ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 63 ช่วยข้าเรื่องหนึ่ง

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 63 ช่วยข้าเรื่องหนึ่ง

ลั่วเซิงเงียบไม่ได้ตอบคำ

ซือหนานไม่สามารถรักษาความสงบพร้อมจะตายได้อีกต่อไป เขาถามเสียงสั่น “เจ้ารู้ได้อย่างไรกันแน่”

ลั่วเซิงก้าวไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าวจนแทบจะสัมผัสตัวของเขาได้

นางลดเสียงลง เสียงของนางเบาจนเหมือนกับเสียงสายลมหอบหนึ่งพัดผ่าน “อาหลี่ เจ้าเชื่อเรื่องยืมศพคืนชีพหรือไม่”

ม่านตาซือหนานหดตัว เขามองลั่วเซิงตาไม่กะพริบ

“ข้าคือท่านหญิงชิงหยางจึงรู้ว่าเจ้าชื่ออาหลี่” ลั่วเซิงพูดขึ้นทีละคำ

นางไม่ได้พูดตอนอยู่ต่อหน้าซิ่วเย่ว์และหมอเทวดาหลี่ แต่ต่อหน้าซือหนาน นางจะไม่พูดอีกไม่ได้แล้ว

ซือหนานอยู่ในคุก จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ จะรอให้นางค่อยๆ คิดวางแผนไม่ได้ นางจึงทำได้เพียงพูดออกมา เดิมพันว่าอีกฝ่ายจะเชื่อหรือไม่เชื่อ

“เรื่องเหลวไหลเช่นนี้ เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อหรือ” ซือหนานแววตาลุ่มลึก แสงที่ทอประกายกลับเผยให้เห็นถึงความสั่นคลอนในจิตใจ

ลั่วเซิงยิ้มขมขื่น “ข้าเองก็คิดว่าเหลวไหล แต่เรื่องมันเกิดขึ้นแล้วจริงๆ ข้าอยู่ที่นี่นานไม่ได้ ต่อไปเกรงว่าคงไม่มีโอกาสได้มาอีก ข้ามีอะไรจะถามเจ้า”

นางเพิ่งเชิญหมอเทวดาหลี่มาช่วยชีวิตแม่ทัพใหญ่ลั่ว โวยวายว่าจะมาที่นี่เพื่อพบหน้านายบำเรอที่ทำร้ายท่านพ่อ แม้จะเอาแต่ใจไปบ้าง แต่ก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์

แต่ถึงอย่างไรซือหนานก็เป็นนักโทษ ต่อไปหากนางจะมาอีกคงยากแล้ว ต่อให้แม่ทัพใหญ่ลั่วจะตามใจบุตรสาวเพียงใดแต่ก็ไม่มีทางให้นางเห็นคุกองครักษ์จิ่นหลินเป็นสวนดอกไม้หลังจวนลั่วแน่

“ถามสิ” ความดูแคลนของซือหนานที่มีต่อลั่วเซิงค่อยๆ หายไปโดยไม่รู้ตัว

เขายังคงไม่อยากจะเชื่อ ยิ่งไม่กล้าที่จะเชื่อ แต่ลึกๆ ในใจกลับหวังว่าจะเป็นเรื่องจริง

หากเป็นท่านหญิงจริงๆ ก็จะล้างแค้นให้จวนเจิ้นหนานอ๋องได้แล้วสินะ

“เป่าเอ๋อร์… ยังมีชีวิตหรือไม่” ลั่วเซิงเอ่ยปากอย่างยากลำบาก นางแทบจะต้องใช้พลังทั้งหมดที่มีเพื่อพูดประโยคนี้ออกมา

“เป่าเอ๋อร์” ชื่อเรียกนี้ทำให้ซือหนานหวั่นไหวเล็กน้อย

เขามองลั่วเซิงอยู่นานก่อนจะสั่นศีรษะ

ทันทีที่เขาสั่นศีรษะ หัวใจของลั่วเซิงจมดิ่ง แม้กระทั่งเสียงที่ดังขึ้นตามมาของเขานางก็ไม่ได้ยิน

“ท่านอ๋องน้อยเสียแล้ว เขาร่วงลงมาตายบนถนนหน้าจวนอ๋อง…”

ลั่วเซิงหลับตา น้ำตาไหลพราก

ซือหนานมองน้ำตาที่ทำให้ขนตานางเปียกปอน เขาเริ่มเชื่อแล้ว

หากนางถามแค่คำถามนี้ เช่นนั้นเขายอมที่จะเชื่อว่านางคือท่านหญิง

“เจ้า… อย่าร้องเลย” จู่ๆ ซือหนานก็ไม่รู้ว่าควรเรียกนางอย่างไร สุดท้ายใช้คำว่า ‘เจ้า’

ลั่วเซิงลืมตาขึ้น แววตายังคงมีความเจ็บปวดที่มิอาจลบทิ้งไปได้

ซือหนานคุ้นเคยกับความเจ็บปวดเช่นนี้

นี่คือความรู้สึกที่เขารู้สึกบ่อยครั้งหลังจากที่จวนอ๋องล่มสลาย

หลังจากวันนั้น ชีวิตของเขาก็ไร้ความสุข มีเพียงความเจ็บปวดและความแค้น

“เจ้ามีอะไรจะถามอีกหรือไม่” ซือหนานถาม ในใจกลับเริ่มประหม่า

หากนางถามว่าเขาได้ติดต่อกับผู้โชคดีที่เหลือรอดของจวนเจิ้นหนานอ๋องหรือไม่อย่างที่คนสอบปากคำเหล่านั้นถาม เช่นนั้นเขาคงต้องคิดว่าทุกสิ่งที่สตรีนางนี้พูดเป็นเพียงเรื่องโกหกที่นางกุขึ้นอย่างละเอียดรอบคอบ

อันที่จริงแม้จะเป็นเรื่องโกหกที่สร้างขึ้นเพื่อหลอกให้เขาพูดก็ไม่เป็นไร เพราะเขาไม่รู้จริงๆ ว่าจวนอ๋องมีใครที่เหลือรอดบ้าง

เขาเป็นเพียงเด็กน้อยอายุสิบขวบเมื่อครั้นเกิดโศกนาฏกรรม

แต่ถึงอย่างไรก็ยังนึกเสียใจและเสียดาย เขาหวังยิ่งกว่าใครว่าคนตรงหน้าคือท่านหญิงคืนชีพที่มาตามหาผู้ทำร้ายจวนอ๋องจริงๆ

ลั่วเซิงสั่นศีรษะ “ไม่มีแล้ว”

ไม่มีอะไรอยากถามแล้ว

หากน้องเล็กตายไปตั้งแต่ครานั้น นางยังมีอะไรจะถามอีกเล่า

ถามถึงผู้รอดชีวิตเหล่านั้นแล้วมีประโยชน์อะไร จะให้นางจับพวกเขาลากลงขุมนรกแห่งการแก้แค้นหรือ

ดวงตาของซือหนานเป็นประกายเล็กน้อย เขามองลั่วเซิงตาไม่กะพริบ

หญิงสาวตรงหน้าราวกับทับซ้อนกับท่านหญิงผู้สูงศักดิ์ทว่าอ่อนโยนที่อยู่ในความทรงจำของเขา

“ขอโทษ ข้าช่วยเจ้าไม่ได้” ลั่วเซิงพูด รู้สึกขมขื่น

แม้จะเป็นคุณหนูลั่วก็มีเรื่องที่ไม่สามารถทำได้

ในฐานะที่เป็นท่านหญิงชิงหยาง เรื่องที่ห้ามไม่ให้นางเอาแต่ใจตนเองนั้นย่อมมีมากกว่า

เหมือนกับว่าซือหนานไม่สนใจคำพูดของลั่วเซิง เขามองและยิ้มให้นาง

มันเป็นรอยยิ้มที่ไม่ได้เจือความดูแคลนและไม่ใช่รอยยิ้มโปรยเสน่ห์ เป็นเพียงรอยยิ้มที่สุดแสนจะบริสุทธิ์

“ข้าอยากให้เจ้าช่วยข้าเรื่องหนึ่ง” ซือหนานเอ่ยเสียงเบา

เขายังคงพูดว่า ‘ท่านหญิง’ สองคำนี้ไม่ออก แต่เขาหวังว่านางจะใช่

“ว่ามา”

“ฆ่าข้าที”

ลั่วเซิงมือสั่น ถามว่า “เจ้าพูดว่าอะไรนะ”

รอยยิ้มของซือหนานปรากฏความขมขื่น “เครื่องมือทรมานในคุกเกือบทั้งหมดเคยใช้กับข้าแล้ว ทุกเวลาทุกวินาทีของข้าตายเสียดีกว่าอยู่ หากเจ้าเต็มใจที่จะช่วยข้าก็ฆ่าข้าเถิด”

ลั่วเซิงมองลงไปที่ข้อมือของซือหนาน

ข้อมือของเขาถูกรัดแน่นด้วยโซ่เหล็ก แทบจะเห็นกระดูกอยู่แล้ว เสื้อผ้าที่ไม่รู้ว่าสีอะไรขาดวิ่น บาดแผลถลอกปอกเปิกไปทั่ว

นางอยู่ใกล้กับเขามากจนนางได้กลิ่นเหม็นเน่าจางๆ

ซือหนานพูดถูก ทุกวินาทีที่มีชีวิตแบบนี้ตายเสียดีกว่าอยู่จริงๆ

องครักษ์จิ่นหลินไม่มีทางปล่อยซือหนาน สุดท้ายไม่ว่าถามอะไรไป ไม่ว่าจะได้สิ่งที่ต้องการหรือไม่ ซือหนานก็ต้องเผชิญกับจุดจบเช่นเดียวกัน

“ช่วยให้ข้าหลุดพ้นที ได้หรือไม่” ซือหนานพูดเสียงเบา ดวงตางดงามเป็นอิสระคู่นั้นทอประกายแสงแห่งความหวัง

ลั่วเซิงเงียบไปนานกว่าจะพยักหน้าเบาๆ “ได้”

นี่คงเป็นสิ่งเดียวที่นางทำให้เขาได้

“ขอบคุณมาก” ซือหนานมองลั่วเซิงอย่างตั้งใจ ราวกับอยากจะจดจำใบหน้าของนางไว้ก่อนจะค่อยๆหลับตาลง

ลั่วเซิงยื่นมือเข้าไปในอกหยิบกริชเล่มหนึ่งออกมา นางกัดฟันแทงเข้าไปที่หัวใจของซือหนาน

ในเมื่อรับปากเขาแล้ว ความลังเลคือการทรมานเขา

ซือหนานพลันลืมตาขึ้นด้วยความเจ็บปวด เลือดไหลลงมาจากมุมปาก

“ท่าน…” เขาขยับปาก ศีรษะห้อยตกลง

ลั่วเซิงถอยหลังสองก้าว มือสั่นระริก

อวิ๋นต้งได้ยินเสียงจึงเดินเข้ามา เห็นภาพตรงหน้าก็ตกใจ “คุณหนูสาม!”

ลั่วเซิงหันไป สีหน้าชะงักงัน

อวิ๋นต้งเดินจ้ำอ้าวเข้ามา เมื่อตรวจลมหายใจแล้วหน้าพลันเปลี่ยนสี “เจ้าฆ่าเขา?”

ลั่วเซิงยื่นมือไปดึงชายเสื้อของอวิ๋นต้ง พึงพำว่า “เขาบอกว่าท่านพ่อข้าสมควรตาย ข้าโมโห…”

อวิ๋นต้งไม่รู้จะพูดอะไรดี

ผู้คุมที่เดินตามเข้ามาทำอะไรไม่ถูก “นายท่านห้า ทำอย่างไรดีขอรับ”

อวิ๋นต้งตั้งสติได้ มองผู้คุมอย่างเยือกเย็น “นักโทษตายเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว จำไว้”

ลั่วเซิงเป็นบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนของพ่อบุญธรรม องครักษ์จิ่นหลินไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากช่วยปิดบัง เพียงแต่ว่าผิงลี่คงต้องเสียประโยชน์ไปอย่างช่วยไม่ได้

แน่นอนว่าเขาก็เช่นกัน

อวิ๋นต้งมองมือขาวเนียนงดงามดั่งหยกที่ดึงเสื้อเขาพลางถอนหายใจ “คุณหนูสาม ให้ข้าส่งเจ้ากลับจวนเถิด”

หากดูแค่มือ สามารถจินตนาการได้ว่าเจ้าของมือเป็นเพียงหญิงสาวบอบบาง ใครจะไปคิดว่าเมื่อคิดจะฆ่าคนแล้วก็ลงมือฆ่าได้อย่างคล่องแคล่วเช่นนี้

กริชเล่มนั้นแทงเข้าที่หัวใจของซือหนานอย่างแม่นยำ คนๆ นั้นคงสิ้นใจก่อนที่จะรู้สึกอะไรด้วยซ้ำ

เขากลัวคุณหนูสามท่านนี้จริงๆ

“อืม” ลั่วเซิงปล่อยมือ พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง

นางเดินตามอวิ๋นต้งออกจากคุก ไม่ได้เหลียวหลังไปมองอีก

นางอยากจะช่วยเขาเช็ดเลือดที่มุมปาก จัดเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นของเขา แต่ก็ทำไม่ได้

อาหลี่ เจ้าจงจำไว้ว่าชาติหน้าเจ้าจะต้องเกิดมาเป็นเพียงสามัญชนที่ไม่ข้องเกี่ยวกับอำนาจและความมั่งคั่ง อยู่ร่วมกับครอบครัวอย่างเรียบง่ายและมีความสุข

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท