ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 55 เชิญแม่นางเข้าไปได้

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 55 เชิญแม่นางเข้าไปได้

เด็กเฝ้าประตูยื่นมือขวางไว้ด้วยใบหน้าเย็นชา “คุณหนูกลุ่มนี้ ช้าก่อน”

“นี่หมายความว่าอย่างไรกัน” ลั่วเซิงน้ำเสียงราบเรียบ ปราศจากความขุ่นเคืองแม้แต่น้อย

เด็กเฝ้าประตูชี้นิ้วไปยังป้ายหมายเลขที่อยู่ในมือนาง มุมปากเผยยิ้มหยัน “เมื่อครู่ข้าเห็นแล้วว่า ป้ายหมายเลขในมือของคุณหนูเอามาจากผู้อื่น”

“แล้วอย่างไรหรือ”

“หมายความว่าพวกท่านเข้าไปไม่ได้ เพราะป้ายหมายเลขนี้มิได้รับไปจากมือข้า” เด็กเฝ้าประตูตีหน้าขรึมตอบกลับ

ลั่วเย่ว์ถลึงตามองเด็กเฝ้าประตูด้วยความโกรธ “เจ้ารังแกคน!”

เด็กสาวอายุสิบสี่สิบห้าปี ด้วยเสียงหวานใสกังวานนี้ เกรงว่าแม้จะโกรธเกรี้ยวเพียงใดก็ไม่สามารถทำใครตกใจได้

เด็กเฝ้าประตูโต้กลับปราศจากความหวั่นเกรงแม้แต่น้อย “ข้าเป็นเพียงคนเฝ้าประตู ไหนเลยจะกล้ารังแกคุณหนู เพียงปฏิบัติตามกฎของหมอเทวดาก็เท่านั้น คุณหนูอย่าทำให้คนเฝ้าประตูเช่นข้าลำบากใจเลย”

“เจ้า!” ลั่วเย่ว์โมโหจนควันออกจากทวารทั้งเจ็ด ริมฝีปากสั่นเทาไม่รู้จะโต้ตอบอย่างไร

มีหลายสายตาจับจ้องอยู่เช่นนี้ หากนางยังคงโต้เถียงต่อก็จะดูเหมือนคนของจวนแม่ทัพใหญ่รังแกคน

เสียงหัวเราะเยาะดังมาจากกลุ่มคนด้านหลัง เด็กสาวพลันได้ยินเช่นนั้น น้ำตาก็อดคลอเบ้าไม่ได้

“ไปยืนอยู่ข้างหลังข้า” กระแสเสียงเย็นชาสายหนึ่งพลันดังขึ้น

ลั่วเย่ว์ผินหน้ามองก็พบใบหน้าหนึ่งที่ราวกับฉาบไว้ด้วยน้ำค้างแข็ง

“พี่สาม…” ลั่วเย่ว์เอ่ยเรียกออกมาโดยไม่รู้ตัว คำว่า ‘พี่สาม’ ในครั้งนี้ ได้ยินแล้วรื่นหูยิ่ง

ลั่วเซิงหาได้มีทีท่าร้อนใจที่จะโต้เถียงกับเด็กเฝ้าประตูไม่ กลับขมวดคิ้วแล้วผงกศีรษะให้ลั่วเย่ว์ แล้วกล่าว “เถียงไม่ได้ก็พูดให้น้อย”

ใบหน้าลั่วเย่ว์แดงซ่าน แต่ครั้งนี้ไม่ได้โต้กลับ กระทั่งเห็นว่าลั่วเซิงกวาดสายตามองไปทางเด็กเฝ้าประตู ร่องรอยความหวังก็พลันก่อสายขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ

ตั้งแต่ลั่วเซิงกลับมาจากจินซา นางก็เปลี่ยนเป็นคนที่มีฝีปากดุร้ายคมคาย เจ้าเด็กเฝ้าประตูน่ารำคาญนี่ ย่อมมิใช่คู่ต่อสู้แน่นอน!

สายตาสงบเงียบดุจผืนน้ำของลั่วเซิงคล้ายถ่วงร่างของเด็กเฝ้าประตูเอาไว้ ก่อนเขาจะตื่นตัวขึ้นในพริบตา “พวกคุณหนูกลับไปเถิด อย่าให้ผู้อื่นที่มาขอรับการรักษาล่าช้าเลย”

คุณหนูผู้นี้ใจกล้ายิ่งกว่าคุณหนูเมื่อครู่หลายส่วน เป็นนางที่กล้าร้องขอป้ายหมายเลขจากไคหยางอ๋อง

แม้เด็กเฝ้าประตูจะยังเยาว์วัย แต่กลับแยกแยกได้หลักแหลมยิ่งว่าผู้ใดรับมือยาก อย่างไรเสียการเฝ้าประตูให้หมอเทวดาก็หาใช่งานเรียบง่าย ทุกวันนี้เขาต้องประสบกับผู้คนหลายประเภทนัก

ลั่วเซิงมองเด็กเฝ้าประตูด้วยสีหน้าราบเรียบ กระทั่งอีกฝ่ายเริ่มหลบตาก่อน จากนั้นจึงกล่าวออกมา “เมื่อครู่เจ้าเห็นหรือว่าป้ายหมายเลขในมือของข้าได้มาจากผู้อื่น”

“เป็นคุณหนูที่ร้องขอป้ายนี้จากไคหยางอ๋อง ทุกคนในที่แห่งนี้สามารถเป็นพยานได้” เด็กเฝ้าประตูคิดว่าลั่วเซิงจะปฏิเสธความจริงที่ว่านางขอป้ายหมายเลขนี้มาจากมือของเว่ยหาน นัยน์ตาจึงฉายแววเหยียดหยาม

แม้คุณหนูคนนี้จะกล้าหาญ แต่กลับเขลานัก คิดจะปฏิเสธสิ่งที่ตนเพิ่งกระทำต่อหน้าทุกคน นี่คงเรียกได้ว่าใจกล้าแต่โง่เขลากระมัง

“ใช่ ข้าสามารถเป็นพยานให้ได้” จูหานซวงแค่นเสียงเย็น

เดิมทีนางไม่ควรออกหน้าเช่นนี้ แต่การที่ลั่วเซิงใกล้ชิดไคหยางอ๋องต่อหน้านาง นั่นทำให้นางเหลืออดจริงๆ

นี่มิใช่การซ้ำเติม แต่เป็นการขจัดภัยร้ายต่อปวงชนต่างหาก!

คิดถึงเรื่องนี้ จูหานซวงก็อดยืดกายขึ้นไม่ได้

หากลั่วเซิงกลับไม่ปรายตามองนางเลยแม้แต่นิด ยกริมฝีปากน้อยๆ ให้เด็กเฝ้าประตูที่แสดงให้เห็นชัดว่าไม่กริ่งเกรงผู้เหนือกว่า “หมอเทวดาได้ตั้งกฎไว้จริงๆ สามสิบป้ายหมายเลขที่แจกในทุกวันให้เฉพาะบุคคลเฉพาะหมายเลข ไม่อนุญาตให้ส่งต่อใช่หรือไม่”

ความสนใจของเด็กเฝ้าประตูมุ่งเน้นไปยังคำสี่คำนั้น ‘เฉพาะบุคคลเฉพาะหมายเลข’ เขาลังเลชั่วขณะ แล้วพยักหน้ารับ “ใช่!”

หากเขายืนกรานเช่นนี้แล้ว อีกฝ่ายจะทำอย่างไรได้เล่า

อย่างไรก็ตาม มีสิ่งหนึ่งที่แน่นอนนั่นก็คือหมอเทวดารังเกียจคนของจวนแม่ทัพใหญ่ลั่ว

แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังทรงเกรงใจหมอเทวดา ตราบใดที่เขามีหมอเทวดาคอยหนุนหลังก็ไม่มีอะไรต้องกลัว

“แน่ใจหรือ”

“ข้าแน่ใจ” สีหน้าของเด็กเฝ้าประตูฉายแววหงุดหงิด

ลั่วเซิงยกป้ายหมายเลขในมือขึ้นมา “ถ้าอย่างนั้น เจ้าบอกข้าหน่อยสิว่าว่าป้ายหมายเลขที่เจ้ามอบให้ไคหยางอ๋องเป็นเลขอะไร”

เด็กเฝ้าประตูหน้าเปลี่ยนสี ท่าทางอ้ำอึ้งอับจนคำพูด

ในเวลานั้น เขาเพียงแค่หยิบป้ายหมายเลขยื่นให้ไปส่งๆ ไหนเลยจะทันสังเกตว่าป้ายหมายเลขของไคหยางอ๋องเป็นเลขใด

เพราะความจริงแล้วเรื่องที่ว่าเฉพาะบุคคลเฉพาะหมายเลขนี้ก็เป็นเพียงข้ออ้างเพื่อเอาชนะจวนลั่วให้ไม่ได้เข้ารับการรักษาเท่านั้น หาได้ทำเช่นนั้นจริงไม่

“หากจำป้ายหมายเลขที่มอบให้ไคหยางอ๋องไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นป้ายหมายเลขของคุณหนูจูเล่า”

“หา…” เด็กเฝ้าประตูท่าทางลนลาน เหงื่อกาฬเริ่มผุดพรายบนหน้าผาก

จูหานซวงเหลือบมองป้ายหมายเลขอย่างรวดเร็วแล้วตอบกลับ “เป็นหมายเลขสิบแปด”

เด็กเฝ้าประตูถอนใจด้วยความโล่งอก “ใช่ เป็นเลขสิบแปด!”

“เห็นได้ชัดว่าเจ้าไม่รู้…” ลั่วเย่ว์อดสอดปากขึ้นมาไม่ได้

คราวนี้ลั่วเซิงไม่ได้กล่าวอะไร เป็นลั่วฉิงที่ห้ามนางไว้ เอ่ยเสียงเบา “น้องสี่ พวกเราให้น้องสามจัดการเถอะ”

จนปัญญา เรื่องทะเลาะตบตีกับคนอื่นนี้ พวกนางไม่ถนัดเอาเสียเลย

ลั่วเซิงราวกับไม่แยแสการกระทำกลโกงอันโจ่งแจ้งนี้เลยแม้แต่น้อย กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสบายๆ “ถ้าเช่นนั้น ป้ายหมายเลขของไคหยางอ๋องคือ…”

“สิบเก้า!” เด็กเฝ้าประตูโพล่งออกมา

เขาจำได้แม่นว่าคุณหนูจูและไคหยางอ๋องมาถึงไล่เลี่ยกัน ในเมื่อป้ายหมายเลขของคุณหนูจูเป็นสิบแปด ถ้าอย่างนั้นป้ายหมายเลขของไคหยางอ๋องย่อมเป็นสิบเก้า

ลั่วเซิงปรบมือ “ถูกต้อง”

เด็กเฝ้าประตูมึนงงไปชั่วขณะ

เหตุใดคุณหนูลั่วถึงเห็นด้วยกับเขาง่ายดายนักเล่า

เด็กเฝ้าประตูเริ่มกลัดกลุ้ม เมื่อเห็นว่าหญิงสาวผู้มีสีหน้าสงบราบเรียบ ฉับพลันก็ดึงแส้ยาวที่พันรอบเอวออกมาแล้วฟาดลงบนพื้น

เสียงใสกังวานของแส้ที่ดังกระทบพื้นราวกับเรียกสติของทุกคนโดยพลัน ไม่ว่าใครก็ตามที่เฝ้าดูด้วยความตื่นเต้น หรือผู้ที่หยิบป้ายหมายเลขแล้วเดินเข้าไปแล้วก็ต้องหยุดเคลื่อนไหว

เด็กเฝ้าประตูใบหน้าซีดเผือด แต่ยังพยายามแสร้งถามด้วยเสียงแข็งกร้าว “ต่อหน้าหมอเทวดา คุณหนูยังคิดจะทุบตีคนอีกรึ”

ใบหน้าของลั่วเซิงคล้ายฉาบด้วยน้ำค้างแข็ง ถามกลับ “หมอเทวดาออกป้ายหมายเลขสามสิบอันต่อวัน และวันนี้รถม้าของจวนลั่วก็อยู่หลังไคหยางอ๋องเพียงก้าวเดียว เช่นนั้นข้าถามเจ้าหน่อยเถอะ ในเมื่อป้ายหมายเลขของไคหยางอ๋องคือสิบเก้า เหตุใดพวกข้ากลับไม่ได้รับป้ายหมายเลข มิใช่ว่าคนเฝ้าประตูเช่นเจ้าจงใจสร้างความยุ่งยากให้พวกข้าหรอกรึ”

เด็กเฝ้าประตูลนลานโต้แย้ง “ข้าไม่มี…”

“ไม่มีอย่างนั้นหรือ แล้วเหตุใดเจ้าจึงยึดป้ายหมายเลขที่เหลือเอาไว้ไม่มอบให้พวกข้า ซ้ำยังหาข้ออ้างว่าป้ายหมายเลขไม่สามารถส่งต่อได้ หากเฉพาะบุคคลจริงๆ แต่เจ้ากลับจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าใครได้เลขอะไร แล้วจะทำอย่างที่ว่าเฉพาะบุคคลเฉพาะเลขอย่างไรกัน”

เด็กสาวกล่าวอย่างฉับไว เหตุผลก็กระจ่างแจ้ง จนเด็กเฝ้าประตูหัวใสที่โดนถามเช่นนี้จนปัญญาไร้ข้อโต้แย้ง

ลั่วเซิงก้าวไปข้างหน้าพร้อมแส้ยาวในมือ น้ำเสียงดุร้ายยิ่งกว่าเก่า “เจ้าบอกข้าสิ ว่ากฎที่หมอเทวดาตั้งไว้นั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ในชั่วข้ามคืน หรือเป็นเจ้าที่จงใจทำให้เรื่องยากขึ้น”

ใบหน้าของเด็กเฝ้าประตูพลันเปลี่ยนสี “กฎที่ตั้งโดยหมอเทวดาย่อมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้!”

ผู้ที่มาขอรับการรักษาส่วนใหญ่ก็เป็นผู้ร่ำรวยมีฐานะดีสูงส่ง การให้คนกลุ่มหนึ่งปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ในตอนแรกย่อมประสบปัญหาบ้าง จนถึงยามนี้ก็มิใช่เรื่องง่ายที่ทุกคนจะยินยอมทำตามโดยไม่โต้แย้ง ไหนเลยจะสามารถเปลี่ยนได้ตามอำเภอใจ

หากเป็นเช่นนี้ กฎเกณฑ์ก็ไม่นับว่าเป็นกฎเกณฑ์แล้ว

หากหมอเทวดารู้เข้าว่าเขาทำผิดกฎอันเคร่งครัด จะต้องถูกไล่ออกเป็นแน่!

เด็กเฝ้าประตูพลันตื่นตระหนกครั้งใหญ่

ลั่วเซิงเหวี่ยงแส้เบาๆ ราวกับคุณหนูธรรมดาคนหนึ่งกำลังโบกผ้าเช็ดหน้า กล่าวอย่างใจเย็น “ข้าและพี่น้องมีความตั้งใจจริง มาที่นี่ก็เพื่อขอรับการรักษาให้บิดา ในเมื่อกฎของหมอเทวดาที่กำหนดไว้มิได้เปลี่ยนแปลง เช่นนั้นเจ้าโปรดบอกข้าต่อหน้าทุกคนด้วยเถิด แท้จริงแล้วกฎมีอะไรบ้าง”

ใบหน้าของเด็กเฝ้าประตูซีดเผือด ริมฝีปากสั่นเทา สุดท้ายจึงค้อมกายลง ก้มศีรษะไปทางด้านข้าง “เป็นข้าน้อยเองที่เลอะเลือนไปชั่วครู่ เชิญคุณหนูเข้าไปได้”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท