหญิงสาวที่เคยเกี้ยวเขากระมัง ผิดแล้ว เป็นเจ้าหนี้ของเงินสามพันห้าร้อยตำลึงต่างหากเล่า!

“วันนี้ท่านอ๋องมาขอรับการรักษาหรือ” ลั่วเซิงเอ่ยถาม

เว่ยหานลังเลชั่วขณะ ผงกศีรษะ “ใช่”

ลั่วเซิงเอ่ยถามอีกครา “เร่งด่วนมากหรือไม่เจ้าคะ”

“ก็มิได้เร่งด่วน” เว่ยหานตอบกลับ เพียงเท่านั้นก็เห็นว่าเด็กสาวตรงหน้าเผยรอยยิ้มจางออกมา

ลั่วเซิงพลันยอบกายลงด้วยท่วงท่างดงาม “บิดาของข้าอาการสาหัสนัก มิอาจล่าช้าได้อีกแล้ว หากท่านอ๋องมิได้มีเรื่องเร่งด่วน มิทราบว่าจะสามารถมอบป้ายหมายเลขนั่นให้ได้หรือไม่”

วันนี้ไคหยางอ๋องปรากฏกายที่นี่ก็เพื่อขอรับการรักษา เมื่อพิจารณาจากการที่นางได้คลุกคลีกับคนเช่นเขาช่วงไม่กี่วัน อีกฝ่ายคงมิใช่คนที่มีความอดทนมากนัก หากไม่ได้รับป้ายหมายเลขย่อมกลับไปนานแล้ว

หากขอให้ใช้ป้ายหมายเลขมาจ่ายหนี้ เขาน่าจะยอมกระมัง

แต่หากไม่ยอมล่ะก็…ลั่วเซิงขมวดคิ้วเล็กน้อย

หากไม่เต็มใจ นางก็จะให้เขาจ่ายหนี้คืน ที่แห่งนี้มีผู้คนมากมาย เงินสามพันห้าร้อยตำลึงหากเอามาใช้ซื้อป้ายหมายเลขสักอันหนึ่งคงไม่ใช่เรื่องยาก

ข่มขู่รึ นี่จะเป็นการข่มขู่ได้อย่างไรเล่า เจ้าหนี้เองก็ลำบากเหมือนกันนี่นา

เมื่อลั่วเซิงเอ่ยออกไป ทุกคนก็อดยกมือขึ้นมาแคะหูของตนไม่ได้

“นี่ได้ยินผิดหรือไม่ คุณหนูลั่วพูดอะไรกัน”

“คุณหนูลั่วขอให้ไคหยางอ๋องมอบป้ายเลขให้”

“ถ้าอย่างนั้นก็ฟังไม่ผิด อ๋า…หรือว่าคุณหนูลั่วจะเสียสติไปแล้ว”

จูหานซวงจ้องลั่วเซิงเขม็งด้วยดวงตาที่แทบจะลุกเป็นไฟ

ลั่วเซิงเอาหน้ามาจากไหนกัน เหตุใดถึงได้กล้าเอ่ยขอป้ายเลขจากไคหยางอ๋อง

อาศัยความงามเพียงไม่กี่ส่วนของตนเองรึ หรือคิดว่าตนเคยแทะโลมไคหยางอ๋องแล้วจะเอ่ยอะไรก็ได้

หญิงไร้ยางอายนางนี้ คิดว่าไคหยางอ๋องเป็นหนึ่งในคนที่กริ่งเกรงอำนาจของแม่ทัพใหญ่ลั่วหรือ ช่างน่าขันนัก!

“ได้” เว่ยหานตอบกลับเพียงคำหนึ่งแล้วยื่นป้ายหมายเลขให้

เขายังพอจะเหลือโชคอีกน้อยนิดสินะ

เทียบกับการถูกทวงหนี้ต่อหน้าธารกำนัลแล้ว แค่ทิ้งป้ายหมายเลขไปก็ไม่นับว่าเป็นอะไร

จูหานซวงได้ยินเว่ยหานตอบรับเช่นนั้นก็ราวกับมีคนเอากระบองมาฟาดศีรษะนาง นิ่งอึ้งตัวแข็งทื่อไปโดยพลัน

นี่นางได้ยินผิดไปอย่างนั้นหรือ

ท่าทางของทุกคนไม่ได้ต่างไปจากจูหานซวงมากนักล้วนลืมคำพูดไปชั่วขณะ

ลั่วเซิงรับป้ายหมายเลขมาแล้วย่อกายคารวะเว่ยหานด้วยกิริยางดงาม “ขอบคุณท่านอ๋องมากเจ้าค่ะ”

นางลดเสียงลงแล้วเอ่ยด้วยระดับเสียงที่มีพวกเขาสองคนเท่านั้นที่ได้ยิน “หนี้ในครั้งก่อน ถือว่าแล้วกันไป”

ก่อนที่เว่ยหานจะได้ตอบกลับ ลั่วเซิงก็ถือป้ายหมายเลขไว้แน่นเดินไปหาพวกลั่วอิงแล้ว

ด้านลั่วอิงตื่นตกใจยิ่งกว่าคนที่ยืนดูเหตุการณ์ทั้งหมดเสียอีก

ลั่วเซิงได้ป้ายหมายเลขของไคหยางอ๋องมาจริงๆ!

“มัวยืนอ้ำอึ้งอะไรกัน รีบไปเข้าแถวสิ” ลั่วเซิงเดินมาตรงหน้าพี่น้องทั้งสาม น้ำเสียงยังคงราบเรียบ

“เจ้า เจ้าทำได้อย่างไรกัน” ลั่วเย่ว์พึมพำ

“ทำอะไรหรือ” ลั่วเซิงคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบกลับ ยกป้ายหมายเลขขึ้นมาแล้วเผยยิ้มน้อยๆ “เจ้าหมายถึงป้ายหมายเลขรึ เพราะท่านอ๋องมีเมตตากรุณา ห่วงใยผู้ทุกข์ร้อนอย่างไรเล่า”

ทุกคนได้ยินแล้วต้องกลอกตา

ใครจะเชื่อเรื่องไร้สาระพรรค์นี้กัน!

จะต้องมีบางอย่าง ต้องมีบางอย่างระหว่างไคหยางอ๋องและคุณหนูลั่วแน่นอน!

เว่ยหานหยัดกาย กำชับองครักษ์ด้วยใบหน้าสุขุม “ไปเถอะ”

คุณหนูลั่วพูดถูก เขาเป็นผู้มีเมตตากรุณา ห่วงใยผู้ทุกข์ร้อนอย่างแท้จริง

สือเยี่ยนรีบติดตามไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็อดหันหน้ากลับมามองลั่วเซิงอย่างลึกซึ้งไม่ได้

กล่าวตามจริง เขายามนี้หาได้นับถือใครไม่ แต่ต้องยอมให้กับคุณหนูลั่วแล้ว นายท่านต้องเสียเปรียบให้คุณหนูลั่วเสมอเมื่อเจอกัน

แต่ว่าอาหารที่คุณหนูลั่วทำนั้นอร่อยยิ่ง…

ความนับถือขององครักษ์ตัวน้อยทบทวีไม่สิ้นสุด ก่อนจะรีบตามนายท่านของตนที่ขี่ม้าออกไปไกล

ทันทีที่เว่ยหานจากไป ทุกสายตาก็จดจ้องมาที่ลั่วเซิงอีกครั้ง

หากแต่ลั่วเซิงกลับทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนภาพนั้นตกอยู่ในความเงียบงันแปลกประหลาดชั่วขณะ กระทั่งเด็กเฝ้าประตูเริ่มทยอยเรียกคนที่ได้ป้ายหมายเลขให้เข้าไป แต่เมื่อถึงคราวของพวกลั่วเซิง พวกนางกลับถูกขวางเอาไว้

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท