ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 84 คืนสู่เจ้าของ

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 84 คืนสู่เจ้าของ

ลั่วเซิงมองชายหนุ่มอย่างปลาบปลื้ม นางมองเขาด้วยสายตาตรงไปตรงมา

หลังจากพี่รองออกเรือน นางเคยพาสามีและลูกชายกลับหนานหยาง นางเคยเจอหลานชายคนนี้

ครานั้นหลานชายคนโตยังเป็นเด็กน้อยขี้มูกโป่ง คิดไม่ถึงว่าเพียงพริบตาเดียวสำหรับนาง เขาก็ตัวสูงกว่านางแล้ว

ไม่ถูกสิ… ลั่วเซิงมองชายหนุ่มอย่างพินิจพิเคราะห์ จู่ๆ ก็รู้สึกไม่ใช่

นับตามอายุแล้ว ปีนี้หลานชายคนโตอายุเพิ่งสิบเจ็ด แต่ชายหนุ่มตรงหน้าดูแล้วน่าจะอายุประมาณยี่สิบ หลานชายของนางหน้าแก่เช่นนี้เลยหรือ

ลั่วเซิงมองชายหนุ่มอยู่นาน แม่ทัพใหญ่ลั่วกระแอมเบาๆ บดบังสายตาของบุตรสาวไว้ โน้มน้าวด้วยความจริงจังว่า “เซิงเอ๋อร์ กลับจวนกับพ่อเถอะ”

หลานชายของอาวุโสหลินจะฉุดกลับบ้านไปเป็นนายบำเรอไม่ได้นะ อย่างมากเย้าแหย่สักเล็กน้อยเป็นพอ

เมื่อถูกแม่ทัพใหญ่ลั่วบัง ลั่วเซิงได้แต่มองกลับมา พูดเหมือนไม่ได้ตั้งใจว่า “ที่แท้หลานชายของผู้อาวุโสหลินก็ทำงานในกรมยุติธรรม ลูกได้ยินมาว่ามีความสามารถมากเลย”

แม่ทัพใหญ่ลั่วพูดอย่างสบายๆ ว่า “ผู้ที่มีความสามารถนั่นคือหลานชายคนรอง เขายังเรียนอยู่ในสำนักศึกษา เป็นลูกพี่ลูกน้องกับหลานชายคนโตที่รับราชการอยู่ในกรมยุติธรรม”

ลั่วเซิงถึงบางอ้อ “อย่างนี้นี่เอง เรียนหนังสืออยู่ที่สำนักศึกษาชิงหย่าหรือเจ้าคะ”

เมื่อเห็นสายตามากมายมองมา แม่ทัพใหญ่ลั่วก็กระแอมเบาๆ “เซิงเอ๋อร์ มีอะไรไม่รู้เรากลับจวนแล้วค่อยคุยเถิด”

ชายหนุ่มถูกลั่วเซิงมองเป็นเวลานาน ใบหูของเขาอดแดงไม่ได้ ยิ่งฟังยิ่งรู้สึกแปลก

ก่อนอื่นถามว่าเขาคือใครแล้วยังถามไปถึงลูกพี่ลูกน้องของเขา แม่นางคนนี้ต้องการอะไรกันนะ

เขาเคยได้ยินมาว่าบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนของแม่ทัพใหญ่ลั่วชอบวางอำนาจ เป็นหญิงมักมาก

แต่การที่นางถามเรื่องเขานั้นเข้าใจได้ แต่ถามเรื่องน้องชายของเขาทำไม น้องชายยังเป็นเด็กอยู่เลย!

ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะมองลั่วเซิงผ่านแม่ทัพใหญ่ลั่วที่ร่างกายสูงใหญ่ สายตาจริงจังซ่อนความระแวดระวัง

เว่ยหานเห็นทั้งสองมองกันไปมองกันมาก็หันหลังเดินจากไปด้วยใบหน้าไร้อารมณ์

คดีถูกไขแล้ว ทุกคนก็ไม่ควรอยู่ต่อ ต่างพากันอำลาพระชายาผิงหนานอ๋อง

ร่างสีแดงเข้มที่ปะปนอยู่ในฝูงชนไม่ได้สะดุดตามากนักจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของลั่วเซิง

ตอนนี้นางยังคงมุ่งความสนใจไปที่หลานชาย

พี่หญิงใหญ่ทิ้งบุตรชายหนึ่งคนและบุตรสาวหนึ่งคนไว้ พี่หญิงรองทิ้งบุตรชายหนึ่งคนไว้ บัดนี้พี่สาวทั้งสองไม่อยู่แล้ว เด็กทั้งสามคนจะเป็นอย่างไรนางย่อมต้องใส่ใจ

สือเยี่ยนเห็นเจ้านายเดินไปแล้วแต่คุณหนูลั่วกลับยังนิ่งไม่ขยับก็ไอเสียงดังทีหนึ่ง

คุณหนูลั่วได้ใหม่ลืมเก่าเร็วเกินไปแล้ว เมินนายท่านเช่นนี้ได้อย่างไร

นายท่านก็เช่นกัน เวลาแบบนี้เดินกลับไปได้อย่างไร

คุณหนูลั่วผู้ได้ใหม่ลืมเก่ายังคงไม่ได้มองมาทางนี้ แต่นายท่านจากไปไกลแล้ว

สือเยี่ยนถอนหายใจ รีบวิ่งตามไป

“ไปเถอะ” แม่ทัพใหญ่ลั่วมองบุตรสาวคนที่สาม รู้สึกปลื้มใจ

วันนี้เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ นอกจากเซิงเอ๋อร์ไม่ได้สร้างปัญหาแล้วยังไม่รังแกพี่น้อง นางโตแล้วจริงๆ ส่วนบัญชีที่จวนอำมาตย์เฉินติดค้าง กลับไปค่อยคิดก็ยังไม่สาย

ลั่วฉิงและลั่วเย่ว์แทบจะรอไม่ไหวที่จะออกจากที่นี่ รีบพยักหน้าเห็นด้วย

ลั่วเซิงกลับพูดว่า “ท่านพ่อพาพี่รองและน้องสี่กลับไปก่อน ข้าขอไปคุยด้วยสองสามคำแล้วจะตามไปเจ้าค่ะ”

นางพูดจบไม่รอแม่ทัพใหญ่ลั่วพยักหน้าก็เดินไปทางชายหนุ่มอย่างเปิดเผย

แม่ทัพใหญ่ลั่วไม่ไปแล้ว

จะกล้าไปได้อย่างไร เท้าหน้ากลับไป เท้าหลังบุตรสาวฉุดหลานชายผู้อาวุโสสำนักศึกษากั๋วจื่อเจียนกลับไปจะทำอย่างไร

หากชอบจริงๆ เขาให้แม่สื่อไปช่วยคุยที่จวนหลินก็ได้นี่

องครักษ์น้อยที่ตามนายท่านไปดึงแขนเสื้อของเว่ยหานไว้ “นายท่าน ท่านหันกลับไปดูสิ!”

น้ำเสียงรีบร้อนเจือความประหลาดใจ เว่ยหานจึงหันกลับไปมอง และแล้วก็เห็นเด็กสาวเดินเข้าไปหาชายหนุ่มคนนั้น ยิ้มและกำลังพูดบางอย่าง

ชายหนุ่มที่กำลังจะเดินกลับไปพร้อมเสนาบดีจ้าวยืนมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความระวัง “คุณหนูมีอะไรหรือขอรับ”

“ยังไม่ได้ขอบคุณคุณชายที่ช่วยข้าพ้นจากข้อสงสัย”

ชายหนุ่มน้ำเสียงจริงจัง “เป็นหน้าที่ขอรับ มิบังอาจรับคำขอบคุณ”

ลั่วเซิงยิ้มๆ “ไม่ว่าอย่างไร คุณชายก็ช่วยข้าไว้มาก ไว้วันอื่นท่านพ่อข้าจะพาข้าไปขอบคุณคุณชายที่จวน”

กล่าวไว้ก่อน ครั้งหน้าจะได้พบกับหลานชายคนโตอย่างถูกต้องเปิดเผย

ชายหนุ่มผู้สงบและจริงจังอยู่เสมอเกือบจะระงับอารมณ์ไม่ได้ มุมปากกระตุก “คุณหนูเกรงใจแล้ว ไม่จำเป็นจริงๆ ขอรับ”

“คุณชายคิดว่าไม่จำเป็นนั่นก็เป็นเรื่องของคุณชาย จวนลั่วคิดว่าควรต้องขอบคุณนั่นก็เป็นเรื่องของจวนลั่ว เช่นนั้นก็ตามนี้นะเจ้าคะ” ลั่วเซิงพูดเสร็จก็ย่อเข่าให้ชายหนุ่มเล็กน้อยก่อนจะหันหลังกลับเดินไปหาแม่ทัพใหญ่ลั่วที่รออยู่ไม่ไกล

นางเดินไปหลายก้าวจู่ๆ ก็เหลียวหลัง “ยังไม่ได้ถามชื่อแซ่คุณชายเลย”

ชายหนุ่มเงียบ เอ่ยชื่อสองพยางค์ออกมาอย่างยากลำบาก “หลินเถิง”

ลั่วเซิงยิ้มมุมปาก พยักหน้าเชิงรับรู้แล้ว

“ท่านพ่อ เรากลับจวนกันเถอะ”

แม่ทัพใหญ่ลั่วโล่งอก

ไม่ได้ฉุดคนอื่นก็พอ ไปเยี่ยมเยียนจวนหลินไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

เมื่อเห็นแม่ทัพใหญ่ลั่วพาบุตรสาวทั้งสามจากไปไกลแล้ว เสนาบดีจ้าวก็ตบไหล่ของหลินเถิงอย่างแรง พูดอย่างมีนัยว่า “หลินเถิง มีคดีหนึ่งต้องออกนอกเมืองหลวง เช่นนั้นมอบหมายให้เจ้าแล้วกัน”

แม้เขาจะไม่สันทัดไขคดี แต่เขาก็สันทัดในเรื่องการใส่ใจลูกน้อง

เขาจะทำอย่างไรหากลูกน้องที่ดีและเป็นมือขวาของเขาถูกบุตรสาวของแม่ทัพใหญ่ลั่วแย่งไป!

หลินเถิงส่ายศีรษะปฏิเสธ “ข้าน้อยขออยู่ในเมืองหลวงขอรับ”

คุณหนูลั่วสืบเรื่องน้องชายของเขา เขาต้องคอยกันอยู่ด่านหน้า

“นี่…” เสนาบดีจ้าวเหลือบมองร่างที่สง่างามที่กำลังเดินจากไป และความคิดที่กล้าหาญก็ผุดขึ้นในใจของเขา

เด็กคนนี้คงไม่ได้สายตามีปัญหาหรอกนะ

แม่ทัพใหญ่ลั่วพาลูกๆ เดินไปข้างหน้า พบว่าไคหยางอ๋องหยุดอยู่ข้างหน้า

ในอดีตเขาควรจะทักทายอย่างสุภาพ แต่เมื่อเขาเดินผ่านเว่ยหาน แม่ทัพใหญ่ลั่วก็แค่พยักหน้าอย่างสงวนท่าทีและเดินผ่านไป

เว่ยหานยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เรียกคุณหนูลั่วด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

ครานี้เองเขารู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย

แน่นอนว่าไม่ได้เกี่ยวกับคุณหนูลั่วที่สนใจในตัวลูกน้องของเสนาบดีจ้าว เพียงแต่ว่าหลังจากคดีถูกไขกระจ่างแล้วควรนึกถึงข้อแลกเปลี่ยนที่ทำกับเขาก่อนไม่ใช่หรือ

เว่ยหานมองหญิงสาวที่หยุดเดินด้วยสายตาสงบ

ผู้ที่หยุดกระทันหันยิ่งกว่าคือแม่ทัพใหญ่ลั่ว

“ท่านอ๋องเรียกลูกสาวข้ามีอะไรหรือ” แม่ทัพใหญ่ลั่วรู้สึกวิตกและโมโหพร้อมกัน

บุตรสาวมีนิสัยอย่างไรเขารู้ดีที่สุด หากต้องข้องเกี่ยวกับไคหยางอ๋องไม่จบไม่สิ้นคงแย่แน่

เรื่องอื่นไม่ว่า หากบุตรสาวได้ไคหยางอ๋องแล้วทิ้งจะทำอย่างไร แม้เขาจะเป็นแม่ทัพใหญ่ลั่วก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอกนะ

เว่ยหานเรียกลั่วเซิง เมื่อได้ยินคำถามของผู้เป็นพ่อก็รู้สึกตนเองล่วงเกินไป

ใบหน้าของเขาสงบนิ่งกว่าเดิม เขายื่นกล่องออกไป “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ข้าแค่คิดว่าควรจะคืนกริชสู่เจ้าของดีกว่า”

“ท่านอ๋อง…” สือเยี่ยนอดเรียกไม่ได้

จะคืนของแทนใจลับไปได้อย่างไร นายท่านหึงหวงจนหงุดหงิดเกินไปหรือไม่

เว่ยหานหรี่ตามองสือเยี่ยนอย่างเยือกเย็น

ไม่คืนกริชให้ จะใช้เหตุผลอะไรมาอธิบายที่เขาเรียกบุตรสาวคนอื่นไว้

ทันทีที่ได้ยินว่าจะคืนกริช แม่ทัพใหญ่ลั่วก็มองไปที่ลั่วเซิง

“คืนสู่เจ้าของ?” ลั่วเซิงหลุบตาลงมองกล่องที่ใส่กริชไว้ พยักหน้าเบาๆ “ก็ดี”

นางยื่นมือออกไปรับกล่องใบนั้นไว้

เว่ยหานคิ้วกระตุก

รับกลับไปง่ายๆ เช่นนี้โดยไม่มีคำพูดสุภาพเลยหรือ

สือเยี่ยน “…”

สามพันตำลึง ไม่สิ เงินสามพันห้าร้อยตำลึงถูกลมพัดมาหรือ

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท