ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 82 ความกลัวคือมีดสังหาร

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 82 ความกลัวคือมีดสังหาร

“ใคร” เสียงหลายเสียงถามขึ้นพร้อมกัน

สายตาของลั่วเซิงหยุดอยู่ที่ดอกโบตั๋นที่งดงามไร้ที่เปรียบ พูดขึ้นทีละพยางค์ว่า “คุณหนูใหญ่เฉิน”

ทันทีที่ได้ยินคำตอบ ทุกคนก็ตกตะลึงและอดมองไปที่ท่านเฉินไม่ได้

ในฐานะที่เป็นท่านปู่ ท่านเฉินย่อมรู้ว่าหลานสาวถนัดซ้าย แต่เขาก็รู้ว่าหลานสาวได้รับการอบรมสั่งสอนอย่างเคร่งครัด ปกติแล้วไม่ว่าจะกินข้าวหรือเขียนหนังสือก็ใช้มือขวา ตามหลักแล้วคนนอกไม่มีทางรู้ว่านางถนัดซ้าย

เขายังจำได้ว่าเมื่อตอนเด็กๆ ทุกครั้งที่หลานสาวจับตะเกียบมือซ้ายก็จะถูกตีฝ่ามือหนึ่งที เมื่อถูกตีบ่อยเข้าจึงเปลี่ยนมาใช้มือขวา

บุตรสาวของแม่ทัพใหญ่ลั่วรู้ได้อย่างไรว่าหลานสาวถนัดซ้าย

อำมาตย์เฉินมองลั่วเซิงอย่างตะลึงงัน

เสนาบดีจ้าวรีบถามขึ้นว่า “คุณหนูลั่วรู้ได้อย่างไร”

ลั่วเซิงอธิบายทันทีว่า “ก่อนหน้านี้น้องสี่ข้าทะเลาะกับคุณหนูใหญ่เฉินที่ศาลา คุณหนูใหญ่เฉินตบน้องสี่ข้า คุณหนูทุกท่านคงยังจำได้ใช่หรือไม่”

เหล่าสตรีพยักหน้า

เรื่องนี้ต้องจำได้อยู่แล้ว

คนอื่นกลับลอบส่ายศีรษะ

หลานสาวคนนี้ของท่านอำมาตย์เฉินชอบวางอำนาจบาตรใหญ่จริงๆ

บุตรสาวของแม่ทัพใหญ่ลั่วชอบวางอำนาจบาตรใหญ่ยิ่งกว่า?

นี่จะเหมือนกันได้อย่างไร คุณหนูใหญ่เฉินตกเป็นเหยื่อโดยไม่ทราบสาเหตุ คุณหนูใหญ่ลั่วยังชี้ตัวว่านางคือฆาตกรได้ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

หากไม่มีความสามารถในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้สำเร็จก็อย่าดันทุรัง ไม่สามารถวางอำนาจบาตรใหญ่ก็จงทำตัวดีและมีเหตุผล

เมื่อเห็นเหล่าสตรีพยักหน้าอย่างให้ความร่วงมือ ลั่วเซิงก็พูดต่อไปว่า “คุณหนูใหญ่เฉินตบค่อนข้างแรง ครานั้นใบหน้าของน้องสี่ข้าเห็นรอยฝ่ามือชัดเจน ตอนที่ข้ากลับมายังไม่จาง และข้าสังเกตเห็นว่า รอยฝ่ามือนั่นอยู่บนแก้มด้านขวาของน้องสี่ข้า”

แก้มด้านขวา?

คนที่ตอบสนอช้ายังไม่ค่อยเข้าใจ

ลั่วเซิงถามชายหนุ่ม “เช่นนี้เป็นการพิสูจน์ว่าคุณหนูใหญ่เฉินถนัดซ้ายได้หรือไม่”

ชายหนุ่มประสานคือ “คุณหนูพูดถูก หากใช้มือขวาตบ ก็จะตบบนแก้มด้านซ้ายของฝ่ายตรงข้าม หากใช้มือซ้ายก็จะกลับกัน เราทุกคนใช้มือข้างขวาเป็นหลัก ผู้ที่เกิดมาใช้มือซ้ายปกติแล้วจะถูกแก้ไข นานวันเข้าก็จะสามารถใช้มือทั้งสองข้างได้ แต่ว่านิสัยแต่กำเนิดนั้นเปลี่ยนแปลงได้ยาก คนประเภทนี้มักจะใช้มือที่ถนัดจริงๆ ในเวลาคับขัน”

“มีเหตุผลมาก” ลั่วเซิงพยักหน้า กล่าวชมจากใจ

ชายหนุ่มผู้มีสีหน้าจริงจังใบหูแดงก่ำทันที

เป็นครั้งแรกที่เขาถูกสตรีสูงศักดิ์คนหนึ่งชมต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้

เว่ยหานคอยมองอยู่ข้างๆ ขมวดคิ้วอย่างไม่รู้ตัว

เขาไม่เคยเห็นคุณหนูลั่วชมผู้อื่นอย่างจริงใจเช่นนี้มาก่อน

“ถ้าเช่นนี้ สาวใช้ของจวนอ๋อง คุณหนูใหญ่เฉินเป็นคนฆ่าหรือ” เสนาบดีจ้าวไม่ค่อยอยากจะเชื่อนัก

เรื่องที่เกิดขึ้นคาดไม่ถึงจริงๆ จู่ๆ เหยื่อก็กลายเป็นฆาตกรเสียอย่างนั้น

ชายหนุ่มประสานมือ “หากครานั้นผู้ที่อยู่ในสวนมีเพียงคุณหนูใหญ่เฉินถนัดซ้าย เช่นนั้นก็จะได้ข้อสรุปนี้ขอรับ”

เหล่าสตรีพากันพูดขึ้นว่า “ข้าถนัดขวา!”

พระชายาผิงหนานอ๋องเอ่ยขึ้นว่า “ผู้ดูแลมีรายชื่อของสตรีที่มีสาวใช้ติดตามมาในสวนทุกคน สามารถตรวจสอบตามรายชื่อว่าพวกนางถนัดใช้มือข้างไหน”

เมื่อได้ยินว่าผู้ที่ฆ่าสาวใช้ถนัดซ้าย พระชายาผิงหนานอ๋องก็วางใจลง

ไม่ใช่แค่บุตรสาวของนางที่ไม่ถนัดซ้าย แม้แต่สาวใช้ในจวนอ๋องก็ถูกคัดเลือกมาอย่างเคร่งครัด ผู้ที่เกิดมาถนัดซ้ายไม่ถูกเลือกอยู่แล้ว

แน่นอนว่าจวนอ๋องพูดเช่นนี้ใช่ว่าจะมีน้ำหนักพอ ให้คนกรมยุติธรรมตรวจสอบให้รู้แล้วรู้รอดเสียดีกว่า จะได้ลบล้างข้อสงสัยในจวนอ๋องให้สิ้น

ชายหนุ่มกล่าว “แม้คนถนัดซ้ายจะสามารถใช้มือขวากินข้าวและเขียนหนังสือเมื่อผ่านการฝึกฝน แต่กิจกรรมที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อนบางอย่างยังคงเป็นอุปสรรค การจะตรวจสอบว่าคนๆ หนึ่งถนัดใช้มือข้างไหนนั้นไม่ยาก”

เสนาบดีจ้าวคิดครู่หนึ่ง ตัดสินใจว่า “เช่นนั้นก็ตรวจสอบก่อนค่อยสรุป”

ต้องกำจัดความเป็นไปได้ออกก่อนถึงจะมีความหมายที่จะตรวจสอบต่อไป

ชายหนุ่มขานตอบก่อนจะขอว่า “โปรดเตรียมไข่มุกที่เจาะรูแล้วและด้ายมาให้จำนวนหนึ่ง”

ของแบบนี้จวนอ๋องย่อมมีไม่น้อย ไข่มุกและด้านเตรียมเสร็จอย่างรวดเร็ว

“คุณหนูโปรดลองทีละคน ขั้นแรกให้ใช้มือขวาสอดด้ายผ่านไข่มุก จากนั้นค่อยใช้มือซ้าย”

“ข้าเริ่มคนแรกเอง” เว่ยเหวินเดินตรงเข้าไป หยิบไข่มุกเม็ดหนึ่งขึ้นมา

เส้นด้ายสอดผ่านรูเล็กของไข่มุกนั้นไม่ง่าย แม้จะใช้มือขวา เว่ยเหวินก็ต้องพยายามหลายครั้งกว่าจะสำเร็จ เมื่อเปลี่ยนเป็นมือข้างซ้ายยิ่งไม่ต้องพูดถึง

เหล่าสตรีทดลอง ไม่มีผู้ใดถนัดซ้าย

“เช่นนี้แล้ว ผู้ที่ใช้กริชแทงสาวใช้ของจวนอ๋องตายคือคุณหนูใหญ่เฉินจริงๆ…” มือที่ลูบเคราของเสนาบดีจ้าวชะงักเล็กน้อย “เช่นนั้นใครเป็นคนฆ่าคุณหนูใหญ่เฉินกัน”

มีคนพูดเสียงเบาว่า “ฆ่าตัวตายเองหรือไม่…”

มีเสียงหัวเราะตามมาอย่างรวดเร็ว “แม้จะฆ่าสาวใช้นางหนึ่งก็คงไม่ถึงกับต้องฆ่าตัวตายหรอก”

“เรื่องนี้เกรงว่าต้องถามคุณหนูรองเฉิน” ชายหนุ่มที่ทำความเข้าใจรูปคดีเอ่ยขึ้น

ทันทีที่คำพูดของเขาดังขึ้น ความสนใจของทุกคนก็พุ่งไปที่คุณหนูรองเฉินที่ยืนไม่ไกลจากท่านอำมาตย์เฉิน

คุณหนูรองร้องไห้จนตาบวม นางก้าวถอยหลังหนึ่งก้าวเหมือนกับว่าคิดไม่ถึงว่าจู่ๆ นางจะถูกกล่าวถึง

อำมาตย์เฉินจ้องชายหนุ่มเขม็ง “หมายความว่าอย่างไรกัน”

คงไม่ใช่หลานสาวคนรองของเขาฆ่าหลานสาวคนโตหรอกนะ

“ใต้เท้าอย่าร้อนรน ปกติเมื่อเกิดเหตุฆาตกรรม ต้องถามผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ที่ใกล้ชิดกับเหยื่อมากที่สุด” ชายหนุ่มตอบอย่างนอบน้อม เขามองคุณหนูรองเฉิน “คุณหนูรองเฉิน เหตุใดครานั้นจึงไม่ได้อยู่กับคุณหนูใหญ่ขอรับ”

ภายใต้สายตามากมายที่จับจ้อง คุณหนูรองเฉินอดหลุบตาลงไม่ได้ เสียงสั่นเครือ “ครานั้นพี่ใหญ่ทะเลาะกับคุณหนูลั่ว พี่ใหญ่อารมณ์เสียมากจึงห้ามไม่ให้ข้าติดตาม นางจึงเดินไปที่พุ่มดอกโบตั๋นคนเดียว…”

“คุณหนูรองเฉินแน่ใจหรือไม่ว่าหลังจากที่คุณหนูใหญ่เฉินแยกทางกับท่านแล้วก็เดินมาทางนี้ทันที ไม่ได้ไปที่อื่นก่อน” ชายหนุ่มซักไซ้ต่อไป

คุณหนูรองเฉินพยักหน้าอย่างลังเล

“หากมาแค่ที่นี่ เช่นนั้นสาวใช้ในสวนไผ่ ผู้ใดเป็นคนฆ่า”

คุณหนูรองเฉินที่ถูกถามชะงัก กัดปากพูดว่า “พี่ใหญ่อาจจะไปสวนไผ่ด้วย เพียงแต่ข้าไม่เห็น…”

“เช่นนั้นคุณหนูรองเฉินได้ไปสวนไผ่หรือไม่”

ครานี้คุณหนูรองเฉินไม่ลังเลแม้แต่น้อย นางสั่นศีรษะ “ข้าไม่เคยไป!”

“ไม่เคยไป?” น้ำเสียงชายหนุ่มเต็มไปด้วยความสงสัย

คุณหนูรองเฉินตาแดง “หลังจากแยกกับพี่ใหญ่ข้าก็ไปชมดอกโบตั๋น ข้าไม่ได้ไปสวนไผ่!”

ชายหนุ่มเลิกคิ้ว “หากเป็นเช่นนี้ เหตุใดจึงมีใบไผ่ติดอยู่บนผมของคุณหนูรองเฉิน”

คุณหนูรองเฉินตกใจ รีบจับผม แต่ครานี้จะส่องกระจกก็ไม่ได้ จะรู้ได้อย่างไรว่าใบไผ่ติดอยู่ตรงไหน

และด้วยเหตุนี้ ท่าทางของนางยิ่งส่อพิรุธ

ชายหนุ่มถาม “ทั้งๆ ที่คุณหนูรองได้ไปสวนไผ่แต่กลับปฏิเสธ กินปูนร้อนท้องหรือ”

เมื่อต้องเผชิญกับสายตาแปลกประหลาดที่จับจ้อง คุณหนูรองเฉินเข่าอ่อนทรุดกองกับพื้น ปิดหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้น

ภายใต้ความกดดันและความหวาดกลัวใหญ่หลวง เมื่อเส้นประสาทแห่งสติขาดสะบั้น อาการแตกสลายก็ตามมา

คุณหนูรองเฉินปิดหน้าพึมพำไม่หยุดว่า “ข้าไม่มีทางเลือก… พี่ใหญ่น่ากลัวเกินไป เพียงเพราะอารมณ์ไม่ดี บทจะฆ่าก็ฆ่าสาวใช้ของจวนอ๋อง… ข้าคงถูกนางฆ่าทิ้งไม่ช้าก็เร็ว ไม่ช้าก็เร็วแน่ๆ…”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท