ตอนที่ 136 รับไว้
สาวใช้ประจำตัวทั้งสี่ พวกซูเฟิงจากไปแล้วเมื่อสิบสองปีก่อน ซิ่วเยว่ผู้เป็นคนเดียวที่รอดชีวิตมาได้ก็เสียโฉม วันนี้ยังได้รู้ความจริงอีกว่าคู่หมั้นของนางได้จากโลกนี้ไปแล้ว หากจะกล่าวว่ามีชีวิตอยู่ก็ไม่ต่างไปจากตายนั้นคงจะไม่เกินจริงเลย
และนางก็เป็นประหนึ่งหนูที่ไม่อาจพบเจอแสงสว่างได้ อาศัยเพียงเนื้อหนังของคุณหนูลั่วเพื่อรอวันแก้แค้น
เมื่อรังพลิกกลับ ไข่ใดจะสมบูรณ์ เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด
สิ่งที่นางอยากรู้ตอนนี้ก็คือตัวตนของเสี่ยวชี
ในเมื่อคู่หมั้นของซิ่วเยว่บากหน้าไปขออาศัยอยู่กับโจรภูเขาเมื่อสิบสองปีก่อนโดยมีเสี่ยวชีที่เป็นทารกอยู่ในอ้อมแขนติดไปด้วย ตามการคาดเดา เสี่ยวชีย่อมต้องเกี่ยวข้องกับจวนเจิ้นหนานอ๋อง
เป็นไปได้หรือไม่ว่าน้องชายจะยังมีชีวิตอยู่
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หัวใจของลั่วเซิงก็สั่นสะท้าน
เบื้องหน้าของนางพลันปรากฏภาพของซือหนาน
บุรุษผู้ไม่สามารถซ่อนความสง่างามหาใดเปรียบได้ แม้ว่าจะถูกใส่กุญแจมือเอาไว้ เขาบอกนางว่าเป่าเอ๋อร์ถูกโยนจนตกกระแทกพื้นตายในคืนนองเลือดนั้น
เขายังอ้อนวอนร้องขอให้นางฆ่าเขา เพื่อให้เขาพ้นจากความทรมาน
นางยังจำกริชที่แทงทะลุหัวใจของเขาได้ เขากล่าวขอบคุณนางและยังอยากเรียกนางว่าท่านหญิง
นางไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ ว่าซือหนานจะโกหกนาง
เช่นนั้นตอนนี้ก็มีความเป็นไปได้สองข้อ
ข้อแรกซือหนานเข้าใจผิด ในปีนั้นผู้ที่ตกกระแทกพื้นจนตายหาใช่น้องชายของนางไม่ แต่น้องชายแท้ๆ ของนางถูกคู่หมั้นของซิ่วเยว่พาตัวหนีไป
และความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งก็คือ เสี่ยวชีเป็นลูกของใครบางคนในจวนอ๋อง ซึ่งบังเอิญถูกคู่หมั้นของซิ่วเยว่เจอตัวเข้าจึงรีบพาหนีไปด้วยความสงสาร
ลั่วเซิงค่อนข้างเอนเอียงไปทางข้อแรกมากกว่า
ในแง่ความสัมพันธ์ นางย่อมปรารถนาให้น้องชายมีชีวิตอยู่มากกว่าใครๆ เพื่อที่นางจะได้ไม่มีแต่เพียงความเกลียดชังต่อคนในใต้หล้านี้
ในแง่เหตุผล คู่หมั้นของซิ่วเยว่มีหน้าที่ดูแลทหารยามของจวนอ๋อง หากไม่มีภารกิจพิเศษ เขาย่อมเลือกที่จะต่อสู้จนตัวตายหลั่งเลือดหยดสุดท้าย แทนที่จะหลบหนีไปเพียงลำพัง
ลั่วเซิงยังคงจำคืนนั้นได้ ในตอนที่นางล้มลงหน้าจวน เมื่อช้อนตาขึ้นมองก็มีแต่สีแดงเข้มเต็มไปหมด
ร่างของทหารยามจวนอ๋องล้มลงทีละคน แม้ผู้คนที่อยู่ด้านหลังจะสูญเสียอาวุธไป แต่พวกเขาก็ยังพยายามดิ้นรนโต้ตอบกลับด้วยเลือดเนื้อและกำลังที่มี
ในหมู่ทหารของจวนอ๋อง ไร้ซึ่งคนขลาดเขลา
“ที่แท้ท่านลุงอวี๋ก็แต่งงานแล้วจริงๆ สินะ” ชายมีหนวดได้ยินคำของซิ่วเยว่ ใบหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นตกใจ “ทุกคนในค่ายต่างคิดกันว่าท่านลุงอวี๋พยายามเลี่ยงการตบแต่งภรรยา เคยมีหลายคนเข้าแถวเพื่อขอแต่งงานกับท่านลุงอวี๋ แต่เขากลับบอกว่าเขามีภรรยาแล้ว และชาตินี้จะไม่มีวันแต่งงานอีก…”
ในที่สุดซิ่วเยว่ก็ร้องไห้ออกมาอย่างไร้เสียง
ชายมีหนวดมองหันมองลั่วเซิงอย่างจนปัญญา
ลั่วเซิงไม่ได้เข้าไปรบกวนซิ่วเยว่
ในยามนี้ ซิ่วเยว่จำต้องร้องไห้สักยกหนึ่ง
และนางเองก็ต้องหาโอกาสที่เหมาะสม เพื่อให้ซิ่วเยว่ได้รู้ว่านางคือท่านหญิงชิงหยาง
นางอยากรู้จริงๆ ว่าเสี่ยวชี แท้จริงแล้วคือเป่าเอ๋อร์หรือไม่
บางทีอาจมีเพียงซิ่วเยว่เท่านั้นที่รู้ความจริงที่ถูกกลบฝังในคืนนั้นเมื่อสิบสองปีก่อน
นางต้องการให้ซิ่วเยว่ตอบคำถามของนาง
ลั่วเซิงผินกายกลับและเดินออกไปอย่างช้าๆ
ใครก็ไม่อยากร้องไห้อย่างขมขื่นหรอก แต่นางไม่มีสิทธิ์ที่จะร้องไห้ออกมา
อย่างน้อยก็ก่อนที่ความแค้นของตระกูลจะได้รับการสะสาง
เมื่อเห็นว่าลั่วเซิงไม่สนใจซิ่วเยว่ที่กำลังร้องไห้อยู่และกำลังจะเดินออกไปข้างนอก ชายมีหนวดก็ตะโกนออกมาด้วยความกังวล “ถ้าอย่างนั้น ข้าต้องทำอย่างไร”
ลั่วเซิงตอบกลับอย่างใจเย็น “เจ้าจะอยู่ร้องไห้ที่นี่ด้วยก็ได้ หรือจะตามข้าออกไปข้างนอกก็แล้วแต่เจ้า”
ชายมีหนวดรีบร้อนไล่ตามออกไป
อย่างน้อยเขาก็ยังมีความละอายอยู่บ้าง จะให้อยู่ร้องไห้ด้วยกันได้อย่างไรเล่า
เดินออกมาจากห้องแล้ว ลั่วเซิงก็เอ่ยถามอย่างสบายๆ “เจ้ามีนามว่าอะไร”
เมื่อสบกับดวงตาที่เฉยเมยและกระจ่างของเด็กสาว ฉับพลันชายมีหนวดก็รู้สึกเขินอายขึ้นมาบางส่วน
ไฉนจู่ๆ ถึงเอ่ยถามชื่อของเขาเล่า
เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาดูเด็กลงหลังจากโกนหนวดเคราออกไป
ครั้นนึกถึงการกระทำของเด็กสาวที่อยู่เบื้องหน้า ชายมีหนวดก็ล้มเลิกความคิดทันที ตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา “นามของข้าคือตู้เฟยเปียว”
“แล้วสหายของเจ้าเล่า”
“สหายหรือ” ฉับพลันชายมีหนวดก็นึกถึงชายฉกรรจ์ขึ้นมาได้ ใบหน้าพลันเปลี่ยนสี “พวกเจ้าทำอะไรพี่ใหญ่ลู่ของข้ากัน”
หงโต้วกลอกตาใส่ ตอบกลับเสียงขุ่น “พวกข้าจะเอาสหายของเจ้าเอาไปตุ๋นกินได้หรือไร หลับลึกเยี่ยงกับหมูตายอย่างไรอย่างนั้น”
ชายมีหนวดถอนใจด้วยความโล่งอก เอ่ย “พี่ใหญ่ลู่ มีนามว่าลู่หู่”
เขารู้สึกมาโดยตลอดว่าชื่อของพี่ลู่นั้นน่าประทับใจกว่าของตนจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่พี่ลู่จะเป็นผู้เก่งกาจที่สุดในสิบลี้แปดค่าย
และชายฉกรรจ์ซึ่งมีชื่อเป็นที่น่าอิจฉาของชายมีหนวดก็ตื่นขึ้นมาในที่สุด
“จิ่น องครักษ์จิ่นหลิน?” ชายฉกรรจ์ดวงตาเบิกกว้างหลังจากได้ยินคำขู่ของสือเยี่ยน “ปล้นหม้อเนื้อตุ๋น คงจะไม่มีทางส่งตัวไปให้องครักษ์จิ่นหลินหรอกกระมัง น้องชาย เรามาหารือกัน ส่งตัวไปที่ศาลาว่าการซุ่นเทียนไม่ได้รึ”
“หากต้องส่งไปเพียงหนึ่ง เช่นนั้นก็ส่งข้าไป ปล่อยน้องชายของข้าทั้งสอง! เรื่องปล้นนี้ก็เป็นข้าที่เป็นคนคิดแผนการ พวกเขาเพิ่งจะมาถึงเมืองหลวง ไม่ได้ทำเรื่องเลวร้ายอะไร…”
ไม่นานหลังจากนั้น สือเยี่ยนก็ออกมา กดเสียงต่ำเอ่ยกับลั่วเซิง “ทั้งสองกล่าวตรงกันขอรับ”
การซักถามแยกกัน โดยไม่เปิดโอกาสให้ได้ส่งสัญญาณ เป็นกลวิธีในการสอบปากคำเล็กๆ น้อยๆ
พอซิ่วเยว่จัดการกับอารมณ์ของตนเรียบร้อยก็เข้าไปพบเด็กชายหน้าดำ
อีกด้านหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องเอ่ยว่าจะจัดการชายมีหนวดและชายฉกรรจ์อย่างไร ด้วยคุณชายสามเซิ่งและคนอื่นๆ ล้วนให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างยิ่ง
“ให้อยู่นี่หรือ ไม่ได้ เจ้าตะกละสองคนนี้กินมากเกินไป จะอยู่ที่นี่ไม่ได้” คุณชายสามเซิ่งแสดงท่าทีต่อต้านอย่างหนักแน่น
สือเยี่ยนเองก็รีบตอบรับทันที “ข้าเองก็ไม่เห็นด้วย”
ชายมีหนวดกอดเด็กชายหน้าดำไว้แล้วเริ่มร้องไห้ “ข้าไม่อาจแยกจากเสี่ยวชีได้ ข้าสัญญากับท่านลุงอวี๋ที่จากไปไว้แล้ว ว่าจะดูแลเสี่ยวชีให้ดีที่สุด…”
เขาจะใช้ชีวิตอย่างไรในอนาคตหากต้องแยกจากเสี่ยวชี และยังไม่สามารถกินดื่มอาหารในหอสุรานี้ได้อีก
เด็กชายหน้าดำมองซิ่วเยว่อย่างน่าสงสาร “ท่านอา…”
หัวใจของซิ่วเยว่พลันอ่อนยวบ นางหันมองไปทางลั่วเซิง “คุณหนู ท่านให้เฟยเปียวอยู่ที่นี่ด้วยได้หรือไม่ ข้าจะเป็นคนจ่ายค่าอาหารของเขาเองเจ้าค่ะ…”
ความจริงลั่วเซิงได้ตัดสินใจให้ชายมีหนวดอยู่ที่นี่ไว้ก่อนแล้ว
ชายมีหนวดคือผู้ที่ใกล้ชิดเสี่ยวชีมากที่สุด และเนื่องจากเสี่ยวชีมีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับจวนอ๋อง นางย่อมไม่สบายใจที่จะปล่อยคนออกไป
แต่เบื้องหน้าไม่สามารถตกปากรับคำได้โดยง่าย
เห็นท่าทีลังเลของลั่วเซิง ชายมีหนวดก็รู้ว่าถึงเวลาตัดสินชะตากรรมของตนแล้ว เขารีบตบหน้าอกแล้วกล่าว “ข้าไม่ต้องการให้ท่านอาเลี้ยงดู ข้าสามารถล้างจานและสับฟืนได้”
หงโต้วกลอกตาเอ่ย “เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ เงินที่เจ้าต้องจ่ายให้อาหารมื้อเดียวของเจ้าสามารถเอาไปจ้างคนงานระยะยาวได้ตลอดชีวิตแล้ว”
ชายมีหนวดกะพริบตาปริบๆ นึกถึงราคาอาหารมื้อนั้นขึ้นมาทันที
หัวหมูย่างหนึ่งหัวราคาหนึ่งร้อยตำลึงเงิน บะหมี่หยางชุนยี่สิบชามราคาหนึ่งร้อยตำลึงเงิน…
ทันใดนั้นเขาก็คว้าแขนเสื้อของซิ่วเยว่แล้วเอ่ยเสียงเศร้า “ท่านอา หลานไร้ความสามารถ ยามนี้ต้องพึ่งพาให้ท่านช่วยเลี้ยงดูแล้ว ท่านวางใจเถอะ รอวันหน้าเมื่อหลานประสบความสำเร็จ จะต้องกตัญญูต่อท่านแน่นอน”
เด็กชายหน้าดำตกตะลึงอ้าปากค้าง
แม้การที่พี่ใหญ่จะเรียกท่านอาของเขาว่าท่านอาด้วยจะมิผิด หากแต่นี่มันจะปรับตัวเร็วเกินไปหน่อยกระมัง
ซิ่วเยว่จ้องไปยังมือคู่นั้นที่ดึงแขนเสื้อของนางเอาไว้ อดทนแล้วอดทนอีกที่จะไม่สะบัดออก รอการตัดสินใจของลั่วเซิงเงียบๆ
คิ้วเข้มของลั่วเซิงคลายออก เอ่ยเสียงเรียบ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เพื่อเห็นแก่หน้าอาซิ่วก็ให้เขาอยู่ที่นี่ต่อเถอะ”
“ขอบคุณคุณหนู!” ชายมีหนวดตื่นเต้นยิ่งจนเกิดเค้าภาพหลอนปรากฎเบื้องหน้า
หัวหมูย่างบินผ่านหน้าเขาไป จากนั้นก็เป็นเนื้อตุ๋นจานหนึ่ง ตามด้วยลิ้นเป็ดกระเทียมดำ…
อาหารอันโอชะจานแล้วจานเล่าที่เคยและไม่เคยลิ้มลองบินผ่านหน้าเขาไปมา เหลือทิ้งไว้เพียงรอยยิ้มโง่ๆ ที่ปรากฎออกมาบนใบหน้า
ต่อจากนี้จะกินเท่าไร ก็มีท่านอาคอยเป็นคนจัดการให้!
หลังจากตัดสินใจได้แล้วว่าจะให้ชายมีหนวดอยู่ที่นี่ ทุกสายตาก็จับจ้องมาทางชายฉกรรรจ์
หัวใจของชายฉกรรจ์พลันเต้นรัว ยื่นมือออกไปคว้าแขนเสื้ออีกข้างของซิ่วเยว่เอาไว้ “ท่านอา หลานก็จะกตัญญูต่อท่านในวันหน้าเช่นกัน…”