ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 79 เขาก็อยู่ที่นี่

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 79 เขาก็อยู่ที่นี่

เหตุใดไคหยางอ๋องยังไม่กลับ

คำถามนี้แม้จะถามเว่ยหาน เขาก็ตอบไม่ได้

จะมีคำว่าทำไมมากมายไปไย ถึงอย่างไรกลับจวนไปก็ไม่มีอะไรทำ

แต่วันนี้เหมือนกับว่าองค์รัชทายาทจะใส่ใจเขาเป็นเพิเศษ บางทีเขาคงต้องกลับแล้ว

ขณะที่คิดเช่นนี้ เว่ยหานก็วางจอกสุราลงเบาๆ กำลังจะลุกขึ้น

ครานี้เองคนใช้จวนอ๋องคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหาผิงหนานอ๋อง “ท่านอ๋อง เกิดเรื่องแล้วขอรับ!”

“เรื่องอะไร” ผิงหนานอ๋องไม่พอใจอย่างยิ่ง เขาพยายามอดกลั้นความหงุดหงิดและถามขึ้น

งานเลี้ยงวันเกิดของพระชายาผิงหนานอ๋อง คนที่มาแสดงความยินดีไม่รู้มีมากเท่าไร นอกจากโถงรับรองงานเลี้ยงแล้วยังมีห้องโถงเล็กๆ แยกอีกหลายแห่ง ผู้ที่ทำให้เขาอยู่ในโถงนี้ล้วนเป็นผู้มียศถาบรรดาศักดิ์

คนใช้วิ่งมาด้วยความตื่นตระหนกเช่นนี้ต่อหน้าคนเหล่านี้ช่างไร้มารยาทจริงๆ

แต่นี่ก็ทำให้ผิงหนานอ๋องหนักใจ รู้สึกมีลางสังหรณ์ไม่ดี

คนใช้เดินเข้าใกล้ รายงานเสียงเบาว่า “หลานสาวคนโตของท่านเฉินถูกฆ่าขอรับ…”

“ว่าไงนะ” ได้ยินแค่เกริ่นนำ ผิงหนานอ๋องก็ทำจอกสุราร่วง ร้องอุทานด้วยความตกใจ

ในโถงเงียบจนได้ยินเสียงเข็มตก ใบหูมากมายตั้งชัน แน่นอนว่าใบหน้ายังคงทำเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ต่างทำท่ายกจอกสุราที่เต็มบ้างว่างบ้างมาที่ปาก

“พูดต่อ!” ผิงหนานอ๋องกล่าวอย่างเคร่งขรึมโดยไม่สนใจสุราที่ไหลลงมาที่มือ

คนใช้ลดระดับเสียงลง “ร่างของคุณหนูใหญ่เฉินถูกพบใต้พุ่มดอกโบตั๋น บนตัวของคุณหนูมีกริชเล่มหนึ่งปักอยู่ ว่ากันว่ากริชเป็นของคุณหนูลั่วบุตรสาวของแม่ทัพใหญ่ลั่วขอรับ…”

ผิงหนานอ๋องประคองขอบโต๊ะที่สุราหกเลอะเต็มโต๊ะ

บุตรสาวของแม่ทัพใหญ่ลั่ว?

ปริมาณข้อมูลนี้มหาศาลจริงๆ

ทุกคน “…” คนใช้บัดซบนั่นพูดอะไรกันแน่ ไม่ได้ยินเลย!

“ยังมีร่างของสาวใช้ท่านหนึ่งถูกพบในสวนไผ่…”

ผิงหนานอ๋องลุกพรวด สายตามองหาท่านเฉิน จำเป็นต้องพูดขึ้นว่า “ท่านเฉิน หลานสาวท่านเกิดเรื่อง เชิญตามข้าไปสวนดอกไม้”

ท่านเฉินลุกขึ้นด้วยความงงงวย

เขาอายุมากแล้วแค่อยากรู้อยากเห็นว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เหตุใดเรื่องนั้นกลายเป็นเรื่องของตนเองเล่า

ผิงหนานอ๋องประสานมือคำนับแม่ทัพใหญ่ลั่วอีกครั้ง “ท่านแม่ทัพใหญ่ก็ไปพร้อมข้าเถิด”

แม่ทัพใหญ่ลั่วลุกขึ้นอย่างสงบนิ่ง

เขาว่าแล้วว่าความเดือดร้อนแบบนี้จะขาดบุตรสาวของเขาได้อย่างไร

มีเรื่องให้คนเป็นพ่อกังวลไม่หมดจริงๆ

เมื่อทุกคนเห็นแม่ทัพใหญ่ลั่วลุกขึ้นก็กระจ่างในทันที เห็นทีลูกสาวของแม่ทัพใหญ่ลั่วนั่นก่อเรื่องอีกแล้ว!

การรู้ว่าเป็นท่านเฉินและแม่ทัพใหญ่ลั่วนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ ที่สำคัญคือ… ผิงหนานอ๋องมองไปที่เสนาบดีฝ่ายบริหารกรมตุลาการ

ที่สำคัญคือผิงหนานอ๋องต้องเชิญผู้สอบสวนคดีไป ทว่าเมื่อทำเช่นนี้เท่ากับว่าไม่สามารถปิดบังได้อีก

ช่างเถิด เรื่องใหญ่ขนาดนี้อันที่จริงก็ไม่สามารถปิดบังได้

ผิงหนานอ๋องตัดสินใจเอ่ยขึ้นว่า “เสนาบดีจ้าวก็ไปกับข้าเถิด”

ทันที่ประโยคนี้ดังขึ้น สีหน้าของทุกคนก็แสดงความประหลาดกว่าเดิม จนเมื่อผิงหนานอ๋องพาทั้งสามจากไป ห้องโถงก็เสียงดังเซ็งแซ่

“เรียกผู้ปกครองไปน่ะเข้าใจได้ แต่เหตุใดจึงเรียกเสนาบดีจ้าวไปด้วยเล่า”

“ซี้ด… เสนาบดีจ้าวดูแลกรมตุลาการ เห็นทีเรื่องวันนี้คงไม่เบา!”

ผู้มีหูดีลังเลพูดขึ้นว่า “เหมือนกับว่าข้าจะได้ยินคำว่า ‘ร่าง’ …”

“คงไม่ใช่หรอกนะ แค่ความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ ของเหล่าคุณหนู เหตุใดจึงเกี่ยวโยงเรื่องศพไปได้”

“หากเป็นเรื่องเล็ก เหตุใดจึงเรียกเสนาบดีจ้าวไปด้วยเล่า”

มีเสียงๆ หนึ่งดังขึ้น “หรือไม่… ไปดูด้วยกัน?”

คนที่ได้ยินเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพากันลุกขึ้น “ไป ไปดูกันเถอะ”

“ใต้เท้าทุกท่าน…” ผู้ดูแลที่คอยดูแลในจวนร้อนรนจนเหงื่อตก ทว่าใต้เท้ามากมายขนาดนี้ดันเกาะกลุ่มกันไปดู ผู้ดูแลเช่นเขาไหนเลยจะห้ามไว้ได้

“นะ นี่…” ผู้ดูแลจวนอ๋องกระวนกระวายใจ พบเว่ยหานและองค์รัชทายาทที่ยังคงนั่งอย่างสุภาพ

องค์รัชทายาทและไคหยางอ๋องเยือกเย็นสุขุมจริงๆ!

เว่ยหานลุกขึ้น

“เสด็จอาเล็กจะกลับแล้วหรือ”

เว่ยหานมองรัชทายาท พูดราบเรียบว่า “ข้าจะไปดู”

จนเมื่อเว่ยหานออกไป องค์รัชทายาทยังคงตั้งสติไม่ได้

เสด็จอาเล็กคนนี้วันนี้เป็นอะไรไปนะ

องค์รัชทายาทตามออกไปด้วยความประหลาดใจ

เหลือเพียงผู้ดูแลจวนอ๋อง “…”

เขาก็ไปดูด้วยดีกว่า!

แม่นางน้อยในสวนที่มีสีหน้าขาวซีด ผิงหนานอ๋องและคนอื่นๆ ที่ตามมาถึงสีหน้าย่ำแย่ยิ่งกว่า

ท่านเฉินพูดด้วยเสียงแหบแห้งว่า “ท่านแม่ทัพใหญ่ โปรดให้คำอธิบายกับสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้แก่ข้าด้วย!”

แม่ทัพใหญ่ลั่วไม่ได้ยอมจำนน “บุตรสาวข้าบอกว่าไม่เกี่ยวข้องกับนาง ท่านอย่าเพิ่งวู่วาม อดทนรอดูเหตุการณ์ไปก่อน รอให้เสนาบดีจ้าวไต่สวนแล้วค่อยว่ากัน”

เสนาบดีที่กำลังกัดฟันไต่สวนทุกข์ใจ

ที่เขามาเป็นเสนาบดีฝ่ายบริหารกรมตุลาการไม่ใช่เพราะเก่งเรื่องไขคดีเสียหน่อย!

ยามนี้ทำได้เพียงถามพลางรอให้ผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีความสามารถมาถึง

“ถ้าเช่นนี้ ตอนที่พวกเจ้ามาที่พุ่มดอกโบตั๋นเห็นคุณหนูลั่วที่กำลังเดินกลับพอดีหรือ”

สตรีสูงศักดิ์สามสี่นางมองหน้ากันไปมาและพากันพยักหน้า

เสนาบดีจ้าวลูบเครา “ซึ่งก็หมายความว่าคุณหนูลั่วเป็นคนแรกที่มาถึงที่นี่”

แม่ทัพใหญ่ลั่วอดแย้งกลับไม่ได้ “จะด่วนสรุปเช่นนี้ได้อย่างไร จะบอกว่าบุตรสาวข้าเป็นคนแรกที่มาถึงเพียงเพราะไม่มีคนเห็นคนที่มาเร็วกว่านั้นไม่ได้”

เสนาบดีฝ่ายบริหารกรมตุลาการแท้ๆ สอบสวนคดีไม่เป็นมืออาชีพเลย!

ท่านเฉินโมโหพูดว่า “วันนี้บุตรสาวของท่านมีเรื่องขัดแย้งกับหลานสาวข้า นางมีแรงจูงใจ กริชที่แทงหลานสาวข้าตายก็เป็นกริชของบุตรสาวท่าน นี่คือพยานวัตถุ แม่นางน้อยเหล่านี้เห็นบุตรสาวท่านเดินกลับจากพุ่มดอกโบตั๋น ถือว่าเป็นพยานบุคคล บัดนี้พยานบุคคล พยานวัตถุและแรงจูงใจเพียบพร้อม แม่ทัพใหญ่ลั่วยังคิดว่าข้อสรุปที่ว่าบุตรสาวท่านคือฆาตรกรนั้นสุกเอาเผากินอีกหรือไม่”

เสนาบดีจ้าวอดไม่ได้ที่จะพยักหน้า

ท่านเฉินวิเคราะห์ได้มีเหตุผลจริงๆ ดูเหมือนว่าสามารถไขคดีได้ดีกว่าเขา

ทว่าแม่ทัพใหญ่ลั่วพูดเพียงประโยคเดียว “บุตรสาวบอกว่าไม่เกี่ยวกับนาง เช่นนั้นย่อมไม่เกี่ยวข้องกับนาง!”

ไม่ว่าบุตรสาวนางจะแย่แค่ไหน แต่นางไม่เคยไม่ยอมรับปัญหาที่นางก่อ

ท่านเฉินโกรธมากจนหนวดของเขาสั่นเทิ้ม “ท่านแม่ทัพใหญ่ลั่ว คำพูดนี้ของท่านน่าขันเกินไป! พยานบุคคลและพยานวัตถุครบครัน แค่ไม่ยอมรับก็จบเรื่องได้หรือ”

น้ำเสียงเย็นชาเสียงหนึ่งดังขึ้น “ข้ามีอะไรจะพูด”

แม่ทัพใหญ่ลั่วชะงัก “เซิงเอ๋อร์…”

ลั่วเซิงเหลือบมองแม่ทัพใหญ่ลั่วทีหนึ่งก่อนจะมองกลับมาที่สตรีสูงศักดิ์สามสี่คนที่ให้ปากคำ “พวกเจ้าเห็นข้าถือกริชฆ่าคนหรือไม่”

สตรีสูงศักดิ์สามสี่คนสั่นศีรษะช้าๆ

ลั่วเซิงเชิดคางมองท่านเฉิน “ท่านได้ยินแล้ว พวกนางไม่ได้เห็นข้าฆ่าคนต่อหน้า นี่มันพยานบุคคลขี้หมูขี้หมาอะไรกัน!”

สตรีสูงศักดิ์สามสี่ท่านรู้สึกกระอักกระอ่วนทันที

พยานบุคคลขี้หมูขี้หมา… นี่มันหยาบคายเกินไปแล้ว

“แล้วพยานวัตถุเล่า” แม้ท่านเฉินจะสะเทือนใจมากเพราะการตายของหลานสาว แต่ถึงอย่างไรก็เป็นผู้เคยผ่านร้อนผ่านหนาวมา ยังคงควบคุมตนเองได้เมื่อต้องเผชิญกับแม่นางน้อยคนหนึ่ง

“พยานวัตถุ?” ลั่วเซิงเลิกคิ้ว “ท่านหมายถึงกริชที่แทงคุณหนูใหญ่เฉินตายเล่มนั้นหรือ”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ นางเลิกคิ้วแล้วยิ้ม “แต่กริชเล่มนั้นไม่ใช่ของข้า”

“เจ้าพูดว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่หรือ” จูหานซวงยืนท่ามกลางฝูงชน พูดขึ้นอย่างทนไม่ไหวอีกต่อไป

ลั่วเซิงไม่สนใจคนพูดแทรก นางหันไปยิ้มกับเสนาบดีจ้าว “ข้าไม่มีโอกาสได้พูดเลยว่ากริชฝังอัญมณีเล่มนั้นของข้า ข้ามอบให้คนอื่นไปนานแล้ว”

มอบให้คนอื่น?

ทุกคนลอบส่ายศีรษะ

นี่เป็นข้ออ้างที่งี่เง่าจริงๆ คิดว่าบอกว่าให้เพื่อนสนิทคนไหนเป็นของขวัญไปแล้วจะพ้นจากการตกเป็นผู้ต้องสงสัยได้หรือ

“คือว่า… คนที่รับกริชของข้าไปก็อยู่ที่นี่” ลั่วเซิงมองผ่านฝูงชนและยิ้มให้เว่ยหาน

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท