ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 128 หากเป็นเช่นนั้นก็อภัยให้ได้

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 128 หากเป็นเช่นนั้นก็อภัยให้ได้

“เหล่าฮูหยิน เดินระวังนะเจ้าคะ” ด้วยไม่ค่อยมีลูกค้าหญิงมากนัก ผู้ดูแลจึงเอาใจใส่ดียิ่ง

ฮูหยินเสนาบดีและคนอื่นๆ กลับไม่ได้ฟังคำของผู้ดูแล ทุกสายตาจ้องไปที่โถงอย่างเงียบเชียบ

เสนาบดีจ้าวเพิ่งจะกินเกี๊ยวปลาจุ่มน้ำส้มสายชูไปคำหนึ่งก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศแปลกประหลาด จึงเงยหน้าขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

เมื่อมองเห็นภาพตรงหน้า ตะเกียบก็สั่นไหว เกี๊ยวครึ่งหนึ่งตกลงไปในจานน้ำส้มสายชูแล้ว

ด้วยมิรู้ว่าใส่อะไรเพิ่มเข้าไป น้ำส้มสายชูนี้ถึงมีรสชาติอร่อยเป็นพิเศษ ยามกินจึงกระเซ็นลงบนเคราสะอาดเรียบร้อยของเสนาบดีจ้าว

จบกัน กลับไปถึงจวนต้องโดนฮูหยินได้กลิ่นอีกเป็นแน่ เจ้าเคราบ้าถ่วงแข้งถ่วงขาอยู่เสมอเชียว!

เสนาบดีจ้าวคิดแล้วก็หงุดหงิดขึ้นมา แต่ฉับพลันก็ตระหนักได้ว่า ‘ยังจะต้องอารมณ์เสียอะไรอีกเล่า ฮูหยินเห็นหมดแล้วนี่นา!’

“อะแฮ่ม เหตุใดฮูหยินถึงมาอยู่ที่นี่หรือ” เสนาบดีจ้าวเอ่ยปากก่อน ทำลายความเงียบที่ชวนให้คนหายใจไม่ทั่วท้อง

ฮูหยินเสนาบดีเดินเข้ามา ใบหน้าแฝงด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนและเป็นมิตร “ตายจริง ช่างบังเอิญนัก เหตุใดนายท่านถึงมาอยู่ที่นี่หรือ”

อาหารของพวกนางมื้อเดียวกินไปก็เกือบจะหกร้อยตำลึงเงินแล้ว แต่ตาเฒ่ายังกล้ามาอีก!

หรือว่าจะมีคนอื่นเป็นเจ้ามืออีก

ฮูหยินเสนาบดีทอดสายตามองไปทางหลินเถิง

นางเคยเห็นบุรุษผู้นี้มาก่อน เขาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาคนใกล้ชิดของนายท่านและยังเป็นหลานชายคนโตของหลินจี้จิ่ว

หลินเถิงต้องจำใจแสดงความเคารพภายใต้ความกดดัน

ฮูหยินเสนาบดีพยักหน้าตอบรับ สายตากวาดมองโต๊ะอื่นต่ออย่างรวดเร็ว

โต๊ะข้างๆ คือหลินจี้จิ่ว โต๊ะถัดไปอีกนั้นก็คือไคหยางอ๋อง

ด้านชายฉกรรจ์ที่กำลังง่วนอยู่กับการกินเกี๊ยวลากลับมิได้อยู่ในสายตา ด้วยฮูหยินเสนาบดีเพ่งความสนใจทั้งหมดไปที่โต๊ะข้างๆ

ประหลาดนัก นายท่านพาหลานชายคนโตของหลินจี้จิ่วมา ด้านหลินจี้จิ่วก็พาหลานชายคนรองมา ไฉนต้องแยกนั่งสองโต๊ะเล่า

หลังจากมึนงงอยู่ชั่วขณะ ฮูหยินเสนาบดีก็คล้ายกับตระหนักได้ ‘อาหารราคาแพงถึงปานนี้ ใครก็มิอยากเป็นเจ้ามือ’

คิดถึงสิ่งนี้ หัวใจของฮูหยินเสนาบดีก็คล้ายกับมีเลือดไหลออกมาอีกคราเพราะใบเรียกเก็บเงินสามร้อยกว่าตำลึงนั้น

การปฏิบัติต่อแขกถือเป็นการปฏิบัติอย่างจริงใจ ส่วนความเจ็บปวดใจก็ยังเป็นความเจ็บปวดอย่างยิ่ง…

ด้านหลินจี้จิ่วรู้สึกลนลานยิ่งกว่าเดิมเมื่อเห็นจี้จิ่วฮูหยิน “ฮูหยินเองก็มาที่นี่เพื่อดื่มหรือ”

ดูเหมือนว่าฮูหยินจะเห็นใบเรียกเก็บเงินสี่ร้อยกว่าตำลึงนั่นเข้าให้แล้ว

อย่างไรเสีย เดิมทีต้องจ่ายถึงเก้าร้อยกว่าตำลึง จะว่าไปแล้วนี่ก็นับเป็นกำไรไม่น้อย

คิดถึงสิ่งนี้ หลินจี้จิ่วจึงค่อยๆ เหยียดหลังให้ตรงขึ้นมาได้

อย่าได้ตระหนกไป

หากแต่ฮูหยินในยามนี้กลับไม่ได้คิดถึงใบเรียกเก็บเงินเลยสักนิด!

ใบเรียกเก็บเงินอะไรกัน เพราะสิ่งที่นางสงสัยในตอนนี้คือเหตุใดหลานชายทั้งสองถึงอยู่ที่นี่ได้!

หลานชายคนโตนั้นช่างเถอะ ในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชาของเสนาบดีจ้าวคงมิอาจเลี่ยงได้ แต่ตาเฒ่านี่สิ มาดื่มแล้วไฉนถึงได้พาซูเอ๋อร์มาด้วย

ครั้นหางตาเหลือบมองไปทางลั่วเซิง จี้จิ่วฮูหยินก็แทบอยากจะกระโจนเข้าไปข่วนหน้าหลินจี้จิ่วให้ลาย

นี่มันส่งแกะเข้าปากเสือเลยมิใช่รึ!

เมื่อหลินจี้จิ่วเห็นว่าฮูหยินกำลังมองมาทางหลานชายก็พลันตระหนักได้ ‘จบกัน ฮูหยินเห็นซูเอ๋อร์แล้ว’

เห็นการขยิบตาอย่างดุเดือดจากท่านปู่ หลินซูก็ยิ้มเจื่อน “เมื่อวานพี่ชายพาข้ามาที่นี่ หลานรู้สึกว่ารสชาติอร่อยนัก วันนี้ก็เลยอดไม่ได้ให้ท่านปู่พามาอีกรอบขอรับ”

หลินเถิงหันไปมองผู้เป็นนายท่านของตนเพื่อขอความช่วยเหลือ

เสนาบดีจ้าวคีบเกี๊ยวครึ่งหนึ่งที่หล่นลงไปในจานน้ำส้มสายชูแล้วหรี่ตากินมัน

เกี๊ยวไส้ปลานี้รสชาติอร่อยแท้

กู้หน้าหรือ จะให้ช่วยกู้หน้าอย่างไรเล่า หรือจะให้เขาบอกว่าเขาเป็นคนสั่งให้หลินเถิงพาน้องชายมาอย่างนั้นรึ

เช่นนั้นจี้จิ่วฮูหยินก็คงฉีกเขาเป็นชิ้นๆ พอดีสิ

“เถิงเอ๋อร์พาน้องชายมาที่นี่หรือ” จี้จิ่วฮูหยินมองหลานชายคนโตด้วยสายตาเมตตาเอ็นดู

หลินเถิงคล้ายกับสังเกตเห็นเจตนาสังหารอันคมปลาบที่ซ่อนอยู่ในดวงตารักใคร่ของท่านย่าจึงกล่าวเสียงเข้ม “อาหารและสุราของที่นี่อร่อยมาก หลานก็เลยอยากจะแบ่งปันน้องรองด้วยขอรับ”

จี้จิ่วฮูหยินหัวเราะเหอะเหอะ “พวกท่านกินข้าวก่อนเถอะ กลับไปแล้วค่อยคุยกัน”

หลินจี้จิ่วยิ้มแห้ง “กินไปไม่น้อยแล้ว เสี่ยวเอ้อร์ คิดเงินได้”

เขาพูดจบก็รีบยัดเกี๊ยวปลาชิ้นสุดท้ายเข้าปากไปอย่างฉับไว

ในเมื่อต้องเสียเงินแล้วจะปล่อยให้เสียของมิได้แม้แต่ชิ้นเดียว บนจานมีเกี๊ยวปลาอยู่เพียงหกชิ้นราคาสิบตำลึงเงิน เท่ากับว่าชิ้นหนึ่งราคาเกือบสองตำลึงเงินเชียวนา

หงโต้วเอ่ยเสียงใสแจ๋ว “ไก่แช่น้ำมันสามตัว สไบนางและผ้าขี้ริ้วหกจาน เนื้อตุ๋นและลิ้นเป็ดกระเทียมดำอย่างละจาน สุราสามกา เกี๊ยวปลาสองจาน ทั้งหมดคิดเป็นเงินสี่ร้อยตำ…”

“ลงบัญชีได้!” หงโต้วยังไม่ทันมีโอกาสได้เอ่ยเรื่องลดครึ่งราคา หลินจี้จิ่วก็โพล่งเสียงออกมาก่อนแล้ว

หงโต้วหาได้เข้าใจความตั้งใจของจี้จิ่วผู้อาวุโสต้องการรอดพ้นวิกฤตนี้ไม่ กวาดสายตามองเขาด้วยความแปลกใจ “ลูกค้ารีบร้อนอะไรหรือเจ้าคะ ข้ายังพูดไม่ทันจบเลย มิใช่ว่าเถ้าแก่บอกไว้แล้วหรือว่าหากมีคุณชายรองหลินอยู่ด้วยแล้วจะได้ลดครึ่งราคา เพราะฉะนั้นแล้วจ่ายเพียงสองร้อยตำลึงเงินเท่านั้นก็พอแล้วเจ้าค่ะ”

“มีซูเอ๋อร์ลดครึ่งราคาอย่างนั้นหรือ” จี้จิ่วฮูหยินหรี่ตา

อีกด้านหนึ่ง ฮูหยินเสนาบดีก็ส่งยิ้มให้แล้วเริ่มเร่งเร้า “นายท่าน ในเมื่อกินเสร็จแล้วก็คิดเงินเถอะเจ้าค่ะ”

“เอ่อ คิดเงินได้” เสนาบดีจ้าวหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับมุมปาก

คุณชายสามเซิ่งยิ้มหัวเราะ “ไก่แช่น้ำมันหกตัว สไบนางผ้าขี้ริ้วแปดจาน เนื้อตุ๋นและลิ้นเป็ดกระเทียมดำอย่างละหนึ่ง สุราหกกา เกี๊ยวปลาสี่จาน คิดเป็นเงินทั้งหมดหกร้อยสามสิบตำลึงเงินขอรับ”

ฮูหยินเสนาบดีใบหน้าพลันมืดครึ้ม

สุดยอดจริงๆ ทั้งโต๊ะมีกันแค่สองคน แต่ยังกินมากกว่าโต๊ะอื่นไปตั้งสองร้อยตำลึง!

ยังโชคดีที่ได้ลดครึ่งราคา

เสนาบดีจ้าวแสยะยิ้มให้คุณชายสามเซิ่ง “ลงบัญชีไว้”

“ขอรับ”

ฮูหยินเสนาบดียังคงรออยู่ แต่ก่อนที่เสี่ยวเอ้อร์รูปงามคนนี้จะได้เอ่ยคำว่าครึ่งราคาก็อดกระแอมออกมามิได้

รอยยิ้มบนใบหน้าของคุณชายสามเซิ่งยิ่งสดใส “ลูกค้ากลับดีๆ นะขอรับ”

แน่นอนว่าเสนาบดีจ้าวรู้ว่าตนไม่ได้รับข้อเสนอลดครึ่งราคาจึงไม่กล้าเอ่ยอะไรอีก หยัดกายขึ้นเตรียมที่จะพาฮูหยินออกไป

แต่ฮูหยินเสนาบดีกลับไม่ยินยอม

หากครึ่งราคาก็ประหยัดไปได้ถึงสองสามร้อยตำลึง นี่มิใช่จำนวนเงินน้อยๆ

เป็นการประหยัดที่ดียิ่งเพราะเงินส่วนที่เหลือจากการเป็นเจ้ามือของนางในวันนี้ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็เพียงพอที่จะใช้เงินที่เหลือไว้รับประทานอาหารมื้อต่อไปในภายหน้า

ครั้งหน้าอย่างนั้นหรือ แน่นอนว่าย่อมต้องกลับมาอีก

นางตรากตรำดูแลจวนเสนาบดีมาหลายปี ด้วยอายุปูนนี้แล้ว เหตุใดจะไม่อยากใช้ชีวิตสะดวกสบาย หากจะอยากกินอาหารอร่อยๆ บ้างจะเป็นอะไรไปเล่า

“มิได้บอกว่าลดครึ่งราคาหรอกหรือ” ฮูหยินเสนาบดีเอ่ยถามอย่างใจเย็น

แม้จะเขินอายเล็กน้อย แต่หากหน้าบางก็ไม่ได้กินข้าวกันพอดีน่ะสิ เงินจากจวนเสนาบดีมิใช่ว่าจะลอยมากับลมเสียหน่อย

คุณชายสามเซิ่งอึ้งงัน “ครึ่งราคาหรือ ไม่ได้ขอรับ หากท่านมิเชื่อข้าก็ลองถามไคหยางอ๋องดูเถิด แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยได้ครึ่งราคาเลย”

เว่ยหานที่กำลังคีบลิ้นเป็ดกระเทียมดำขึ้นมา “…”

“แล้วทำไม…” ฮูหยินเสนาบดีเหลือบมองทางโต๊ะหลินจี้จิ่ว ไม่อยากเอ่ยออกมาตรงๆ จนเกินไป

คุณชายสามเซิ่งพลันเข้าใจกระจ่าง “เป็นเช่นนี้ขอรับ ด้วยมีคุณชายรองหลินถึงจะได้ครึ่งราคา”

เห็นว่าฮูหยินเสนาบดีกวาดสายตามองไปทางหลินเถิง คุณชายสามเซิ่งก็รีบตอบกลับ “คุณชายใหญ่หลินใช้ลดมิได้ขอรับ”

หลินเถิง “…”

ตอนนั้นเองหลินเถิงและเว่ยหานก็พลันหันมาสบตากัน ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจ ‘บอกข้าหน่อยเถอะ ว่าคุณหนูลั่วชมชอบอะไรในตัวหลินซู!’

ในที่สุดฮูหยินเสนาบดีก็เข้าใจกระจ่างแจ้ง ระหว่างทางกลับ นางเหลือบมองตาเฒ่าแวบหนึ่ง “ในเมื่อรู้ว่าหลินเถิงไม่สามารถให้ครึ่งราคาแก่ท่านได้ เหตุใดนายท่านถึงไม่ให้หลินจี้จิ่วสลับหลานชายของเขากับท่านกัน”

เสนาบดีจ้าวใบหน้าห่อเหี่ยว “นั่นคือหลานชายของเขานา…มิสู้ พรุ่งนี้ข้าพาหลานชายของเราไปลองดีหรือไม่”

จ้าวฮูหยินเสนาบดีดิ้นรนอยู่ครู่หนึ่ง ตอบกลับเสียงแข็ง “ไม่ได้!”

หากจะต้องแลกหลานชายเพื่อของกิน ขืนให้ลูกสะใภ้รู้เข้าคงไม่ดีแน่

ด้านหลินจี้จิ่วก็มีช่วงเวลายากลำบากเช่นกัน

“พาซูเอ๋อร์ไปก็เลยได้ลดครึ่งราคา เช่นนั้นเมื่อวานนี้และวันนี้ก็เลยพาซูเอ๋อร์ไปสินะเจ้าคะ” จี้จิ่วฮูหยินกัดฟันถาม

หลินจี้จิ่วยิ้มแห้ง “เมื่อวานนี้ข้าเป็นเจ้ามือ”

ความเดือดดาลของจี้จิ่วฮูหยินพลันมหลายหายไปครึ่งหนึ่ง

หากเป็นเช่นนั้น ก็อภัยให้ได้…

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท