ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 132 ทำตามแผนการ

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 132 ทำตามแผนการ

หงโต้วขมวดคิ้วแล้วมองชายมีหนวด “มีอะไรหรือเจ้าคะ”

พวกโจรภูเขาก่อปัญหาเยอะเสียจริง

ชายมีหนวดชูนิ้วขึ้นมานิ้วหนึ่งอย่างสั่นเทา “จานเดียว เนื้อแช่วุ้นแค่จานเดียวก็พอแล้ว”

การปล้นไม่มีทางเป็นไปไม่ได้ ขอเพียงเอาชีวิตรอดออกไปให้ได้ก่อนเท่านั้นก็ดีมากแล้ว

เนื้อแช่วุ้นหนึ่งจานราคาสิบตำลึงเงิน ยังโชคดีที่เขาซ่อนเศษเงินจำนวนหนึ่งไว้ตรงสายคาดเอว เอาน่า เอาน่า แค่นี้ก็น่าจะพอแล้วกระมัง

ฮึกฮึกฮือ เศษเงินพวกนี้เขามีไว้สำหรับกรณีที่เขาหาพี่ใหญ่ลู่ไม่เจอ อย่างน้อยก็จะได้พาเสี่ยวชีไปเร่ร่อนอยู่บนถนนได้

คิดไม่ถึงเลยว่าการหาตัวพี่ใหญ่ลู่จะสำเร็จได้อย่างราบรื่น หากแต่ไม่ได้อยู่ดีกินดีตามที่คาดหวัง แถมทรัพย์สมบัติชิ้นสุดท้ายจะหายไปด้วยหลังจากกินเนื้อไปเพียงจานเดียว

ชายฉกรรจ์ได้ยินเข้าก็ไม่สบอารมณ์ ยื่นมือออกไปกดนิ้วของชายมีหนวด “น้องชายทำอะไรกัน วันนี้เต็มที่ได้เลย ไม่ต้องเกรงใจข้า”

เขาเอ่ยพลางก็ขยิบตาส่งสัญญาณให้ชายมีหนวดอย่างทันท่วงที

กินเปล่าๆ ไม่ต้องจ่ายสักแดงเดียว

เปิดท้องแล้วกินดื่มให้เต็มที่ จะได้มีแรงไว้ปล้น

“ไม่ ไม่ ไม่ เนื้อแช่วุ้นจานเดียวก็พอแล้ว!” ชายมีหนวดใกล้จะหลั่งน้ำตาแล้ว ขยิบตาส่งกลับไปให้ชายฉกรรจ์

พี่ใหญ่ หากท่านเป็นพี่ใหญ่สุดที่รักจริงๆ ก็ให้โอกาสให้ข้าน้องชายผู้นี้อธิบายเรื่องราวให้ฟังอย่างกระจ่างแจ้งด้วยเถิด

“เอาแบบที่เพิ่งสั่งไป!” ชายฉกรรจ์ตะโกนใส่หงโต้วสุดเสียง

“เนื้อแช่วุ้นจานเดียว!” ชายมีหนวดตะโกนดังยิ่งกว่า

หงโต้วเริ่มหงุดหงิดแล้ว “เหตุใดพวกท่านถึงได้เสียงดังเช่นนี้ โชคดีที่ลูกค้าท่านอื่นออกไปหมดแล้ว มิเช่นนั้นจะต้องจ่ายเงินเพิ่มเพราะทำให้พวกเขาตกใจกลัว”

โค่วเอ๋อร์เห็นว่าด้านนี้มีความโกลาหลเกิดขึ้น ก็ผินกายเดินเข้ามา ส่งยิ้มกว้าง “ผู้มากินดื่มย่อมได้รับความสำราญ ใครเป็นคนเลี้ยงใครเป็นแขกนั้นช่างเถอะเจ้าค่ะ เถียงกันไปมาไม่เป็นผลหรอก…”

ชายฉกรรจ์ตบหน้าอกของตน “ข้าเป็นเจ้ามือ ฟังข้า!”

ชายมีหนวดลนลานโต้กลับ “ข้าเป็นเจ้ามือ ฟังข้า!”

ชายฉกรรจ์คว้าแขนของชายมีหนวดเอาไว้ ท่าทางเริ่มโมโหแล้ว “น้องชาย เจ้าดั้นด้นเป็นพันลี้มาเยี่ยมเยียนข้าถึงที่นี่ มื้อแรกกลับจะเป็นเจ้ามือเสียเอง เช่นนี้ไม่ดูถูกพี่ชายไปหน่อยรึ”

ชายมีหนวดนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ

แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยปรามาสพี่ใหญ่ลู่เลยแม้แต่น้อย ในใจของเขาพี่ใหญ่ลู่เป็นดั่งมังกรในหมู่คนทั่วไปมาโดยตลอด

แค่กๆ แม้ว่าเมื่อมาถึงเมืองหลวงและพบว่าสิ่งต่างๆ แตกต่างจากที่เขาจินตนาการไว้เล็กน้อย แต่เขาก็ยังชื่นชมพี่ใหญ่ลู่จากใจจริง

ด้วยท้ายที่สุดเขาก็ยังเป็นคนที่ล้างมือในอ่างทองคำแล้วเดินทางมาเมืองหลวงได้

ชายมีหนวดตกตะลึงอยู่เช่นนี้ไปชั่วขณะ และเมื่อสติกลับคืนมาอีกครั้ง อาหารทั้งหมดก็อยู่บนโต๊ะแล้ว

ชายฉกรรจ์คีบลิ้นเป็ดกระเทียมดำชิ้นหนึ่งขึ้นมาแล้ววางมันลงบนจานของชายมีหนวด “น้องชาย ลองชิมลิ้นเป็ดกระเทียมดำนี้ดูสิ มิรู้ว่าลิ้นเป็ดของร้านนี้ตุ๋นอย่างไรถึงได้รสชาติดีเช่นนี้”

ชายมีหนวดคีบลิ้นเป็ดกระเทียมดำชิ้นนั้นเข้าปากด้วยควานมึนงง ฉับพลันความมึนงงก็สลายเป็นปลิดทิ้ง

อร่อย!

เหตุใดถึงได้มีลิ้นเป็ดที่อร่อยเช่นนี้ได้!

“เสี่ยวชี ลองชิมดูสิ ลิ้นเป็ดกระเทียมดำนี้อร่อยยิ่ง” ชายมีหนวดคีบลิ้นเป็ดกระเทียมดำชิ้นหนึ่งให้เด็กชายหน้าดำ

เด็กชายหน้าดำกินแล้วก็ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาจากการกิน

หลังจากนี้จะทำอย่างไรต่อ นั่นเป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ต้องกังวลแล้ว เขาสนใจแค่เรื่องกินเท่านั้น

“ไก่แช่น้ำมันนี้ก็อร่อยนะ…” ชายฉกรรจ์ยังคงคีบอาหารให้น้องชายแสนดีของตนต่อไป

ชายมีหนวดยัดเนื้อไก่นุ่มกลิ่นหอมเข้าปาก แล้วพยักหน้าไม่หยุด “อร่อยจริงๆ อร่อยจริงๆ”

น่าเสียดายที่เขาอ่านหนังสือไม่ออก ดังนั้นจึงไม่มีคำใดที่จะยกย่องให้ได้มากกว่านี้

ชายฉกรรจ์คีบเนื้อตุ๋นชิ้นหนึ่งแล้ววางลงบนจานของชายมีหนวดอีกครา เอ่ย “ข้าชอบเนื้อตุ๋นของร้านนี้มากที่สุด เนื้อหนึ่งคำ ตามด้วยสุราหนึ่งจอก สุราหนึ่งจอกแล้วตามด้วยเนื้อหนึ่งคำ แม้แต่เทพเซียนก็ยังทำมิได้”

เขาเคยได้ยินเสี่ยวเอ้อร์เอ่ยไว้เช่นนี้ แต่วันนั้นเอ่ยถึงหัวหมูย่างในวันแรกที่ร้านเปิดทำการ

น่าเสียดายที่วันนั้นเขาคิดไม่รอบคอบจึงกินบะหมี่หยางชุนไปยี่สิบชามก็เลยพลาดหัวหมูย่างไป…

ชายฉกรรจ์คิดถึงเรื่องน่าเศร้านี้ เขาก็ยัดเนื้อตุ๋นสองชิ้นเข้าปากพร้อมกันแล้วเริ่มเคี้ยวอย่างรุนแรง

ฉับพลันชายมีหนวดก็คล้ายกับได้สติเมื่อได้ยินคำว่า “เนื้อตุ๋น”

ด้วยเนื้อตุ๋นรสชาติเลิศล้ำในปากของเขายามนี้ หัวใจของเขาก็พลันรู้สึกเย็นเยียบ

จะทำอย่างไร ตอนนี้จะทำอย่างไรดี

“น้องชาย ทำไมไม่กินแล้วเล่า” ชายฉกรรจ์ที่ปากเคี้ยวเนื้อตุ๋นอยู่นั้น เอ่ยถามด้วยความงุนงง

ชายมีหนวดมองซ้ายขวา และเมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจแล้วก็ลดเสียงลงแล้วเอ่ย “พี่ชาย สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว!”

สถานการณ์เปลี่ยนไปอย่างนั้นหรือ

ชายฉกรรจ์รีบกลืนเนื้อนั้น สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง “อะไรกัน”

อย่างไรก็ตามก็เป็นหนึ่งในร้อยของหัวหน้าค่าย ไหวพริบจึงนับว่ายังพอมีอยู่บ้าง

ชายมีหนวดใบหน้าฉายแววขมขื่น ลดเสียงลงให้เบายิ่งกว่าเดิม “พี่ชายจำเรื่องที่ข้าเล่าให้ฟังได้กระมัง ครั้งหนึ่งข้าเคยจะปล้นคนกลุ่มหนึ่ง แต่กลับเป็นฝ่ายโดนปล้นเสียเอง”

ชายฉกรรจ์พยักหน้า

เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ เขาไม่คิดเลยว่าเฟยเปียวจะเล่าให้เขาฟัง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายนับถือเขาเป็นพี่ใหญ่จริงๆ

ดวงตาของชายมีหนวดกวาดไปทางตู้คิดเงิน เอ่ยเสียงกระซิบ “คนที่ปล้นพวกเราทั้งหมด อยู่ในร้านแห่งนี้”

ชายฉกรรจ์ “…”

มือไม้ค่อยๆ ช้าลง ชายฉกรรจ์กระซิบตอบ “หญิงสาวหน้าตาสะสวยตรงตู้คิดเงิน กล่าวกันว่านางเป็นคุณหนูจากตระกูลขุนนาง”

แล้วจะอยู่ในหมู่คนที่ปล้นน้องเฟยเปียวได้อย่างไรเล่า

ชายมีหนวดคล้ายกำลังจะร้องไห้ “เป็นนางนั่นแหละ เป็นนางที่เป็นผู้นำ และยังเป็นนางที่จับเสี่ยวเฮยเอาไว้เป็นตัวประกันด้วย”

ชายฉกรรจ์หันมองเด็กชายหน้าดำด้วยนัยน์ตามึนงง

เด็กชายหน้าดำแก้มป่องพยักหน้าตอบกลับอย่างรวดเร็วแล้วใช้ตะเกียบคีบเนื้อแช่วุ้นยัดเข้าปาก

อร่อยจริงๆ!

ชายฉกรรจ์ค่อยๆ หันหน้ากลับมามองชายมีหนวดอีกครา กล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “น้องชาย ถ้าเช่นนั้นวันนี้พวกเรา…”

“ไม่ได้แล้ว!” เบ้าตาของชายมีหนวดแดงก่ำ

ชายฉกรรจ์ค่อยๆ ก้มหน้าลง แล้วทอดสายตามองอาหารและเครื่องดื่มอันโอชะบนโต๊ะ “ถ้าอย่างนั้น อาหารพวกนี้…”

“จบเห่แล้ว!” ชายมีหนวดเอ่ยด้วยสีหน้าหนักใจ

ดวงตาของชายฉกรรจ์หม่นแสง “จะทำอย่างไรกันดีเล่า”

เขายังไม่ลืมสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ตอนที่เขาถูกเสี่ยวเอ้อร์ผู้นั้นโยนออกไปด้วยมือเดียว

หากเสี่ยวเอ้อร์ทั้งร้านเป็นเช่นนี้หมด อีกอย่างยังเป็นกลุ่มเดียวกับปีศาจสาวที่ปล้นน้องเฟยเปียว เช่นนั้นจะทำอย่างไรเล่า

คิดได้เช่นนี้ ชายฉกรรจ์ก็อดหันมองไปทางลั่วเซิงมิได้

หญิงสาวผมดำขลับในอาภรณ์สีเรียบนั่งอยู่ไม่ห่างไปจากตู้คิดเงิน สีหน้าท่าทางไม่แยแส

ชายฉกรรจ์ยังคงสับสน ‘หญิงงามเช่นนี้ จะมาปล้นคนได้อย่างไรกัน’

เห็นว่าพี่ใหญ่ยังคงมีท่าทางตะลึงงันด้วยเรื่องนี้ ชายมีหนวดก็อยากจะหลั่งน้ำตาออกมายิ่ง

เขาพยายามห้ามปรามแล้ว ครั้งหนึ่งต้องใช้เงินสิบตำลึงเพื่อซื้อเนื้อแช่วุ้นหนึ่งจาน เพื่อให้พวกเขามีชีวิตรอดออกไป

ใครจะคิดเล่า…

แล้วจะยังสามารถทำอะไรได้อีกเล่า เปิดท้องกินให้เต็มอิ่มเถอะ กินเสร็จแล้วหากหารมาก็ใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาก็ใช้ดินต้าน ต้านไม่ไหวอย่างน้อยก็อยู่ล้างจานมันที่นี่

ชายมีหนวดกระแทกกาสุราแล้วตะโกนออกมาสุดเสียง “สุราอีกสิบกา!”

ดื่มเพื่อความฮึกเหิม เมาแล้วค่อยพักผ่อน

ชายมีหนวดยกจอกขึ้นให้ชายฉกรรจ์ “พี่ชาย ข้าขอคารวะท่าน หลายปีมานี้ไม่ง่ายเลย”

ชายฉกรรจ์ก็ยกแก้วขึ้นตอบรับ “ใช่ ไม่ง่ายเลย”

หลังจากนี้จะหนีไปอย่างไรเล่า

ไม่สนใจแล้ว กินให้อิ่มก่อนหลังจากนั้นค่อยว่ากัน

หงโต้วเอามือกอดอกแล้วหันไปหาโค่วเอ๋อร์ เอ่ย “โค่วเอ๋อร์ ข้าว่าเจ้าพวกโต๊ะนั้นกำลังคิดจะชิ่งหนี”

“ไม่กระมัง พวกเขาไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วรึ”

“ถ้าไม่เชื่อ เจ้าก็ลองดูสิ”

ครึ่งชั่วยามให้หลัง ชายฉกรรจ์ ชายมีหนวดและเด็กชายหน้าดำก็ดื่มกันเสียจนเมามาย

หลังจากดื่มกันจนไม่ได้สติแล้ว ชายมีหนวดก็ตบหัวตนเองทีหนึ่ง กดเสียงต่ำถาม “พี่ชาย เราลงมือเลยดีหรือไม่”

ดูเหมือนจะลืมบางสิ่งที่สำคัญไปแล้ว แต่ว่ามันคืออะไรกัน

ชายฉกรรจ์วางจอกสุรา “ลงมือเลย!”

ทันใดนั้นทั้งสองก็ลุกขึ้นแล้ววิ่งตรงไปทางสือเยี่ยน ไม่ลืมที่จะตะโกนออกมา “เสี่ยวเฮย ทำตามแผน!”

โค่วเอ๋อร์ยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นปิดปาก “สวรรค์ พวกเขาวางแผนมาแล้วจริงๆ”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท