ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 131 รื้อฟื้นกิจการเก่า

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 131 รื้อฟื้นกิจการเก่า

ภายในบ้านอันทรุดโทรม ดวงตาของชายมีหนวดเพ่งมองตรง “แล้วพี่ชายจะทำอย่างไรต่อไป”

เดิมทีคิดว่ามาขอพึ่งพาอาศัยพี่ชายจะได้อยู่ดีกินดีพรั่งพร้อมด้วยอาหารและที่พัก หากแต่ไม่คิดเลยว่าพี่ใหญ่ลู่จะไม่ได้ดีไปกว่าพวกเขา

การใช้ชีวิตในเมืองหลวงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

สีหน้าของชายฉกรรจ์เปลี่ยนเป็นดุร้าย “ข้าเตรียมการจะกลับไปทำกิจการเก่า โชคดีที่มีน้องชายมาช่วย!”

“กลับไปทำกิจการเก่าหรือ พี่ชายหมายถึง…” หัวใจของชายผู้มีหนวดเต้นรัว สัมผัสได้ถึงความสุขที่ไม่ได้รู้สึกมานาน

กล่าวตามความสัตย์จริงแล้ว เขาไม่อาจตัดใจที่จะหยุดกิจการที่สืบทอดมาแต่บรรพบุรุษได้

เสียงของชายฉกรรจ์ลดต่ำลงโดยไม่รู้ตัว “ข้าเตรียมการจะปล้นหอสุราแห่งนั้น”

มุมปากของชายมีหนวดกระตุก “พี่ชาย มิสู้พวกเราเปลี่ยนเป้าหมายเป็นร้านขายเครื่องเงินอะไรทำนองนั้นดีกว่ากระมัง”

ชายฉกรรจ์กลับส่ายหัว “ร้านเครื่องเงินก็ยังต้องไป แต่ในกระท่อมไม่มีแม้แต่ข้าวจะหุงแล้ว เช่นนั้นไม่อาจรอได้อีก อีกอย่างข้าคิดมาดีแล้วว่าจะปล้นอะไร…”

“ปล้นอะไรกัน” ชายมีหนวดสับสนยิ่งกว่าเดิม

ก็ต้องปล้นเงินมิใช่รึ เป็นไปได้หรือไม่ที่จะปล้นคนด้วย

“ปล้นเนื้อตุ๋นหม้อเดียวก็พอแล้ว!” ชายฉกรรจ์ผู้แข็งแกร่งเอ่ยเสียงเหี้ยมเมื่อนึกถึงราคาของเนื้อตุ๋นจานเล็กๆ จานนั้น

“ประเดี๋ยวก่อน” ชายมีหนวดทนไม่ไหวอีกแล้ว “พี่ชาย ในเมื่อเราจะปล้นแล้ว ทำไมเราถึงต้องปล้นเนื้อตุ๋นหม้อเดียวเล่า มิสู้ปล้นเงินไม่ดีกว่าหรือ”

พวกโจรในเมืองหลวงสุภาพขนาดนี้เชียวรึ

พี่ใหญ่ลู่เปลี่ยนไปแล้ว!

ชายฉกรรจ์ส่ายหัวซ้ำแล้วซ้ำ “ปล้นเงินมิได้ ราคาอาหารของหอสุราแห่งนั้นแพงยิ่ง แม้แต่ลูกค้าก็ลงบัญชีเอาไว้”

“แต่ว่าเนื้อตุ๋นหม้อเดียวก็พอแค่ให้พวกเราทั้งสามได้กินอาหารกันเพียงมื้อหนึ่ง นี่มันจะคุ้มค่าหรือ” เพื่อเนื้อตุ๋นเพียงหม้อเดียว ชายมีหนวดไม่อาจตัดสินใจกลับไปทำอาชีพเก่าได้จริงๆ

โจรก็มีศักดิ์ศรีเช่นกัน

ชายฉกรรจ์มองดูชายมีหนวดอย่างลึกซึ้งแล้วใช้สองมือทำท่าทาง “จานเท่านี้ สามารถใส่เนื้อตุ๋นชิ้นบางๆ ได้มากสุดถึงยี่สิบชิ้น น้องชาย เจ้ารู้หรือไม่ว่าจานหนึ่งราคาเท่าไร”

“เท่าไรหรือ”

“ยี่สิบตำลึงเงิน!”

“เท่าไรนะ”

ชายฉกรรจ์ชูนิ้วขึ้นสองนิ้วแล้วเอ่ยเสียงจริงจัง “ยี่สิบตำลึงเงิน ขาดไปแม้แต่เหวินเดียวก็ไม่ขาย! เนื้อตุ๋นหม้อหนึ่งสามารถหั่นเป็นสามสิบหรือห้าสิบจานได้เลยกระมัง น้องชายคิดดูสิ ว่าจะเป็นเงินเท่าไร!”

ชายมีหนวดรีบกางมือออกนับนิ้วของตนเอง

จานละยี่สิบตำลึงเงิน หนึ่งหม้อได้สามสิบถึงห้าสิบจาน นี่ นี่มันมีมูลค่าอย่างน้อยหกร้อยตำลึงเงิน!

“น้องชาย เจ้าคิดว่าการซื้อขายนี้จะทำได้หรือไม่”

ดวงตาของชายมีหนวดทอประกาย “ได้!”

หกร้อยตำลึงเงิน หากแบ่งครึ่งกับพี่ใหญ่ลู่ก็ยังได้รับถึงสามร้อยตําลึงเงิน ด้วยเงินสามร้อยตำลึงเงินนี้ สามารถซื้อบ้านหลังเล็กๆ ในเมืองหลวงได้หลังหนึ่งแล้ว และยังเป็นค่าสนับสนุนการเรียนของเสี่ยวชีได้ด้วย

ชายมีหนวดพลันหมกมุ่นกับชีวิตสวยงามในวันข้างหน้า

“ต้องแจ้งให้น้องชายทราบก่อน หอสุราแห่งนั้นมีเสี่ยวเอ้อร์ผู้หนึ่งความสามารถไม่ธรรมดา นับเป็นอุปสรรคใหญ่ต่อการปล้นของพวกเรา ข้ามีแผนการแล้ว พวกเราค่อยแสร้งเป็นลูกค้าไปดื่มที่นั่นตอนร้านใกล้จะปิดทำการ รอกระทั่งลูกค้าคนสุดท้ายกลับไปแล้ว พวกเราทั้งสองมัดเสี่ยวเอ้อร์คนนั้นไว้ แล้วจากนั้นก็ให้เสี่ยวเฮยมุ่งไปที่ห้องครัว…”

ชายฉกรรจ์เอามือจุ่มน้ำแล้ววาดแผนผังเค้าโครงอย่างง่ายของหอสุราลงบนโต๊ะที่เต็มไปด้วยฝุ่น

ไม่นานท้องฟ้าก็พลันเปลี่ยนสีเป็นยามราตรีกาล เม็ดฝนเริ่มโปรยปรายเป็นสายลงมาเล็กน้อย

เมื่อเห็นว่ากลุ่มคนเดินถนนน้อยลงเรื่อยๆ ชายฉกรรจ์ก็อารมณ์ดียิ่ง

“สวรรค์กำลังเข้าข้างพวกเราแล้ว”

ฝนตกก็ดี เพราะคนก็จะได้น้อยลง

“พี่ชาย นี่คือหอสุราแห่งนั้นรึ” เมื่อหยุดอยู่ที่หน้าประตูร้าน ชายมีหนวดก็เอ่ยถาม

“มิผิด ที่แห่งนี้แหละ ข้าแม้จะหลับตาก็สามารถดมหากลิ่นหอมจนเจอ”

เด็กชายหน้าดำที่ติดตามชายทั้งสองสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ “กลิ่นหอมมากจริงๆ”

นี่ทำให้นึกถึงกลิ่นหอมของขาหมูเมื่อครั้งอดีตที่เขาดักซุ่มโจมตีในพงหญ้า

น่าเสียดายที่การปล้นในครั้งนั้นล้มเหลว จนถึงตอนนี้จึงยังมิรู้ว่าขาหมูที่ส่งกลิ่นหอมเช่นนั้น เมื่อกินเข้าไปแล้วจะรสชาติเป็นอย่างไร

“เชิญลูกค้าทางนี้เจ้าค่ะ” เสี่ยวเอ้อร์หน้าตาน่ารักคนหนึ่งหันมามอง กล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม

ชายฉกรรจ์ท่าทีลังเลเล็กน้อย

เมื่อวานนี้เขาถูกเสี่ยวเอ้อร์ร่างสูงโปร่งโยนออกไปจากร้าน แม้จะไม่ทันสังเกตเห็น แต่ในใจก็กระวนกระวายไม่น้อย

หงโต้วรีบปลอบขวัญ “ลูกค้าไม่ต้องกลัวนะเจ้าคะ ผู้ที่มากินอาหารย่อมเป็นลูกค้าผู้มีเกียรติ เมื่อวานนี้เสี่ยวเอ้อร์ที่โยนท่านออกไปโดนลงโทษแล้วเจ้าค่ะ”

ชายฉกรรจ์รู้สึกโล่งใจแล้วเชิดหน้าเดินเข้าไปในร้าน

ชายมีหนวดก็ติดตามเข้ามาด้านใน แต่กลับโดนเด็กชายหน้าดำรั้งเอาไว้เสียก่อน

“พี่ชาย ทำไมข้าถึงได้คิดว่าสตรีผู้นี้คุ้นหน้านัก”

ชายมีหนวดพินิจมองหงโต้วแวบหนึ่งแล้วพยักหน้า “ดูคุ้นเคยจริงๆ คล้ายกับเคยเห็นที่ไหนสักแห่ง…”

หัวใจของเขาเต้นรัว พลันตระหนักเรื่องนี้ขึ้นได้

นี่มิใช่สาวใช้ที่เตะน้องชายของเขาจนเกือบใช้งานไม่ได้ในระหว่างการปล้นครั้งนั้นรึ!

ชายฉกรรจ์ที่เดินเข้าไปก่อนแล้วหันหน้ากลับมา “เหตุใดพวกเจ้าไม่เข้ามาเล่า”

หงโต้วเองก็จำเด็กชายหน้าดำและชายมีหนวดได้เช่นกัน

ไม่มีทาง โจรที่กล้าขโมยขาหมูที่คุณหนูทำพวกนั้น นางจะลืมได้อย่างไรเล่า

แต่คุณหนูบอกไว้แล้วเมื่อวาน หอสุราเปิดทำการค้าขาย จะทำตามอำเภอใจไม่ได้

ดังนั้นสาวใช้ตัวน้อยจึงไม่เปลี่ยนสีหน้าและยิ้มให้กับคนทั้งสอง “ใช่แล้ว เหตุใดลูกค้าทั้งสองไม่เข้ามาเล่าเจ้าคะ”

เด็กชายหน้าดำกระพริบตาปริบๆ อดหันมองไปทางชายมีหนวดไม่ได้

ชายมีหนวดรู้สึกประหลาดใจสับสน แต่ก็รู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นว่าสาวใช้ตัวน้อยดูปกติจึงผ่อนคลายขึ้น

ดูเหมือนว่าจำไม่ได้!

ย่อมเป็นเช่นนั้น เจอหน้าค่าตาเพียงครั้งเดียวเป็นเรื่องปกติที่จะจำมิได้ อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนที่มีสายตาเฉียบแหลมเหมือนพวกเขาที่เป็นโจร

ชายมีหนวดตบมือเด็กชายหน้าดำเป็นสัญญานให้สงบสติอารมณ์ จากนั้นจึงสาวเท้าก้าวเข้าไป

เมื่อเข้าไปในโถงใหญ่ ดวงตาของชายมีหนวดก็ปรายมองเห็นคุณชายสามเซิ่งทันที

ปฏิกิริยาแรก ไม่มีอะไรต้องกังวล

เมื่อเหลือบมองอีกครั้ง เขาก็เห็นหญิงสาวในชุดสีเรียบนั่งอยู่อย่างเกียจคร้านที่ตู้คิดเงิน

ความหนาวเหน็บแล่นปราดขึ้นไปบนไขสันหลังของชายมีหนวดโดยพลัน

สวรรค์ นี่ไม่ใช่ปีศาจสาวที่จับเสี่ยวชีเป็นตัวประกันและท้ายที่สุดแล้วเป็นฝ่ายปล้นพวกเขาหรอกรึ!

เด็กชายหน้าดำเองก็ตกใจจนก้าวขาไม่ออก ดวงตามองตรงไปที่ลั่วเซิง

ชายฉกรรจ์ผู้ที่นั่งอยู่งุนงงยิ่ง “เหตุใดพวกเจ้าถึงได้ดูตกใจเช่นนี้เล่า”

จะไม่ให้ตกใจได้อย่างไรกัน

ลั่วเซิงเพียงกวาดสายตามองก็จำคนทั้งสองได้อย่างรวดเร็ว

เป็นไปได้ไหมว่ารังของโจรถูกเจ้าหน้าที่ทางการกวาดล้าง และปลาหลุดอวนพวกนี้ก็มาที่เมืองหลวงเพื่อหาโอกาสในการดำรงชีวิตใหม่

สำหรับโจรปลายแถวเช่นนี้ ลั่วเซิงไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย นางเพียงกวาดตามองแวบหนึ่งแล้วดึงสายตากลับไป

ชายมีหนวดสับสนยิ่ง

ปีศาจสาวเองก็จำพวกเขาไม่ได้หรือ

ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น ทั้งเขาและเสี่ยวชีเองก็มิได้มีใบหน้าพื้นๆ ไร้ที่จดจำ เช่นนั้นแล้วจะจำพวกเขาทั้งสองไม่ได้แม้แต่น้อยได้อย่างไรกัน

ชายมีหนวดอดไม่ได้ที่จะมองดูปฏิกิริยาของคุณชายสามเซิ่ง

แน่นอนว่าคุณชายสามเซิ่งย่อมจำได้ พวกที่เคยขโมยขาหมูของเขา

แต่เมื่อคิดถึงความหุนหันพลันแล่นของสือเยี่ยนเมื่อวานที่ทำให้ได้กินไก่แช่น้ำมันน้อยกว่าพวกเขาหนึ่งส่วน เขาก็ไม่อยากจะใจร้อนเลยแม้แต่น้อย

ผู้ที่เข้าประตูมาแล้วคือลูกค้า ดังนั้นเขาจึงไม่เอาเรื่องอื่นมาเกี่ยว

ชายมีหนวดรู้สึกยินดีระคนงุนงง ก่อนจะหย่อนกายนั่งลง

หงโต้วคลี่ยิ้มเอ่ยถาม “ลูกค้าต้องการทานอะไรหรือเจ้าคะ วันนี้มีเนื้อแช่วุ้นเป็นอาหารจานใหม่ราคาเพียงสิบตำลึงเงินต่อจานเท่านั้นเจ้าค่ะ”

“เช่นนั้นขอเนื้อแช่วุ้นสิบจาน เนื้อตุ๋นสิบจาน ไก่แช่น้ำมันแปดจาน…”

หลังจากได้ยินชายฉกรรจ์สั่งเป็นชุดเช่นนั้น หงโต้วก็เลิกคิ้วขึ้น “ลูกค้าเป็นลูกค้าประจำ คงรู้ราคาแล้วกระมัง”

เดิมทีมิควรเอ่ยวาจาเช่นนี้ แต่ก็ควรแยกแยะกลุ่มคน ชายผู้นี้พาโจรภูเขามากินด้วยอีกสองคน คงจะไม่คิดจะกินเยี่ยงฮ่องเต้กระมัง

“ย่อมทราบ วันนี้ข้าพาสหหายมาด้วย สั่งเยอะหน่อยก็ถูกแล้ว” ชายฉกรรจ์เอ่ยอย่างห้าวหาญ

อย่างไรเสียอีกประเดี๋ยวก็จะลงมือปล้นแล้ว ไม่ต้องจ่ายเงินใดๆ

“ประ…ประเดี๋ยวก่อน” ชายมีหนวดลนลานขวางหงโต้วที่กำลังจะไปส่งรายการอาหารเอาไว้

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท