ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 93 ซื้อขายขาดทุน

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 93 ซื้อขายขาดทุน

คุณชายสามเซิ่งกลับเข้าใจความหมายของหงโต้วผิด เขาขมวดคิ้วมองลั่วเซิงพูดว่า “น้องลั่ว การบังคับซื้อขายคงไม่ดี”

น้องสาวเห็นชายรูปงามแล้วเกี้ยวพาบ้าง จริงๆ แล้วผู้ชายก็มิได้เสียหายอะไร หากผู้ชายคนนั้นเป็นเขา เขาคงเต็มใจมาก ขอเพียงน้องลั่วดูแลเรื่องอาหารการกินของเขา

แต่การบังคับซื้อขายร้านผู้อื่นนั้นอาจเป็นการทำลายอาชีพและปากท้องผู้อื่นเชียวนะ เขาคงจะรู้สึกผิดมาก

“บังคับซื้อขาย?” ลั่วเซิงยิ้มเบาๆ “ท่านพี่วางใจเถอะ ข้าไม่บังคับซื้อขายหรอก”

คุณชายสามเซิ่งไม่เข้าใจ “แล้วหากเขาเป็นตายก็ไม่ขายเล่า”

ลั่วเซิ่งครุ่นคิดครู่หนึ่งตอบว่า “เช่นนั้นก็ลองดู”

เมื่อพูดเสร็จ นางก็เดินไปร้านขายเครื่องประทินโฉม

“น้องลั่ว รอด้วย” คุณชายสามเซิ่งรีบตามไป

เป็นดั่งที่คุณชายสามเซิ่งกล่าวไว้ การค้าขายของร้ายขายเครื่องประทินโฉมร้านนี้ยังคงดีอยู่ แม้จะไม่ถึงกับมีลูกค้ามากมาย แต่ก็มีลูกค้าที่กำลังเลือกเครื่องประทินโฉมอยู่จำนวนหนึ่ง

ทันทีที่ลั่วเซิงเข้าไป ในร้านก็เงียบลงทันใด

ร้านค้าตั้งอยู่ในสถานที่ที่เหล่าขุนนางที่มีความชอบในราชการชอบมารวมตัว ร้านค้าร้านนี้ยังมีลูกค้าเป็นขุนนางเหล่านี้เป็นหลัก ด้วยเหตุนี้ย่อมมีคนจำลั่วเซิงได้

เหตุใดคุณหนูลั่วจึงมาที่นี่นะ

หรือว่าฮวาเสี่ยงหรงออกเครื่องประทินโฉมชั้นดีตัวใหม่ ดึงดูดคุณหนูลั่วผู้มีชื่อเสียงโด่งดังมาที่นี่?

ไม่ได้หรอกนะ พวกนางเป็นลูกค้าเก่า หากมีสินค้าตัวใหม่จริงๆ จะไม่รู้ได้อย่างไร

เมืองซีเฉิงมีร้านเครื่องประทินโฉมที่มีชื่อเสียงสองร้าน ร้านเครื่องประทินโฉมร้านนี้ไม่ได้ติดอันดับ และเป็นเพราะเหตุนี้ คุณหนูลั่วเคยมาที่นี่เพียงครั้งเดียวก็ไม่มาอีกเลย แต่ผู้ที่สามารถทำมาค้าขายในที่แห่งนี้ได้ล้วนเป็นคนฉลาด หากจำลูกค้าที่เคยมาในครั้งถัดไปไม่ได้ก็ไม่ต้องอยู่แล้ว

สตรีผู้ดูแลร้านที่มีสายตาเฉียบไวนางหนึ่งเดินเข้ามาต้อนรับ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “เชิญคุณหนูลั่วข้างในเจ้าค่ะ”

ลั่วเซิงพยักหน้าเบาๆ ก้าวเท้าเดินเข้าไป

โค่วเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ เอ่ยปาก “คุณหนูของเราอยากจะเลือกเครื่องประทินโฉมจำนวนหนึ่ง เจ้าพาเราไปห้องรับรองเถอะ”

โดยปกติแล้วร้านระดับสูงจะมีห้องรับรองไว้สำหรับแขกที่มีสถานะสูงส่งไม่มากก็น้อย ฮวาเสี่ยงหรงย่อมไม่ยกเว้น

สตรีผู้ดูแลร้านไม่มีความสงสัยแม้แต่น้อย นางพาลั่วเซิงและสาวใช้เข้าไปในห้องๆ หนึ่งอย่างสุภาพ

ในห้องมีกลิ่นหอมจางๆ จากเครื่องหอมชั้นดี

คนงานหญิงท่าทางเฉลียวฉลาดคนหนึ่งยกน้ำชามาวางก่อนจะถอยไปข้างๆ เงียบๆ

สตรีผู้ดูแลร้านยกถาดใบหนึ่งมาด้วยตนเองและวางลงบนโต๊ะ บนนั้นมีกล่องวงกลมลายครามงดงามวางไว้

“นี่คือเครื่องประทินโฉมสองสามอย่างที่ดีที่สุดของร้านเรา เชิญคุณหนูลั่วดูเจ้าค่ะ”

ลั่วเซิงกวาดตามอง ถามสตรีผู้ดูแลร้านว่า “มิทราบว่าเจ้าของร้านนี้คือผู้ใด ข้ามีการค้าอยากคุยด้วย”

คุยการค้า?

สตรีผู้ดูแลร้านชะงัก

“ทำไมรึ ผู้ดูแลร้านไม่สะดวกบอกหรือ” ลั่วเซิงถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

สตรีผู้ดูแลร้านยิ้มแห้ง

นางไม่กล้าทำให้คุณหนูลั่วโมโห แต่ที่ไม่สะดวกบอกนั่นก็เรื่องจริง

ทุกคนที่ทำการค้าในพื้นที่แห่งนี้ล้วนมีภูมิหลังและเชื่อมโยงกับข้าราชการและขุนนางผู้มีความชอบอย่างมิสามารถแยกออกจากกันได้

ลั่วเซิงมองสตรีผู้ดูแลร้านยิ้ม “ผู้ดูแลร้านรู้ว่าข้าคือใครใช่หรือไม่”

“เจ้าค่ะ ท่านคือคุณหนูลั่ว”

“ท่านพ่อข้าเล่า”

สตรีผู้ดูแลร้านพูดไม่ออก หน้าซีดลงเล็กน้อย

“หากข้าไปถามท่านพ่อข้า ท่านพ่อข้าแค่กระดิกนิ้วก็รู้แล้ว ผู้ดูแลร้านไยจึงต้องทำงานไร้ประโยชน์ ทำให้ทั้งสองฝ่ายไม่พอใจเล่า”

สตรีผู้ดูแลร้านสีหน้าย่ำแย่มาก

น้ำเสียงของลั่วเซิงเย็นชากว่าเดิม “พอแล้ว เจ้าไปถามเจ้านายของเจ้าก่อนก็ได้ บอกว่าคุณหนูลั่วอยากจะเจรจาการค้าด้วย เขาจะออกมาเจอหรือไม่นั่นก็เรื่องของเขา ผู้ดูแลร้านจะลำบากใจไปไย”

ทันทีที่สตรีผู้ดูแลร้านได้ยินก็โล่งอก

นั่นน่ะสิ นางเป็นแค่ผู้ดูแลร้านคนหนึ่ง จะมีส่วนร่วมกับเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร คุณหนูลั่วหาเจ้าของร้านเพื่อเจรจาการค้า นางแค่ส่งคนไปแจ้งเจ้าของร้านก็ได้แล้ว เจ้าของร้านจะออกมาเจอหรือไม่ก็เป็นเรื่องของเจ้าของร้าน

สตรีผู้ดูแลร้านเรียกลูกน้องคนหนึ่งมากระซิบสองสามคำ ลูกน้องรีบจากไปทันที

“คุณหนูลั่วรอสักครู่”

ลั่วเซิงพยักหน้า

สตรีผู้ดูแลร้านรู้สึกกดดันอย่างไม่รู้สาเหตุ ยิ้มกลบเกลื่อนว่า “คุณหนูลั่วลองดูเครื่องประทินโฉมของเราก่อนก็ได้เจ้าค่ะ”

ถึงอย่างไรก็ว่าง จะนั่งมองหน้ากันเช่นนี้ก็แปลกๆ

“ไม่ต้องแล้ว ข้าซื้อทั้งหมด หงโต้ว…”

หงโต้วจับกระเป๋าเงินที่อยู่บริเวณเอว ใช้สองนิ้วคีบตั๋วเงินใบหนึ่งออกมาอย่างคล่องแคล่วและยื่นออกไป “ผู้ดูแลร้านลองดูว่าพอหรือไม่”

ผู้ดูแลร้านรับตั๋วเงินด้วยสองมือ นางอึ้งไปแล้ว

คุณหนูลั่วเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภจริงๆ คงไม่ได้จะซื้อร้านเครื่องประทินโฉมแห่งนี้แล้วเป็นเจ้าของเองหรอกนะ

หากเป็นเช่นนี้ นางยอมเป็นผู้ดูแลร้านต่อไป!

ลั่วเซิงค่อยๆ ดื่มชา เมื่อเวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยามก็มียายเฒ่าคนหนึ่งเร่งเดินทางมา

ยายเฒ่าเห็นลั่วเซิงก็คารวะก่อนจะแนะนำตัวเองว่า “บ่าวเป็นสาวใช้ของนายหญิงรองจวนเสนาบดีจ้าว ร้านนี้นายหญิงรองของเราลงเงินไปจำนวนหนึ่ง ไม่ทราบว่าคุณหนูลั่วอยากจะคุยการค้าอะไรหรือเจ้าคะ”

หากไม่ใช่เพราะเป็นคุณหนูลั่ว เรื่องแบบนี้ย่อมไม่เปิดเผยต่อผู้อื่นง่ายๆ แต่ใครให้บิดาของคุณหนูลั่วเป็นผู้บัญชาการองครักษ์จิ่นหลินเล่า หากอยากจะรู้จริงๆ มีหรือจะสืบไม่ได้

ลั่วเซิงจิบชาคำหนึ่ง หยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดมุมปากเบาๆ

ที่แท้ก็เป็นร้านของหลานสะใภ้รองของเสนาบดีกรมยุติธรรมที่เจอในจวนผิงหนานอ๋องครานั้นแอบเปิดนี่เอง

นางไม่รู้เรื่องในเมืองหลวงแม้แต่น้อย ย่อมต้องทำความรู้จักให้มาก วันนั้นหลังจากกลับไปนางจึงถามเรื่องเกี่ยวกับจวนเสนาบดีจ้าว

เสนาบดีจ้าวมีบุตรชายสองคน หลานชายทั้งสองของบ้านใหญ่ล้วนแต่งงานหมดแล้ว หลานชายของบ้านรองอายุยังน้อย ดังนั้นทันทีที่ได้ยินยายเฒ่าคนนี้พูดว่านายหญิงรอง ก็รู้ทันทีว่าคือหลานสะใภ้รองของเสนาบดีจ้าว

“เจ้ามีอำนาจตัดสินใจหรือ” ลั่วเซิงมองยายเฒ่าด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์ถาม

ยายเฒ่ายิ้มพูดว่า “นายหญิงรองมอบหมายให้บ่าวมา หากเป็นเรื่องที่ไม่สามารถตัดสินใจได้จริงๆ คุณหนูลั่วโปรดอภัยด้วย โปรดให้บ่าวกลับไปถามนายหญิงรองเจ้าค่ะ”

“ข้าอยากจะซื้อร้านนี้”

จู่ๆ ยายเฒ่าก็หน้าเปลี่ยนสี

คิดไม่ถึงว่าทันทีที่คุณหนูลั่วเอ่ยปาก นางก็ต้องไปขอคำขี้แนะจากเจ้านายทันที

แม้ร้านค้าร้านนี้จะมีกำไรไม่มากนัก แต่ก็มีข้อดีที่มีลูกค้ามาสม่ำเสมอ กว่าจะตั้งตัวได้ในพื้นที่แห่งนี้ นายหญิงรองจะยอมปล่อยมือได้อย่างไร

“หนึ่งหมื่นตำลึง”

ยายเฒ่าหน้าเปลี่ยนสี ขาอ่อนเกือบจะล้มคุกเข่า

แม้ที่นี่จะเจริญรุ่งเรืองและร้านค้าก็มีลูกค้าประจำที่มั่นคงแล้ว หากจะขายจริงๆ อย่างมากสุดรวมๆแล้วก็แค่สามพันตำลึงเท่านั้น

หนึ่งหมื่นตำลึง… นะ นี่มันจะเอาเงินทุบคนให้ตายหรือ

“ว่าอย่างไร” ลั่วเซิงสายตาแน่วแน่ รอคำตอบจากยายเฒ่า

คำพูดเป็นหมื่นล้านคำของยายเฒ่ากลายเป็นคำเดียว “ขาย!”

ได้กำไรเจ็ดพันตำลึงมาง่ายๆ ไม่ต้องขอคำชี้แนะจากนายหญิงรองนางก็ตัดสินใจเองได้

ต้องรู้ว่าร้านเครื่องประทินโฉมร้านนี้เดือนหนึ่งได้กำไรเพียงสี่สิบตำลึง ต้องเปิดร้านอีกกี่ร้านถึงจะได้กำไรเจ็ดพันตำลึงเล่า

หากพลาดการซื้อขายครั้งนี้ไป นายหญิงรองคงตีนางตายแน่

“ในเมื่อยอมขาย เลือกฤกษ์มิสู้ฤกษ์สะดวก เชิญเจ้าหน้าที่มาบันทึกสัญญา ทำตามขั้นตอนเปลี่ยนแปลงเจ้าของร้านกันเถอะ”

คำพูดเป็นหมื่นล้านคำของยายเฒ่ากลายเป็นคำเดียวอีกครั้ง “ตกลง!”

ใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งวันเท่านั้น สัญญาของร้านก็ถูกหงโต้วเก็บไว้ในอก

เมื่อออกจากร้านเครื่องประทินโฉม หงโต้วยิ้มตาหยีพูดว่า “คุณชายหลานนอก ข้าพูดถูกใช่หรือไม่ สิ่งที่คุณหนูเราชอบไม่มีอะไรที่ซื้อไม่ได้”

คุณชายสามเซิ่งรู้สึกหนักอึ้ง

เขาบังเอิญได้ยินสตรีผู้ดูแลร้านคนนั้นพึมพำว่าร้านนี้มีมูลค่าเพียงสามพันตำลึงเป็นอย่างมากเท่านั้น แต่น้องลั่วกลับใช้เงินหนึ่งหมื่นตำลึงซื้อมา

ชายหนุ่มถามด้วยความกังวลว่า “น้องลั่วเอ๋ย เจ้าทำการค้าเช่นนี้จะผลาญสินเดิมของเจ้าจนหมดนะ”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท