ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 103 เสียชีพได้ แต่มิยอมเสียศักดิ์

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 103 เสียชีพได้ แต่มิยอมเสียศักดิ์

ยามที่คุณชายกลุ่มนั้นยังตะลึงงัน เงาร่างสายหนึ่งก็พุ่งพรวดเข้ามาปานสายฟ้า

สือเยี่ยนขัดขาใครคนหนึ่งให้ล้มลง จากนั้นจึงส่งหมัดและลูกเตะตามไปในทันที

น่าหงุดหงิดนัก ใช้ให้เขาขัดถังส้วม!

น่าโมโหนัก ให้เขามาเลี้ยงห่าน!

น่าแค้นใจนัก บอกว่าเขาอัปลักษณ์!

ยิ่งคิดโทสะก็เดือดพล่าน พร้อมกับเสียงกรีดร้องของเหล่าเด็กหนุ่มที่ดังขึ้นเรื่อยๆ

สาวใช้ด้านข้างย่ำเท้าท่าทีลนลาน “อย่าตีนะ หยุดเดี๋ยวนี้!”

เด็กหนุ่มบางคนเจ็บปวดจนทุรนทุรายกลิ้งไปมาอยู่บนพื้น ดวงตาฉายแวววิงวอน

สือเยี่ยนชักมือกลับ ใบหน้าเย็นชาเอ่ย “เอาเปรียบเด็กเหลือขอเช่นพวกเจ้าแล้ว”

มิผิดที่การทุบตีนั้นเป็นหนทางที่ดีในการบันดาลโทสะ หากเด็กเหลือขอพวกนี้ไม่บอบบางจนเกินไป เขาคงทุบตีต่อได้อีกสักหนึ่งชั่วยาม

“ใครให้เจ้าตีพวกเขากัน” หงโต้วถลึงตาใส่สือเยี่ยนแล้วส่งกำปั้นใส่หนึ่งในคนหนึ่งที่ตะเกียกตะกายหยัดร่างลุกให้ลงไปกองกับพื้นเหมือนเดิมแล้วเอ่ยเสียงเขียว “ถึงตาเจ้าแล้วรึ มาแย่งของคนอื่นได้อย่างไร”

ตีคน ฉุดคนล้วนเป็นงานของนาง เจ้าคนเลี้ยงห่านนั้นมายุ่งอะไรด้วย

เด็กสาวคิดแล้วก็โมโห เตะเท้าแล้วส่งกำปั้นให้เด็กหนุ่มพวกนั้นอีกครั้งอยู่พักหนึ่ง

หลายคนเริ่มส่งเรียงร้องขอความช่วยเหลืออย่างอ่อนแรง “ช่วยด้วย…”

“ยังกล้าร้องหาคนช่วยอีกรึ!” หงโต้วหลิวเลิกคิ้ว “ไม่รู้ความเลยหรือไร เรื่องต่อยตีเช่นนี้จะไปฟ้องใครเล่า”

เด็กหนุ่มผู้มีนามว่าสวี่ชีดวงตาทอประกายวาบ

วาจานี้คุ้นหูยิ่ง เขาเคยได้ยินมันมาก่อนหลายครั้ง

นั่นคือสิ่งที่เจ้าสารเลวตรงหน้าบอกเขา แม้แต่น้องชายทั้งสองที่วัยยังไม่ย่างสิบปีก็ยังขอร้องไม่ให้เขาบอกบิดามารดาเมื่อครั้งที่พวกเขามีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกัน

เด็กน้อยต่อยตีกันจะไปฟ้องผู้ใหญ่ได้อย่างไร เช่นนั้นก็น่าขายหน้ายิ่ง

เด็กสาวเอ่ยออกมาเช่นนี้ ย่อมหมายความว่ามิให้ผู้ใหญ่รู้ก็นับว่าถูกแล้ว…

เด็กหนุ่มเหม่อลอยครุ่นคิดไปไกลครู่หนึ่ง

“เหตุใดพวกเขาถึงตีเจ้า” เสียงกังวานเยือกเย็นสายหนึ่งดังขึ้น

สวี่ชีตื่นจากภวังค์ ได้ยินแล้วว่าเด็กสาวกำลังเอ่ยถามเขา แต่เขาไม่ได้ตอบกลับ มุมปากยกโค้งขึ้นอย่างเย็นชา

ลั่วเซิงเห็นภาพนั้นใจก็เดือดดาลระคนเจ็บปวด มองไปทางเด็กหนุ่มพวกนั้นด้วยใบหน้าเย็นชา “เช่นนั้นพวกเจ้าบอกข้ามาเหตุใดถึงต้องทุบตีเขา”

“หาใช่เรื่องของเจ้าไม่ หรือเจ้าเป็นเมียของมัน…” เด็กหนุ่มผู้มีท่าทางคึกคะนองที่สุดในกลุ่ม อ้าปากโต้กลับอย่างไร้ความกลัว

หากแต่น่าเสียดาย เพราะก่อนที่เขาจะพ่นคำผรุสวาทออกมาจนจบก็โดนรองเท้าปักของหงโต้วอุดปากไว้เสียก่อนแล้ว

หลังจากโดนอุดปาก หงโต้วก็เอ่ยเสียงกร้าว “ขืนยังพูดจาเหลวไหล ข้าจะเตะปากเจ้าให้เละ!”

ลั่วเซิงเอ่ยเสียงเรียบ “อย่าหยุดมือ ตีต่อไป”

เด็กหนุ่มที่ถูกทุบตีจนเนื้อตัวชาไปหมดแล้วต่างตกตะลึง

นี่มัน นี่มันโหดเหี้ยมอำมหิตเกินไปแล้ว!

ดวงตาหงโต้วทอแสงวาบแล้วหมัดของนางก็ตกลงมาราวกับหยาดฝนใส่ร่างของคนพวกนั้น

“ช่วยด้วย…” เด็กหนุ่มคนหนึ่งพยายามรวบรวมเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายส่งเสียงกรีดร้อง

ฉับพลันแสงเย็นวาบสายหนึ่งก็วาบผ่านใบหน้าเขา

ลั่วเซิงพลิกกริชในมือ เสียงเย็นชาเอ่ย “เจ้าคิดจะเรียกให้พวกบ่าวมาที่นี่อย่างนั้นหรือ”

พวกเด็กหนุ่มที่เหลือไม่กล้าเอ่ยวาจาเหลวไหล ดวงตาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ชัดเจนว่ากำลังรอให้พวกบ่าวมาถึงแล้วมอบบทเรียนอันสาสมให้แก่เด็กสาวที่เหมือนกันปีศาจคนนี้

ลั่วเซิงแค่นยิ้ม “เมื่อครู่พวกเจ้าเพิ่งจะต้อนเขาให้จนมุมแล้วรุมทุบตี คราวนี้กลับกลายเป็นฝ่ายถูกทุบตีเสียเองก็คิดจะเรียกให้คนมาช่วย มันจะง่ายเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า”

เอ่ยถึงตรงนี้ นางก็โบกกริชในมือไปมา น้ำเสียงราบเรียบประกาศกร้าว “หากพวกเจ้ากล้าร้องขอความช่วยเหลืออีก ข้าจะเอากริชนี้เจาะรูบนร่างพวกเจ้าทุกคน วางใจเถอะ ข้าหาได้เลือกที่รักมักที่ชังไม่ จะทำให้เท่าเทียมกัน”

“เจ้า เจ้ากล้าดียังไง!” เด็กหนุ่มคนหนึ่งตะโกนออกมาด้วยความโกรธ

ลั่วเซิงเหลือบมองเขาแล้วผุดยิ้ม “เหตุใดจะไม่กล้า พวกเจ้าไร้มารยาทกับข้า ข้าจะต่อสู้เพื่อปกป้องตัวเองไม่ได้เลยหรือ”

เด็กหนุ่มกลุ่มนั้นตะลึงงัน

มีสตรีที่ไร้ยางอายเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ

เด็กหนุ่มผู้หนึ่งพลันตระหนักบางอย่างขึ้นมาได้ โพล่ขึ้นว่า “เจ้าคือคุณหนูลั่วรึ”

ใบหน้าลั่วเซิงฉายแววผ่อนคลาย “ถูกแล้ว แต่หามีรางวัลไม่ หากเจ้าตอบคำถามไม่ถูกใจข้า ก็จะโดนทุบตีต่อไป”

เมื่อได้รู้ว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้ายามนี้คือลั่วเซิง เด็กหนุ่มเหล่านั้นก็ตกตะลึง

ได้ยินมาว่าคุณหนูลั่วใจกล้าถึงขั้นฉุดอ๋องไคหยางด้วยซ้ำ…

“เอาล่ะ ตอนนี้พวกเจ้าบอกมาได้แล้วว่าเหตุใดถึงทุบตีเขา จำไว้ หากไม่บอกก็จะถูกตีต่อไป ตีจนกว่าจะยอมพูดออกมาหรือจนกว่าจะตาย อย่าคิดว่าจะได้มีความหวังอย่างอื่น”

หากวาจาเหล่านี้เอ่ยขึ้นก่อนที่ตัวตนของลั่วเซิงจะเผยออกมา เด็กหนุ่มกลุ่มนี้ย่อมเงียบปากต่อได้อีกสักพัก หากแต่สถานการณ์พลิกผัน พวกเขาไม่สามารถใช้วิธีคิดนี้ได้อีกแล้ว

เด็กหนุ่มคนหนึ่งพยายามหยัดกายลุก ปาดเลือดที่มุมปาก “พวกเราเข้ากันไม่ได้มาโดยตลอด ต่อยตีกันก็เป็นเรื่องธรรมดา”

“พวกเจ้าหาได้ต่อยตีกันไม่ แต่เป็นการทุบตีอยู่ฝ่ายเดียว” ลั่วเซิงกล่าวตรงประเด็นไม่อ้อมค้อม

หากบังเอิญพบว่าหลานชายของนางกำลังต่อสู้กับอยู่กับคนอื่นตามลำพังจริงๆ ลั่วเซิงอาจรับชมความสำราญใจตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชาก็เป็นได้

เด็กหนุ่มจะไม่ทะเลาะเบาะแว้งกันได้อย่างไรเล่า แพ้ชนะหาใช่เรื่องใหญ่ หากแพ้ครั้งนี้กลับเรือนไปฝึกซ้อมให้หนักกว่าเก่าแล้วคว้าชัยในคราวหลังก็ได้แล้ว

หากแต่นางไม่อาจทนมองได้ที่คนหลายคนกำลังรุมกลุ้มทุบตีหลานชายเพียงคนเดียว

ในฐานะน้าหญิงแล้วจะให้ยืนทื่ออยู่ได้อย่างไรกัน

เด็กหนุ่มเหลือบมองสวี่ชีแวบหนึ่ง รีบโต้แย้ง “เขาทุบตีสหายของพวกข้าเมื่อไม่กี่วันก่อน…”

น้ำเสียงของลั่วเซิงคล้ายเย็นชายิ่งกว่าเดิม “หึ เขาเรียกสหายมาร่วมตีด้วยหรือไม่”

เด็กหนุ่มตกตะลึงกับคำถามนี้

“ดูแล้วคงจะสู้คนเดียวมากกว่า” ลั่วเซิงคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

เด็กหนุ่มกลุ่มนั้นเงียบเสียง ถือเป็นการยอมรับในคำพูดของลั่วเซิง

เสียงปรบมือเปาะแปะดังขึ้น รอยยิ้มเย้ยหยันประดับอยู่บนริมฝีปากของนาง

“ย่อมมีอนาคตสดใสเป็นแน่ คนหลายคนรุมตีคนๆ เดียวจนเขาพ่ายแพ้ ”

สีหน้าของเด็กหนุ่มกลุ่มนั้นมองแล้วอัปลักษณ์ยิ่งกว่าเดิม พวกเขาอยากจะโต้แย้ง แต่ก็ปราศจากคำพูด ทั้งยังไม่กล้าแม้แต่จะแสดงท่าทางเย่อหยิ่งเพื่อกลบซ่อนความอับอาย

ลั่วเซิงผินหน้าแล้วหันไปกำชับสวี่ชี “วันหน้าอยู่ให้ห่างจากคนเหล่านี้ อยู่ใกล้น้ำหมึกเท่าไรก็รังแต่จะกลายเป็นคนขลาดเขลาเช่นนั้น”

น้ำเสียงนั้นคล้ายกับผู้อาวุโสกำลังสอนสั่งผู้เยาว์ หากแต่สวี่ชีมิได้รู้สึกยินดีมากนักเมื่อได้ยิน อย่างไรเสียเมื่อเห็นสีหน้าทรมานของศัตรูตรงหน้าก็พลันรู้สึกยินดีขึ้นทันที พยักหน้าส่งเสียงตอบรับแผ่วเบา

ลั่วเซิงกวาดสายตามองพวกเด็กหนุ่มแล้วเชิดคางขึ้น “โชคดีที่ข้าอารมณ์ดีไม่น้อย ครั้งนี้จะไม่เอาความพวกเจ้า แต่หากวันหน้ายังกระทำเลวทรามเช่นนี้อีก ก็อย่าหาว่าข้ารังแกคน”

พวกเด็กหนุ่มถอนหายใจด้วยความโล่งอก

หนึ่งในคนกลุ่มนั้นมองไปที่สวี่ชี เอ่ยถามอย่างไม่เต็มใจ “คุณหนูลั่ว เหตุใดท่านถึงช่วยสวี่ชีกัน”

พวกเขาจำไม่ได้เลยว่าระหว่างจวนแม่ทัพใหญ่และจวนฉางชุนโหวมีความสัมพันธ์ใดต่อกัน

หากมีความสัมพันธ์ต่อกันก็มิใช่เรื่องน่ากลัว ผู้ที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อจวนฉางชุนโหวนั้นมีมากมาย แต่ใครใช้ให้ฮูหยินของฉางชุนโหวในยามนี้มิใช่มารดาแท้ๆ ของสวี่ชีกันเล่า

อีกทั้งสวี่ชียังเป็นเด็กโง่ไม่รู้ความเอาแต่เงียบไปฟ้องใครไม่เป็นอีก

หงโต้วทำทีตกใจ “เหตุผลง่ายปานนี้ พวกเจ้ายังต้องมาถามคุณหนูของข้าอีกหรือ”

“ง่าย…อย่างนั้นหรือ” พวกเด็กหนุ่มคล้ายลืมวิธีการพูดจาไปแล้ว ดวงตาเต็มไปด้วยความสับสน

ตรงไหนที่ง่ายกันเล่า

หงโต้วเท้าสะเอว แค่นยิ้มเยาะ “ย่อมเป็นเพราะพวกเจ้าน่าเกลียดยิ่งกว่าคุณชายสวี่ หากมิช่วยคุณชายสวี่แล้วจะให้ช่วยพวกเจ้าแทนรึ”

“เจ้า…” หากมิใช่เพิ่งจะได้รับบทเรียนแสนโหดร้ายมา เด็กหนุ่มกลุ่มนี้คงลุกขึ้นสู้กับหงโต้วไปแล้ว

นังหญิงชั้นต่ำผู้นี้ น่าโมโหนัก

แต่อยู่ใต้ชายคาบ้านคนอื่น จำต้องก้มหัว อดทน!

เด็กหนุ่มช่วยกันพยุงร่างเดินออกไปจากตรอกมืดแห่งนี้ ก่อนจะหลั่งน้ำตาออกมาเมื่อเงยหน้าพบกับแสงอาทิตย์เจิดจ้าเผชิญกับแสงแดดอันสดใส

รักษาชีวิตไว้ได้ก็นับว่าดีมากแล้ว

ผ่านไปพักใหญ่ เด็กหนุ่มคนหนึ่งก็เอ่ยคำถามที่กระทบจิตใจของหลายๆ คนขึ้นมา “พวกเราน่าเกลียดกว่าสวี่ชีจริงหรือ”

ภายในตรอกนั้น ลั่วเซิงเหลือบมองสวี่ชีแวบหนึ่ง กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ตามข้ามา”

สวี่ชีไม่ขยับ

ลั่วเซิงขมวดคิ้วแล้วมองเขา

เด็กหนุ่มถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เอ่ยวาจาดุร้าย “ข้า ข้าขอเตือนเจ้า บุรุษนั้นเสียชีพได้ แต่หายอมเสียศักดิ์ศรีไม่!”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท