ตอนที่ 126 ลูกค้าหญิง
วันรุ่งขึ้น ฮูหยินเสนาบดีจึงตรงไปยังมีหอสุรา
แม้นางจะยังกังวลเล็กน้อยเกี่ยวกับชื่อเสียงของคุณหนูลั่ว แต่กังวลก็ส่วนกังวล อย่างไรเสียปากท้องก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ใครใช้ให้เคราของตาแก่มีกลิ่นหอมเช่นนั้นติดกันถึงสองวันเล่า
เดินมาถึงถนนชิงซิ่ง ฮูหยินเสนาบดีก็บังเอิญพบเข้ากับคนรู้จัก
“ฮูหยินผู้เฒ่าหวัง ไม่เจอกันนานเลยนะเจ้าคะ” ฮูหยินเสนาบดีเริ่มกล่าวโอภาปราศรัย
ผู้ที่ฮูหยินเสนาบดีบังเอิญพบเข้าคือหวังซื่อ ฮูหยินผู้เฒ่าจากจวนหนิงกั๋วกงและข้างกายที่คอยประคองฮูหยินผู้เฒ่าหวังอยู่นั้นก็คือลูกสะใภ้ของนาง หนิงกั๋วกงฮูหยิน
ส่วนเด็กสาวที่ยืนอยู่ข้างกายของหนิงกั๋วกงฮูหยิน ฮูหยินเสนาบดีก็รู้จักเช่นกัน นางคือคุณหนูใหญ่จากจวนฉางชุนโหว
สำหรับคุณหนูใหญ่จวนฉางชุนโหวผู้นี้ เพราะต้นตระกูลมีประวัติเสื่อมเสีย ฮูหยินเสนาบดีจึงไม่มีความกระตือรือร้นจะทักทายมากนัก แต่แน่นอนว่ามิได้แสดงความไม่พอใจใดออกมา
ฮูหยินผู้เฒ่าหวังเห็นฮูหยินเสนาบดีเข้าก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน ยิ้มกล่าว “บังเอิญยิ่ง ฮูหยินผู้เฒ่าหลิวกำลังจะไปหอเจินเป่าหรือ เหตุใดไม่ให้ลูกสะใภ้มาด้วยเล่า”
ลูกสะใภ้หรือ จะให้มาได้อย่างไรกัน
ฮูหยินเสนาบดีใคร่ครวญมาแล้ว หากว่าอาหารของมีหอสุราอร่อยเลิศรสจริง นางอาจจะกินเยอะยิ่งกว่าปกติ ให้ลูกสะใภ้เห็นภาพนั้นเข้าคงไม่งามนัก
“ข้ามิได้จะไปที่หอเจินเป่า นี่ฮูหยินผู้เฒ่าหวังกำลังจะพาสะใภ้ไปเดินเล่นที่หอเจินเป่าหรอกหรือ”
ฮูหยินผู้เฒ่าหวังยิ้มตอบ “ข้าเองก็มิได้จะไปที่หอเจินเป่าหรอก”
เอ่ยถึงตรงนี้ นางก็ชี้นิ้วไปทางเด็กสาวที่ยืนสงบเสงี่ยมอยู่ “เมื่อวานมีคนให้เนื้อตุ๋นเด็กคนนี้มา ยัยหนูฟางเองกตัญญูรู้คุณนัก อุตส่าห์ส่งเนื้อมาให้ข้าและสะใภ้ได้ชิม พวกข้าชิมแล้วก็รู้สึกว่าอร่อยยิ่ง วันนี้ก็เลยพากันมาชิมด้วยกัน”
“เนื้อตุ๋นไหนเล่าจะอร่อยจนทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าหวังต้องออกจากจวนมาด้วยตนเองเช่นนี้” กล่าวประโยคนี้ออกมา ฮูหยินเสนาบดีก็สัมผัสได้ถึงลางสังหรณ์บางอย่างแล้ว
เป็นดังคาด เมื่อได้ยินคำถัดมาจากฮูหยินผู้เฒ่าหวัง “ยัยหนูฟางบอกว่าเป็นหอสุราแห่งหนึ่ง ชื่อร้านว่ามีหอสุรา”
ฮูหยินเสนาบดีเผยยิ้ม “บังเอิญนัก ข้าเองก็กำลังจะไปที่มีหอสุ…”
กล่าวยังไม่ทันจบประโยค น้ำเสียงของฮูหยินเสนาบดีก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย “ร้านมีหอสุราส่งเนื้อตุ๋นไปที่จวนหนิงกั๋วกงหรือ”
ฮูหยินผู้เฒ่าหวังไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงสดใส “ถูกแล้ว ร้านส่งเนื้อมาให้ยัยหนูสวี่ฟางเป็นพิเศษ”
คิ้วของฮูหยินเสนาบดีขมวดเป็นปมมากขึ้นเรื่อยๆ
ประเดี๋ยวก่อน เมื่อวานนี้ตาแก่นั่นกลับมาถึงเรือนด้วยน้ำมันเต็มปาก ทั้งยังมิได้เอ่ยเช่นนี้
ตาแก่บอกว่าร้านไม่อนุญาตให้ห่ออาหารกลับ!
ในใจของฮูหยินเสนาบดีนางพลันเต็มไปด้วยเสียงอสนีบาต แต่ใบหน้ากลับแย้มยิ้มจาง “ในเมื่อจะไปที่หมายเดียวกัน เช่นนั้นก็ไปด้วยกันเถอะ ประจวบเหมาะยิ่ง ช่วงนี้มิได้มีเวลาจิบชาร่วมกับฮูหยินผู้เฒ่าหวังเลย”
“โอกาสดีแล้ว ไปกันเถอะ”
คนทั้งสองกลุ่ม รวมกันเป็นกลุ่มเดียว หลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็พบกับคนรู้จักอีกครั้ง
“จี้จิ่วฮูหยิน วันนี้ก็ออกมาเดินตลาดหรือ”
เป็นที่รู้กันดีว่าหลินฮูหยินมิค่อยออกมาเดินตลาดด้วยตนเอง
เมื่อเช้านี้ ผู้ดูแลยื่นใบคิดเงินใบหนึ่งมาให้นางแล้วบอกว่าเมื่อคืนตาเฒ่าพาคนไปกินดื่มและจดบัญชีไว้ ร้านจึงส่งคนมารับเงิน
นางเกือบจะเป็นลมเมื่อเห็นสิ่งนี้
สี่ร้อยหกสิบห้าตำลึง!
หลังจากไถ่ถามอย่างละเอียดแล้วก็ได้ความว่าที่แห่งนั้นเป็นเพียงหอสุราเล็กๆ แห่งหนึ่ง
ตาเฒ่าเลี้ยงข้าวผู้อื่นเยี่ยงอาหารฮ่องเต้ อาหารมื้อเดียวราคาเกินสี่ร้อยตำลึงหรือ
จี้จิ่วฮูหยินไม่อยากจะเชื่อ
ตาเฒ่าอายุใกล้จะลงโลงปานนี้แล้ว คงจะไม่ไปที่แม่น้ำจินสุ่ยเพื่อหาความสำราญอีกกระมัง
แต่สิ่งที่น่าเจ็บใจคือตาเฒ่าออกไปที่กรมตั้งแต่รุ่งสาง ทำให้นางไม่สามารถถามอะไรได้เลย
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางจึงตรงมาที่หอสุราด้วยตนเองเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วค่อยตัดสินทัศนคติที่มีต่อตาเฒ่าเมื่อคืนอีกครั้ง
แน่นอนว่า เรื่องนี้ไม่สามารถบอกให้คนนอกรู้ได้
จี้จิ่วฮูหยินยิ้มจาง “ยามนี้แล้วยังจะมีอะไรให้ซื้ออีกเล่า ได้ยินมาว่าตรงถนนชิงซิ่งมีหอสุราแห่งหนึ่งเปิดใหม่ รสชาติดีนัก ข้าก็เลยอยากจะแวะมาชิมดู”
ฮูหยินเสนาบดีและฮูหยินผู้เฒ่าหนิงกั๋วกงกันมองหน้ากัน ก็อดยิ้มไม่ได้
“จี้จิ่วฮูหยินเองก็กำลังจะไปร้านมีหอสุราหรือนี่” ฮูหยินผู้เฒ่าหนิงกั๋วกงเอ่ยถาม
จี้จิ่วฮูหยินตื่นตกใจ “ฮูหยินผู้เฒ่าหวังก็รู้จักร้านมีหอสุราหรือ”
บุรุษของจวนหนิงกั๋วกงนั้น บาดเจ็บล้มตายไปในสนามรบเป็นจำนวนมาก หนิงกั๋วกงฮูหยินเป็นม่ายตั้งแต่อายุยังน้อย แท้จริงแล้วไม่ค่อยออกมาจากจวนมากนัก
ฮูหยินผู่เฒ่าหวังยิ้มตอบ “ข้าเองก็ได้ยินมาว่าร้านที่เพิ่งเปิดใหม่นั้นอร่อยเช่นกัน ก็เลยจะมาชิม”
ทั้งสามมีเป้าหมายเดียวกันจึงมุ่งตรงสู่มีหอสุรา
ยามนี้ ร้านเพิ่งจะเปิดทำการ
หงโต้วยืนอยู่ข้างประตูท่าทางเหนื่อยหน่าย เมื่อเห็นว่าฮูหยินเสนาบดีและคนอื่นๆ เดินเข้ามา ก็ร้องอุทาน “อ๊ะ มากันหลายคนเลยนะเจ้าคะ”
ผู้ดูแลเดินเข้ามาอย่างฉับไวบีบให้หงโต้วออกไปแล้วหันไปส่งยิ้มอบอุ่นกระตือรือร้นให้กับฮูหยินเสนาบดีและคนอื่นๆ “เชิญฮูหยินด้านนี้เลยเจ้าค่ะ”
กล่าวตามความสัตย์จริงก็มิใช่สาวน้อยกันแล้ว มีลูกค้าหญิงภายในหอสุราจะแปลกอะไรเล่า ป่าวประกาศออกไป ไหนเลยจะทำให้คนเข้าใจผิดเกี่ยวกับหอสุราได้
ฮูหยินเสนาบดีและคนอื่นๆ เดินตามกันเข้ามาในห้องโถง หันมองสำรวจรอบด้านก็ลอบพยักหน้า
ดูแล้วเป็นร้านที่สะอาดสะอ้านนัก
อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานะของพวกนาง การนั่งทานอาหารในห้องโถงคงไม่เหมาะสม
“มีห้องส่วนตัวหรือไม่” ฮูหยินเสนาบดีเอ่ยถาม
“มีเจ้าค่ะ เชิญด้านบนได้เลยเจ้าค่ะ” ผู้ดูแลนำพวกนางขึ้นบันไดไปด้วยตนเอง
ย่อมมีห้องส่วนตัวแน่นอน เมื่อไม่นานมานี้ นางเองก็ทักทายเถ้าแก่คนใหม่ในห้องนี้แหละ
หากแต่สิ่งที่ขายยามนั้นเป็นเครื่องประทินโฉม
ขอบคุณสวรรค์ที่เถ้าแก่คนใหม่ซื้อร้านเครื่องประทินโฉมแล้วเปลี่ยนเป็นหอสุรา เพื่อที่ให้นางจะได้มีข้าวกินนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป
ก่อนหน้านี้ ก่อนหน้านี้แทบจะเรียกว่าข้าวมิได้ด้วยซ้ำ ต้องเรียกว่าเป็นอาหารหมูถึงจะถูก
ห้องมิได้ใหญ่มาก ตกแต่งอย่างเรียบง่าย หากแต่ด้วยสายตาเฉียบแหลมของบางคนสามารถบอกได้ว่าแจกันธรรมดาที่วางอยู่บนโต๊ะสูงนั้น แท้จริงแล้วเป็นแจกันโบราณสมัยราชวงศ์เหลียง และมีมูลค่านับหมื่นทองคำ
ส่วนกระถางธูปปากเป็ดที่ไอหอมขจรขจายหมุนวนเป็นเกลียวอยู่นั้นมีอายุมากยิ่งกว่าหลายรัชสมัย
ความหรูหราแบบเรียบง่ายนี้ทำให้หญิงชนชั้นสูงเช่นพวกนางผ่อนคลาย
นี่คือสภาพแวดล้อมที่พวกนางคุ้นเคยในแต่ละวัน
“มิทราบว่าฮูหยินอยากรับประทานอะไรหรือเจ้าคะ”
โดยปกติแล้วผู้ที่ต้องตอบรับคำในสถานการณ์เช่นนี้ควรจะเป็นคนที่เป็นเจ้ามือ
ฮูหยินเสนาบดีคิดว่ามีคนเชิญเสนาบดีจ้าวมากินที่นี่ติดต่อกันถึงสองวัน แม้ราคาอาหารจะแพงสักหน่อย แต่ก็คงไม่แพงไปกว่าหอสุราอู๋เว่ยไจ ร้านอาหารที่ดีที่สุดในเมืองหลวงหรอกกระมัง
มิใช่เรื่องง่ายที่จะบังเอิญเจอกับฮูหยินผู้เฒ่าหวังและหลินจี้จิ่วฮูหยิน เป็นเจ้ามือสักมื้อคงไม่เป็นไร
“มิทราบว่ามีอาหารอะไรบางหรือ” ฮูหยินเสนาบดียิ้มถาม
เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าหนิงกั๋วกงและจี้จิ่วฮูหยินเห็นว่าฮูหยินเสนาบดีจ้าวเป็นผู้เอ่ยปากก่อนแล้วก็รักษากิริยามารยาทไม่ได้โต้แย้งใด
อาหารมื้อหนึ่ง ด้วยฐานะของพวกนางหากยื้อแย่งกันเอ่ยปาก คงจะทำให้ผู้คนขบขันไม่น้อย
กระทั่งตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าจี้จิ่วฮูหยินก็ยังไม่เชื่อว่าใบคิดเงินมหาศาลของหลินจี้จิ่วนั้นมาจากราคาอาหารจริงๆ
“อาหารหลักของร้านเราในวันนี้คือไก่แช่น้ำมันและสไบนางผ้าขี้ริ้วเจ้าค่ะ อีกอย่างยังมีเนื้อตุ๋นและลิ้นเป็ดกระเทียมดำด้วย แต่ทั้งสองรายการนี้จำกัดไว้ที่หนึ่งจานต่อโต๊ะเจ้าค่ะ” ผู้ดูแลแนะนำ
โค่วเอ๋อร์ที่ตามเข้ามารีบกล่าวเสริมทันที “ฮูหยินทั้งหลายโชคดียิ่งเจ้าค่ะ วันนี้ร้านของเรายังมีเกี๊ยวปลาด้วย เนื้อปลาสดใหม่พร้อมกับกุยช่ายหอมหนึ่งกำนำมาทำเป็นเกี๊ยว แป้งบางไส้ชุ่มฉ่ำ รสชาติดียิ่งเมื่อจิ้มกินกับน้ำส้มสายชูเจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นว่าฮูหยินเสนาบดีและคนอื่นๆ ให้ความสนใจอย่างเห็นได้ชัด โค่วเอ๋อร์ก็รีบรายงานราคาเสียงใส “ไก่แช่น้ำมันและเนื้อตุ๋นราคาจานละยี่สิบตำลึงเงิน สไบนางผ้าขี้ริ้วและลิ้นเป็ดกระเทียมดำราคาจานละสามสิบตำลึงเงิน เกี๊ยวปลาราคาสิบตำลึงเงินต่อหนึ่งชุด อ๊ะ จริงด้วย ร้านของเรายังมีสุราส้มขายด้วยเจ้าค่ะ สุราส้มของร้านเราไม่เหมือนกับในตลาด สีใส ไม่ขุ่นเลยแม้แต่น้อย หากเหล่าฮูหยินไม่ได้ชิมคงจะน่าเสียดาย… ”
เมื่อคิดถึงเนื้อตุ๋นแสนอร่อยที่ได้ลิ้มชิมเมื่อคืน หนิงกั๋วกงก็หันมองฮูหยินเสนาบดี “พวกเราลองชิมกันสักหน่อยดีหรือไม่”