ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 122 อาหารอภินันทนาการ

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 122 อาหารอภินันทนาการ

วันรุ่งขึ้นแดดจัด

เด็กสาวคนหนึ่งหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าหอสุรา มองไปทางประตูร้านที่ยังปิดแน่นด้วยความลังเล

หลังจากยืนได้สักพักแล้ว ดวงตาก็กวาดมองป้ายสีครามนั้นเล็กน้อย ผินกายเตรียมจะจากไป

ทันใดนั้นประตูร้านก็เปิดออกด้วยเสียงเอี๊ยด หญิงวัยกลางคนท่าทางงดงามเปี่ยมเสน่ห์ผู้หนึ่งก็เดินออกมา

“คุณหนูมาเพื่อดื่มสุราหรือเจ้าคะ” ผู้ดูแลลอบมองเด็กสาวผ่านบานหน้าต่างในโถงใหญ่อยู่ครู่หนึ่งแล้ว แม้จะยังไม่ถึงเวลาเปิดทำการของร้าน แต่เมื่อคิดไปคิดมา ออกมาถามไถ่สักคำก่อนย่อมไม่เสียหาย

ในฐานะผู้ดูแลร้านที่ได้มาตรฐาน ย่อมไม่สามารถปล่อยลูกค้าที่มีความเป็นไปได้ว่าจะมาใช้บริการให้หลุดมือไปแม้แต่คนเดียว

“ร้านมีหอสุราแห่งนี้…” เด็กสาวท่าทางลังเลครู่หนึ่ง “เป็นกิจการของคุณหนูลั่วใช่หรือไม่”

ผู้ดูแลสะดุ้งแล้วพยักหน้าตอบรับ “เจ้าค่ะ เถ้าแก่ร้านมีหอสุราแห่งนี้ของเราก็คือคุณหนูลั่ว”

“แล้ว…ยังไม่เปิดทำการหรือ”

ผู้ดูแลแย้มยิ้ม “เมื่อวานนี้เปิดกิจการแล้วเจ้าค่ะ หากแต่หอสุราของเราเปิดเพียงตอนเย็นเท่านั้น หากคุณหนูอยากจะมาอุดหนุน ตอนเย็นกลับมาอีกครั้งก็ได้เจ้าค่ะ”

“เช่นนี้นี่เอง” เด็กสาวพลันเข้าใจกระจ่าง ทั้งยังรู้สึกประหลาดใจ

ทันใดนั้นก็เข้าใจได้ว่าเหตุใดเวลานี้ประตูถึงยังปิดแน่นหนา แต่สิ่งที่ประหลาดยิ่งกว่าก็คือไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีหอสุราใดที่เปิดขายเฉพาะตอนเย็นเท่านั้น

แต่เมื่อคิดไปคิดมาแล้วเจ้าของร้านคือคุณหนูลั่ว ดูเหือนจะไม่มีอะไรที่เป็นไปมิได้

เด็กสาวยื่นกล่องผ้าให้ผู้ดูแล “หากเป็นตอนเย็นข้าคงไม่สะดวกนัก รบกวนผู้ดูแลบอกคุณหนูลั่วให้ข้าด้วยเถิดว่าเมื่อวานนี้คุณหนูสวี่ไม่อาจมาได้ วันนี้จึงตั้งใจส่งของมาเพื่อแสดงความยินดี”

ผู้ดูแลรับกล่องผ้าไปแล้วก็ก็เอ่ยถาม “ขอถามคุณหนูเป็นคนจากจวนไหนหรือ”

“ผู้ดูแลบอกไปแค่ว่าคุณหนูสวี่ เท่านั้นคุณหนูลั่วก็น่าจะทราบแล้ว” เด็กสาวเอ่ยถึงตรงนี้ก็หยุดไปชั่วขณะแล้วเอ่ยสำทับอีกประโยค “ข้าอาศัยอยู่กับน้าหญิง” ผู้ดูแลมองเด็กสาวจากไป โดยไม่ได้สนใจมากนัก

คุณหนูลั่วเปิดหอสุรา มีสหายผูกผ้าเช็ดหน้ามอบของขวัญแสดงความยินดีก็นับว่าปกติยิ่ง

นี่เป็นความเข้าใจผิดของผู้ดูแลแล้ว คุณหนูลั่วเดิมทีไม่มีสหายผูกผ้าเช็ดหน้าสักคน

องค์หญิงฉางเล่อหรือ

แน่นอนว่าองค์หญิงฉางเล่อมิสามารถนับว่าเป็นสหายผูกผ้าเช็ดหน้าได้ พวกนางเป็นเพียงสหายที่รักชอบในบางสิ่งเหมือนกันเท่านั้น

ลั่วเซิงมาถึงร้านก็ได้ยินผู้ดูแลเอ่ยถึงเรื่องนี้จึงรู้ว่าผู้ที่มาคือสวี่ฟางหลานสาวของนางนั่นเอง

เมื่อเปิดกล่องผ้าออกมาดูก็พบว่าข้างในมีจี้เชือกมงคลอันหนึ่ง ปักด้วยปี่เซียะทองชิ้นน้อย

สิ่งของไม่นับว่ามีค่ามากมาย หากแต่ความตั้งใจนั้นสำคัญกว่า

ลั่วเซิงคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นจึงหันไปสั่งหงโต้ว “เอาเนื้อตุ๋นใส่กล่องหนึ่งกล่องแล้วส่งไปที่จวนของหนิงกั๋วกง”

ไปมาหาสู่ ติดต่อกันเรื่อยไปทีละเล็กทีละน้อยเช่นนี้ก็นับว่ามีไมตรีจิตแล้ว

ในจุดนี้นางเข้าใจกระจ่างนัก สวี่ฟางเองก็เช่นกัน

ยังไม่ทันถึงเวลาทำการ เสนาบดีจ้าวก็ส่งหลินเถิงไปตามตัวลูกพี่ลูกน้องของเขามาแล้วนัดหมายกันที่ร้านมีหอสุรา

รอจนกระทั่งเลิกงาน เสนาบดีจ้าวก็แทบจะห้อตะบึงไปยังมีหอสุราราวกับมีลมติดเท้า ด้วยความรีบร้อนนี้เองจึงชนเข้ากับท่านหลินที่เพิ่งจะออกมาจากกั๋วจื่อเจียน

“เหตุใดเสนาบดีจ้าวถึงได้รีบกลับเช่นนี้กันเล่า” ท่านหลินลูบไหล่ของตนเบาๆ ถามยิ้มๆ ว่า “กระดูกแก่ๆ ของข้าจะหักก็เพราะโดนท่านชนนี่แหละนา”

ในแง่ของอายุ เทียบกับเสนาบดีจ้าวแล้วท่านหลินยังอาวุโสกว่าเล็กน้อย

“ไปดื่มน่ะ” ท่าทางร้อนรนจนเกินเหตุเมื่อบังเอิญพบเจอสหายร่วมงานมิใช่เรื่องดี เสนาบดีจ้าวจึงพยายามข่มกลั้นความตะกละตะกลามเอาไว้

ท่านหลินแม้จะอาวุโสแล้ว แต่สายตากลับเฉียบแหลมนัก เกรงว่าเสนาบดีจ้าวจะพยายามอย่างยิ่งแล้วในการคบคุมตนเอง แต่เขาก็ยังมองออกถึงความร้อนรนนั้น

ก็แค่ไปดื่ม ไฉนต้องลุกลี้ลุกลนเช่นนี้ด้วย

ท่านผู้เฒ่าสงสัย “เช่นนี้ หลานชายคนโตของข้าก็กลับไปแล้วหรือ”

“มิได้ ข้าเรียกให้เขาไปกินข้าวด้วยกัน” เอ่ยถึงตรงนี้ เสนาบดีจ้าวก็รู้สึกผิดเล็กน้อย

เขาไม่เพียงแต่เรียกหลานชายคนโตของท่านหลินไปเท่านั้น แต่ยังเรียกหลานชายคนรองไปด้วย

ท่านหลินกระแอมไอเบาๆ “ตราบใดที่ไม่มีคนนอก สะดวกนับรวมข้าไปด้วยสักคนหรือไม่”

เสนาบดีจ้าวเกิดความลังเลขึ้นมาชั่วขณะ

“คงไม่มีคนนอกกระมัง” ท่านหลินเอ่ยถามย้ำอีกครา

เสนาบดีจ้าวกระตุกริมฝีปาก “ไม่มีคนนอก ไปด้วยกัน ไปด้วยกัน”

เขานี่แหละคนนอก

ทั้งสองเดินเคียงกันผ่านถนนที่เรียงรายไปด้วยศาลาว่าการและเลี้ยวเข้าสู่ถนนชิงซิ่ง

“เสนาบดีจ้าวดื่มที่นี่รึ ใกล้กับศาลาว่าการนัก”

“ใช่ สะดวกยิ่ง ท่านหลินระวังฝีเท้าด้วย หอสุราตั้งอยู่ตรงนั้น”

ฝีเท้าของท่านหลินพลันหยุดชะงัก แหงนหน้ามองธงร้านที่โบกสะบัดยังประตูด้านหน้าที่เสนาบดีจ้าวชี้ ก็หรี่ตาแล้วเอ่ย “มีหอสุรา”

“ท่านหลินสายตาเฉียบแหลมยิ่ง”

ท่านหลินลูบเคราแล้วยิ้ม “ความหยาบคายคือความงดงาม นับว่ายังมีท่วงทำนองทางศิลปะอยู่บางส่วน”

หากแต่เสนาบดีจ้าวหาได้สนใจจะตอบรับไม่ เร่งฝีเท้าไปข้างหน้าอย่างอดมิได้

เขาไม่สนใจว่าจะหยาบคายหรืองดงาม สิ่งที่สนใจยามนี้ทีเพียงว่ารสชาติจะดีหรือไม่เท่านั้น

หลินเถิงและหลินซูนำหน้าเสนาบดีจ้าวมาก่อนแล้วก้าวหนึ่ง

หลินซูยืนอยู่หน้าประตูร้าน ใบหน้าฉายแววเหนื่อยหน่าย “พี่ชาย วันนี้ข้ามีนัดแล้ว”

หลินเถิงพูดอย่างไม่อ้อมค้อม “ครั้งหน้าข้าจะเลี้ยงสหายของน้องรองเพื่อเป็นการชดเชยให้เอง”

“ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่เรียกเขาให้มาที่…”

“ไม่ได้” หลินเถิงรีบร้อนเอ่ยขัดคำพูดของหลินซูทันที

หลินซูสะดุ้ง มองไปที่หลินเถิงอย่างไม่เข้าใจ

แม้ว่าพี่ชายคนโตจะพูดน้อย แต่นิสัยของเขาก็ตรงไปตรงมาแล้ววันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น

จะอะไรได้อีก แน่นอนว่าเพราะมันแพงหูฉี่ไงเล่า!

แค่คิดว่าหลินซูจะพาสหายของเขามากินที่นี่ด้วย ขาของหลินเถิงก็สั่นไม่หยุดแล้ว

การกินอาหารที่มีหอสุราหนึ่งมื้อ เขาถึงกับต้องควักเงินที่เตรียมไว้จะใช้ตบแต่งภรรยาในวันหน้าออกมาจ่ายแล้ว

หากท่านปู่มิตีขาเขาจนหักก็น่าแปลกใจแล้ว!

แน่นอนว่าไม่สามารถเอ่ยเช่นนี้กับลูกพี่ลูกน้องได้

หลินเถิงพยายามฝืนยิ้ม “ข้ายังมิได้บอกเจ้า แต่วันนี้ยังมีเสนาบดีจ้าวด้วย”

หลินซูรู้สึกประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม “พี่ใหญ่กินดื่มกับผู้บังคับบัญชาของตน ไฉนต้องเรียกข้าด้วย”

เขายังคิดว่ามีเพียงพวกเขาสองพี่น้องที่มาด้วยกัน

ตอนนั้นเองเสียงใสกังวานคมชัดสายหนึ่งก็ดังขึ้น “สรุปว่าท่านทั้งสองจะเข้ามา หรือไม่เข้ามาน่ะ”

พี่น้องทั้งสองได้ยินเสียงก็หันมองจึงพบว่าเป็นเสี่ยวเอ้อร์ร่างอรชรมีชีวิตชีวาผู้หนึ่ง

หลินซูหันหน้าไปกระซิบกับหลินเถิง “พี่ใหญ่ เหตุใดข้าถึงได้รู้สึกคุ้นหน้าสตรีผู้นี้นัก”

“เข้าไปก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ” หลินเถิงลากหลินซูเดินเข้าไปในร้าน

หลินซูสัมผัสได้ถึงความแปลกประหลาดบางอย่าง เมื่อกวาดตามองอย่างรวดเร็วก็เห็นหญิงสาวในอาภรณ์ราบเรียบผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างตู้คิดเงิน

หลินซูหันหน้าไปมองพี่ชายของเขาด้วยความตื่นตกใจทันที

พาเขาเข้ามาในถ้ำหมาป่าเช่นนี้ นี่ไม่มีทางใช่พี่ใหญ่ของเขาแน่ๆ!

“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะเจ้าคะ คุณชายรองหลิน ดูเหมือนว่าจะสูงขึ้นอีกแล้ว” ลั่วเซิงแย้มยิ้มเอ่ยทักทายหลินซู

หลินซู “…” ความรู้สึกแปลกประหลาดที่ราวกับโดนท่านย่ามองอย่างพิจารณากลับมาอีกครั้ง

แต่สิ่งนี้กลับทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย

เพราะอย่างไรก็ไม่น่าเป็นไปได้ที่หญิงชราวัยท่านย่าจะฉุดตัวเขาไปเป็นนายบำเรอ

เขาได้ยินเรื่องที่คุณหนูลั่วพาลูกพี่ลูกน้องของเขากลับยังจวนลั่วเมื่อไม่กี่วันก่อน ด้วยเหตุนี้เขาจึงแอบไปเยี่ยมลูกพี่ลูกน้องมา

แม้ว่าการกระทำของคุณหนูลั่วจะนับเป็นการช่วยเหลือลูกพี่ลูกน้องก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าลูกพี่ลูกน้องจะได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง…

“หงโต้ว พาคุณชายหลินทั้งสองไปนั่งข้างหน้าต่าง โค่วเอ๋อร์ยกอาหารเรียกน้ำย่อยมาด้วย”

“อาหารเรียกน้ำย่อยหรือ” หลินเถิงตกใจ

อาหารเรียกน้ำย่อยอะไรกัน

ลั่วเซิงแย้มยิ้ม “อาหารอภินันทนาการ”

หลินเถิงมองไปทางหลินซูเงียบๆ

หลินซูตอนนี้มึนงงยิ่ง “พี่ใหญ่มองข้าทำไมรึ”

หลินเถิงไม่อยากเอ่ยคำใดแล้ว หย่อนกายนั่งลง

ไม่นานหลังจากนั้น โค่วเอ๋อร์ก็ยกถาดใบหนึ่งเข้ามา เหนือถาดใบนี้ยังมีจานกระเบื้องเคลือบสีแตกต่างกันสี่ใบวางไว้

“หน่อไม้น้ำมันแดง” โค่วเอ๋อร์วางจานใบสีขาวลง

“เมล็ดหุยเซียงกรอบ” จานนี้อยู่ในกระเบื้องเคลือบที่มีสีแดงคล้ายผลอิงเถา

ในจานกระเบื้องเคลือบสีเขียวสีใบบัวเป็น “มันม่วงเหลียงเฟิ่น”

จากนั้นโค่วเอ๋อร์ก็วางจานจานกระเบื้องสีชมพูอ่อนจานสุดท้ายลง “กุ้งแช่บ๊วย”

หลินเถิงจ้องมองจานสี่ใบบนโต๊ะแดง แล้วนิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน

หลินซูอาศัยจังหวะนี้ที่โค่วเอ๋อร์ถือถาดเดินออกไป กดเสียงต่ำเอ่ยถามพี่ชายของตน “พี่ใหญ่ ท่านบอกความจริงมาเถอะ กินข้าวที่นี่แพงหรือไม่”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท