ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 95 หมอเทวดามาหา

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 95 หมอเทวดามาหา

หมอหวังคิดไม่ถึงว่าผู้เฒ่าเคราขาวคนนี้จะดุร้ายเช่นนี้ เสียงยังดังขนาดนี้ด้วย

อายุปูนนี้แล้ว ไม่กลัวตะโกนเสียงดังเกินจนล้มหงายหลังหรือ

เขาสะอึกทีหนึ่งเนื่องจากหยุดร้องไห้กะทันหัน หมอหวังตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “สูตรยาเชียนจินและยาอายุวัฒนะของชายชราน้อย คุณหนูลั่วเป็นคนให้มา…”

หมอเทวดาหลี่โมโหเขกหมอหวังทีหนึ่ง “ยาเชียนจินและยาอายุวัฒนะอะไรกัน นั่นมันยาลดไข้และยาบำรุงปราณ!”

เจ้าลูกเต่าที่ไร้วิชาแอบอ้างชื่อคนนี้ แม้แต่ชื่อยาก็ยังไม่รู้ ยังกล้าไปหลอกลวงผู้อื่น

เมื่อโมโหเรื่องนี้เสร็จ หมอเทวดาหลี่ก็ด่าหมอหวังอีกทีหนึ่ง “ต่อหน้าข้ายังกล้าเรียกตนเองว่าชายชราน้อย หากข้ามีหลาน หลานข้ายังโตกว่าเจ้า!”

เมื่อด่าเสร็จ หมอเทวดาหลี่ก็เพิ่งรู้สึกตัว

คุณหนูลั่วเป็นคนให้?

ไม่ถูกนี่ นังหนูสกุลลั่วบอกว่ายาบำรุงปราณได้มาจากหมอเทวดาหลี่เมืองหนานหยางท่านหนึ่งมิใช่หรือ

แน่นอนว่า บัดนี้ความจริงพิสูจน์แล้วว่าเมืองหนานหยางไม่มีหมอเทวดาหลี่ที่ว่า มีเพียงเจ้าคนหลอกลวงแอบอ้างขายยาปลอมและยังอยู่ที่จินซาด้วย

เรื่องนี้บ่งบอกได้ว่านังหนูนั่นโกหกเขาตั้งแต่แรกหรือ

หมอเทวดาหลี่หน้านิ่ง พูดขึ้นทีละพยางค์ว่า “เล่าความเป็นมาทั้งหมดที่เจ้าได้รับยาสองชนิดนี้จากคุณหนูลั่วให้ข้าฟังอย่างละเอียด ห้ามขาดแม้แต่น้อย!”

หลายวันมานี้หมอหวังถูกทุบตีมามาก ทำเอาขวัญไม่ค่อยอยู่กับตัว จู่ๆ ก็สั่นระริกไม่พูดอะไร

บ่าวรับใช้ที่มีสีหน้านิ่งเฉยอยู่ข้างๆ พูดเสียงเย็นชาว่า “ให้ข้าโยนเจ้าออกไปหรือไม่”

หมอหวังสั่นสะท้าน เล่าเรื่องทั้งหมดอย่างละเอียด

หมอเทวดาหลี่ฟังจบก็โมโหมากจนหนวดเคราสั้นเทิ้ม

นังหนูนั่นหลอกเขาจริงๆ ด้วย!

ถ้าเช่นนั้นคำถามต่อมาคือ นังหนูนั่นได้สูตรยาลดไข้และยาบำรุงปราณจากไหนกันนะ

ยาลดไข้และยาบำรุงปราณล้วนเป็นยาที่เขาปรุงให้พระชายาเจิ้นหนานอ๋องโดยเฉพาะ แม้หลังจากนั้นจะให้ผู้อื่นทานบ้าง แต่ก็ไม่เคยเผยแพร่สูตรยาออกไป… ไม่สิ หากจะพูดถึงคนที่รู้จริงๆ ก็ใช่ว่าจะไม่มี ผู้ที่รู้คือคนสองคนของจวนเจิ้งหนานอ๋อง

คนหนึ่งคือสาวใช้ที่รับผิดชอบช่วยจับยาและต้มยาให้พระชายาเจิ้นหนานอ๋อง อีกคนหนึ่งคือท่านหญิงชิงหยาง

ท่านหญิงชิงหยางเป็นคนกตัญญู ตอนที่พระชายาเจิ้นหนานอ๋องป่วยหนัก นางเคยต้มยาให้ท่านแม่ด้วยตนเองจึงท่องสูตรยาไว้จนขึ้นใจ

เขายังเคยกำชับท่านหญิงท่านนี้ว่าห้ามเผยแพร่สูตรยาบำรุงปราณออกไป

นังหนูสกุลลั่วนั่นได้สูตรยามาจากไหนกันนะ

ทันใดนั้นม่านตาของหมอเทวดาหลี่ก็หดตัวอย่างรวดเร็ว

หรือว่าสาวใช้ที่เคยต้มยาให้พระชายาผิงหนานอ๋องยังมีชีวิตอยู่ นางมีโอกาสได้รู้จักกับสาวใช้ของนังหนูสกุลลั่วจึงบอกสูตรยาแก่นาง

หมอเทวดาหลี่อดส่ายศีรษะไม่ได้ รู้สึกว่าเรื่องแบบนี้พิลึกพิลั่นเกินไป

“คุณหนูลั่วพูดเพียงเท่านี้ ทะ… ท่านยังมีอะไรจะถามหรือไม่” หมอหวังพบว่าสีหน้าของหมอเทวดาหลี่เปลี่ยนแปลงอย่างคาดเดาไม่ได้จึงเอ่ยปากถามอย่างระมัดระวัง

เขาไม่รู้จักผู้เฒ่าคนนี้ ระหว่างทางที่เข้าเมืองหลวงคนโหดเหี้ยมข้างๆ คนนั้นไม่ได้บอกเขา แต่เขาก็รู้ว่าไม่ควรมีปัญหากับผู้เฒ่าคนนี้

ถึงกับบอกว่าเขาเด็กกว่าหลานชายเขา นี่กำลังเอาเปรียบเขาอยู่มิใช่หรือ

แต่ก็ช่วยไม่ได้ อยู่ใต้ชายคาบ้านคนอื่น จำเป็นต้องก้มหัว คนอื่นเขาจะวางมาดเป็นปู่ เขาอายุขนาดนี้แล้วก็ทำได้เพียงอดทน

หมอหวังคิดถึงวันเวลาอันรุ่งโรจน์ที่แสนสั้นในจินซาก็แทบอยากจะตบหน้าตนเอง

นึกเสียใจไม่ควรโลภมากจริงๆ!

หมอเทวดาหลี่ตั้งสติได้เพราะหมอหวังเตือน

ใช่แล้ว ในเมื่อเขาคิดไม่ออก เหตุใดจึงไม่ไปหาถึงที่เล่า ไปหานังหนูน้อยที่ชอบพูดปดคนนั้นถามให้รู้เรื่อง!

“ฝูหลิง…” หมอเทวดาหลี่เดินออกไป เรียกเด็กเฝ้าประตู

ฝูหลิงรีบวิ่งเข้ามา “หมอเทวดามีคำสั่งอะไรหรือขอรับ”

“ไปบอกคนที่รอข้างนอกว่าวันนี้ไม่แจกป้ายหมายเลข แยกย้ายเถอะ”

ฝูหลิงชะงักเล็กน้อยก่อนจะรีบวิ่งออกไปก่อนที่หมอเทวดาหลี่จะเร่งเร้า

“ทุกท่านแยกย้ายเถอะ วันนี้หมอเทวดามีธุระ ไม่รักษาแล้ว”

ทุกคนที่รออยู่ข้างนอกมาสักพักใหญ่แล้วไม่เข้าใจ พากันถามว่า “เหตุใดวันนี้หมอเทวดาไม่รักษาเล่า”

“วันนี้ไม่รักษา แล้วพรุ่งนี้เล่า”

“นี่เป็นครั้งแรกที่แม้แต่ป้ายหมายเลขก็ไม่แจก หมอเทวดามีธุระอะไรหรือ”

ภายใต้ความสงสัยของทุกคน เด็กเฝ้าประตูอยากจะช่วยแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้

ครานี้เอง หมอเทวดาหลี่เดินออกมาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์

“หมอเทวดา…” ทุกคนล้อมเข้าไปโดยสัญชาติญาณ เมื่อตระหนักได้ว่านี่คือเทพเซียนที่ไม่เคารพไม่ได้ พวกเขาก็ตั้งสติหลีกทางให้

“ทุกท่านมาใหม่พรุ่งนี้เถิด” หมอเทวดาหลี่พูดเสร็จก็เดินมือไพล่หลังไปข้างหน้า ข้างหลังตามด้วยบ่าวรับใช้วัยกลางคนที่มีหน้าตาไม่ธรรมดาคนหนึ่ง

ทุกคนมองหน้ากันไปมา ไม่รู้ใครพูดขึ้นอย่างลังเลว่า “หมอเทวดาเจอปัญหาหรือ”

“ไม่รู้สิ หมอเทวดาไม่บอกพวกเราหรอก”

“หรือไม่เราตามไปดู?”

“นะ… นี่ไม่ดีหรอกมั้ง”

“หากหมอเทวดาเจอเรื่องทุกข์ใจไม่อยากรบกวนพวกเราเล่า พวกเราตามไปอาจจะช่วยหมอเทวดาคลายความกังวลได้”

เหตุผลนี้ช่างดูสูงส่งจริงๆ

ผู้คนที่ไฟแห่งความอยากรู้อยากเห็นเรื่องผู้อื่นลุกโชนเห็นด้วยทันที พากันตามข้างหลังหมอเทวดาหลี่ไปเงียบๆ

รถม้าของหมอเทวดาหลี่เคลื่อนอยู่ข้างหน้า รถม้าของทุกคนตามอยู่ข้างหลัง เมื่อเดินบนถนนใหญ่ยังดูไม่สะดุดตามากนัก แต่เมื่อเข้าเมืองหลวงขบวนรถม้านี้ก็ดึงดูดสายตาทุกคู่

ใครนั่งอยู่ในรถม้าสีเทาที่อยู่หน้าสุดนั่นกันนะ ถึงกับมีรถม้าหรูหรามากมายตามข้างหลัง

ตามประสบการณ์ คงมีละครสนุกๆ ให้ดูแล้วสินะ!

ผู้คนเดินตามข้างหลังรถม้าหรูหราเหล่านั้นเป็นขบวนอย่างรวดเร็ว

“หมอเทวดา มีคนตามข้างหลังมามากมาย ให้ข้า…”

หมอเทวดาหลี่กำลังหลับตาพักผ่อน เขาไม่ลืมตาเลยด้วยซ้ำ “ไม่เป็นไร”

รถม้าหยุดอยู่ข้างหน้าประตูจวนสกุลลั่ว หมอเทวดาหลี่ลงจากรถม้า เดินเข้าประตูใหญ่ไปหน้านิ่ง

รถม้าที่ตามข้างหลังทยอยกันลงมา ทุกคนดูตกตะลึง

หมอเทวดาหลี่มาจวนแม่ทัพใหญ่หรือ!

นี่มันแปลกเกินไปแล้ว หมอเทวดามาจวนแม่ทัพใหญ่ด้วยตนเองนี่นะ

เหตุผลที่ก่อนหน้านี้คุณหนูลั่วเชิญหมอเทวดามาได้พวกเขายังไม่กระจ่างเลย เหตุใดมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก

แล้ว นี่ไม่ใช่ทำให้คนอื่นยิ่งอยากรู้หรือ

คนที่ไม่สามารถลงจากรถม้าได้เนื่องจากสถานะของตนเองสั่งให้รถม้าของตนกลับรถกลับจวน และเหลือคนใช้คนสองคนไว้ที่นั่นคอยสังเกตการณ์

สือเยี่ยนแทบจะวิ่งทะยานกลับจวนไคหยางอ๋อง

“นายท่าน!” ทันทีที่เห็นร่างสีแดงเข้มในห้องหนังสือ สือเยี่ยนก็เรียกด้วยเสียงกระหืดกระหอบ

เว่ยหานวางม้วนตำราลง พยายามข่มหัวใจที่เต้นแรงไว้อย่างยากลำบาก ถามอย่างใจเย็นว่า “หมอเทวดาไปจวนแม่ทัพใหญ่แล้วหรือ”

สือเยี่ยนทำหน้าประหลาดใจ “ท่านรู้ได้อย่างไร”

เว่ยหานยิ้มบางๆ “เจ้าวิ่งมาขนาดนี้ ยังมีเหตุผลอื่นหรือ”

ต้องไม่ใช่เพราะคุณหนูลั่วเกี้ยวพาคุณชายท่านไหนอีกแล้วแน่นอน

ข่าวคราวแบบนี้ไม่สำคัญสำหรับเขาเลย สำหรับสือเยี่ยนเองเขาก็คงเคยชินแล้ว

ในใจของเว่ยหานกลับไม่ได้สงบนิ่งเหมือนภายนอก แต่เต็มไปด้วยความประหลาดใจเหมือนคนอื่นๆ

เหตุใดหมอเทวดาจึงไปจวนแม่ทัพใหญ่นะ แล้วคุณหนูลั่วทำนายเหตุการณ์นี้ได้ตั้งแต่เดือนก่อนได้อย่างไร

หรือว่าคุณหนูลั่วมีญาณหยั่งรู้อนาคต?

การคาดเดานี้ทำให้เว่ยหานส่ายหัวเบาๆ

ญาณหยั่งรู้อนาคตหรือ เขาไม่เชื่อหรอกว่ามีคนแบบนี้บนโลก

แต่คุณหนูลั่วรู้ได้อย่างไรนะ

เว่ยหานไม่เคยรู้สึกอยากเจอหญิงสาวคนนั้นเช่นนี้มาก่อนเลย

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท