ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 141 ติดเบ็ด

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 141 ติดเบ็ด

คนในห้องโถงรับแขกต่างหันมองไปที่บุรุษชุดแดงที่นั่งอยู่ที่โต๊ะเพียงลำพัง

ไคหยางอ๋องก็เคยอยากได้อาหารอภินันทนาการ แต่ถูกหอสุราปฏิเสธอย่างนั้นหรือ

ดูไม่ออกเลยจริงๆ ว่าไคหยางอ๋องผู้นี้จะยอมแบกหน้าทำเช่นนี้เพื่อเรื่องกินได้

เว่ยหานบีบตะเกียบในมือ สีหน้าเรียบนิ่งเฉกเช่นเดิม

เขาดูออก วันนั้นที่ส่งมีดทำครัวสีทองให้เป็นของขวัญเหมือนจะไม่ได้รับความชื่นชอบจากคุณหนูลั่ว

เขาเองก็อยากจะลุกเดินออกไป ทว่ากระเพาะของเขาไม่เป็นใจเอาเสียเลย

เมื่อรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายเย็นยะเยือกรอบกายไคหยางอ๋อง ทุกคนก็เก็บสายตากลับไปในทันที

แม้ไคหยางอ๋องจะไร้ยางอาย แต่นั่นก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกเขานี่

พวกเขาไม่อาจทำให้ไคหยางอ๋องผู้นี้ขุ่นเคืองใจได้

และหลังจากที่จูหานซวงได้ยินหงโต้วกล่าวเช่นนี้ก็ปิดปากเงียบทันที

หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น นางยังสามารถพูดต่อความอีกสองสามประโยคได้ แต่นี่เอาคนอย่างไคหยางอ๋องมาพูด

เมื่อถึงตอนนั้น อาหารอันโอชะเต็มโต๊ะก็ไม่อาจทำให้คุณหนูจูพึงพอใจได้

นางคิดอย่างชิงชังว่า ‘ด้วยสถานะของไคหยางอ๋องอาหารโอชะใดไม่เคยลิ้มลอง เหตุใดต้องเอาเวลามานั่งโมโหเรื่องไม่เป็นเรื่องที่หอสุราของลั่วเซิงด้วย’

เขา ไม่รักเกียรติของตนสักหน่อยหรือ!

เมื่อคิดเช่นนี้ นางก็กวาดสายตามองคนผู้นั้นด้วยสายตาตัดพ้อ

เว่ยหานกลับไม่มองมาทางด้านนี้เลยแม้แต่น้อย กล่าวกับสือเยี่ยนอย่างไร้อารมณ์ว่า “เอาเนื้อตุ๋นมาอีกจาน”

จูหานซวง “…”

“ในเมื่อไม่ขายก็ช่างเถอะ” เมื่อเห็นว่าดึงดูดสายตาของผู้คนมากมายเช่นนี้ เว่ยเหวินก็กล่าวออกมาเบาๆ

ไม่มีความจำเป็นต้องตกเป็นขี้ปากคนเพียงเพราะอาหารแค่จานเดียว

แต่ฟักเขียวอำพัน นางต้องให้เสด็จแม่ลิ้มลองให้ได้

“อาหารจานนี้เหมือนอำพันยิ่งนัก ช่างน่าตื่นตาตื่นใจเสียจริง หอสุราไม่คิดจะเอามาเพิ่มในรายการอาหารหรือ”

หงโต้วกล่าว “วันนี้นำมาให้แขกทั้งสองท่านได้ลิ้มลอง หากอร่อย วันพรุ่งก็จะเพิ่มลงไปในรายการอาหารเจ้าค่ะ แต่ฟักเขียวอำพันมีวิธีการทำที่ซับซ้อน แม้จะเพิ่มลงในรายการอาหาร แต่ก็ไม่ได้มีทุกวันเจ้าค่ะ”

ทุกคนได้ยินเช่นนี้ดวงตาก็ลุกวาวขึ้น

กล่าวเช่นนี้ แสดงว่าวันพรุ่งก็จะได้กินฟักเขียวอำพันแล้วน่ะสิ

ทว่า ต่อมาความเศร้าใจก็บังเกิด

วันนี้กินมื้อนี้ไปแล้ว วันพรุ่งจะเอาเงินที่ไหนมากินอีกเล่า

แน่นอนว่าเว่ยเหวินไม่ได้กังวลเรื่องเงินๆ ทองๆ นางหันไปยิ้มพลางถามคุณหนูหวังทั้งสองว่า “ไม่ทราบว่ารสชาติเป็นเช่นไรบ้าง”

คุณหนูใหญ่หวังยังนับว่าสงวนท่าที กล่าวชื่นชมคำหนึ่งว่าอร่อย

คุณหนูรองหวังพยักหน้าไม่หยุดพลางกล่าวว่า “ละลายในปาก อร่อยยิ่งนัก ข้ากินเข้าไปไม่รู้เลยว่ามันทำมาจากฟักเขียว……”

เมื่อได้ยินคุณหนูรองหวังบรรยายถึงรสชาติของฟักเขียวอำพัน ทุกคนถึงกับแอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่แล้วคลำดูเงินในถุงเงินของตัวเอง

อดทนเอาไว้ เราไม่มีเงิน!

ดูเหมือนว่าหงโต้วจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ นางกล่าวเสียงดังขึ้นว่า “ใช่แล้ว วันพรุ่งหอสุราของเราจะเปิดตัวรายการอาหารใหม่ นั่นก็คือขาหมูตุ๋น ทุกท่านคงจะรู้จักขาหมูตุ๋นกระมัง?”

ทุกคนต่างพากันพยักหน้าหงึกหงัก

ขาหมูน่ะรู้จัก แต่ขาหมูตุ๋นมันทำเช่นไรกันล่ะ

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เพียงแค่ได้ยินชื่อก็รู้สึกว่ามันอร่อยแล้ว

หงโต้วยิ้มกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “ขาหมูตุ๋นเป็นอาหารจานใหญ่ ไม่ได้มีขายทุกวัน ทุกท่านเคยได้ยินหัวหมูย่างหรือไม่?”

ทุกคนต่างพากันพยักหน้าอีกครั้ง

เคยได้ยินบ่อยอยู่แล้ว

เสนาบดีจ้าวเสียใจไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่ได้กินเพียงครั้งเดียวในวันแรกที่เปิดหอสุรา พวกเขาได้ยินว่าคนผู้นั้นหงุดหงิดมากเชียว

หากได้กินหัวหมูย่างแบบเสนาบดีจ้าวสักครั้ง เงินหนึ่งร้อยตำลึงนับเป็นสิ่งใดกัน

ก็แค่เงินไม่ใช่หรอกหรือ ทองพันชั่งเสียไปยังหากลับมาได้

หงโต้วข่มกลั้นความปวดใจแล้วกล่าวออกมาว่า “ฉะนั้นทุกท่านต้องคว้าโอกาสไว้ให้ได้ อย่าได้พลาดเด็ดขาดเชียวนะเจ้าคะ”

อันที่จริงแล้วนางไม่อยากให้เจ้าพวกตะกละเหล่านี้ได้โอกาสนั้นเลยแม้แต่น้อย ทางที่ดีวันพรุ่งไม่ต้องมีแขกมา อาหารอันโอชะเหล่านั้นจะได้เก็บเอาไว้ให้พวกนางกินเอง

ทุกคนพยักหน้าอย่างแรง

พลาดหัวหมูย่างไปคราหนึ่งแล้วจะพลาดขาหมูตุ๋นไปอีกไม่ได้เด็ดขาด วันพรุ่งจะเป็นตายอย่างไรก็ต้องมากินให้ได้!

เงินน่ะหรือ อย่างไรเสียก็ลงบัญชีเอาไว้ได้ กินก่อนแล้วค่อยว่ากัน

ส่วนท่านหญิงเว่ยเหวินเองก็ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าวันพรุ่งต้องมาให้ได้

เสด็จพ่อชอบกินขาหมูมาก

“ท่านหญิงทานเสร็จหรือยัง” หลังจากความวุ่นวายที่เกิดขึ้นจากฟักเขียวอำพันผ่านพ้นไป จูหานซวงก็หันไปถามเว่ยหวิน

เว่ยเหวินพยักหน้า

“คิดเงินเถอะ”

ได้ยินโค่วเอ๋อร์แจ้งค่าอาหาร จูหานซวงก็ใจสั่นขึ้นมาทันที นางพยายามทำจิตใจให้สงบและกล่าวว่า “ลงบัญชีไว้ในชื่อจวนกั๋วกง”

เมื่อโค่วเอ๋อร์คิดเงินเสร็จ เว่ยเหวินจึงกล่าวว่า “เอาลิ้นเป็ดกระเทียมดำใส่ห่อให้ข้าชุดหนึ่งด้วย”

ลิ้นเป็ดมีรสเปรี้ยวหวาน เผ็ดกลางๆ เสด็จแม่ต้องชอบเป็นแน่

โค่วเอ๋อร์เม้มริมฝีปากยิ้มพลางกล่าวว่า “ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ ทางหอสุราของเราไม่มีบริการใส่ห่อกลับเจ้าค่ะ”

“ใส่ห่อกลับก็ไม่ได้หรือ” เว่ยเหวินเลิกคิ้วเล็กน้อยพลางถาม เหลือบมองหญิงสาวในชุดธรรมดาที่ตู้คิดเงิน

“ใช่เจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้ไคหยางอ๋องมีภารกิจ มาไม่ได้ ต้องการให้ทางหอสุราไปส่งให้ที่จวนอ๋อง แต่หอสุราต้องทำตามกฎจึงทำให้ไม่ได้เจ้าค่ะ” โค่วเอ๋อร์กล่าวอย่างอ่อนโยน

เว่ยหานที่กำลังกินเนื้อตุ๋นอยู่ “…”

เว่ยเหวินหันไปมองเว่ยหานด้วยสีหน้าซับซ้อน

อยู่ต่อหน้าองค์รัชทายาทเสด็จอาเล็กสามารถวางมาดผู้อาวุโสได้ เหตุใดถึงยอมให้หอสุราแห่งนี้ทำให้อับอายขายหน้าด้วยนะ

ทว่า ไม่ว่าจะไม่พอใจมากเพียงใดก็ตาม มีไคหยางอ๋องเป็นตัวอย่างเช่นนี้แล้ว เว่ยเหวินก็ไม่ดันทุรังแต่อย่างใด

หากพูดถึงสถานะแล้ว สถานะของเสด็จพ่อกับเสด็จอาเล็กนั้นไม่ต่างกัน ในเมื่อมีหอสุราไม่ขายให้กับเสด็จอาเล็กก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแสด็จพ่อเลย

เมื่อถูกปฏิเสธก็ยังเป็นเรื่องน่าอายของจวนผิงหนานอ๋อง

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าขอจองโต๊ะสำหรับวันพรุ่งไว้หนึ่งโต๊ะ เรื่องนี้คงจะได้กระมัง”

โค่วเอ๋อร์ยิ้มพลางกล่าว “ต้องขออภัยด้วยจริงๆ เจ้าค่ะ หอสุราของเราไม่รับจองล่วงหน้าเจ้าค่ะ”

กฎข้อนี้ก็เป็นคุณหนูที่ตั้งขึ้นมา แม้จะดูโหดร้ายไปสักหน่อย แต่พวกเขาก็สนับสนุนเป็นอย่างมาก

คนเหล่านี้โกรธจนไม่ยอมมาก็ดีน่ะสิ

เว่ยเหวินไม่อาจทนได้อีกแล้ว นางสะบัดแขนเสื้อเดินไปตรงหน้าลั่วเซิง

“คุณหนูลั่ว นี่เป็นกฎหอสุราจริงๆ หรือ”

ลั่วเซิงยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “เป็นกฎของหอสุราที่ตั้งเอาไว้ก่อนแล้ว หรือท่านหญิงคิดว่าข้าตั้งใจกลั่นแกล้งท่านหญิงอย่างนั้นหรือ”

เว่ยหานได้ยินคำพูดนี้ก็หันขวับไปมองนางทันที

เขาค่อนข้างมีความรู้สึกไวต่อคำว่า ‘กลั่นแกล้ง’ นี้

ดูเหมือนว่าลั่วเซิงจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่างจึงหันไปสบตากับเขา

ในขณะนั้นเว่ยหานใจกระตุก เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้น

เด็กสาวมองมาและยิ้มอย่างมีเสน่ห์ นางมองเว่ยเหวินพลางพยักเพยิดกล่าวว่า “หากท่านหญิงไม่เชื่อก็ลองไปถามท่านอ๋องดูได้ ดูว่าข้าแกล้งท่านหญิงหรือไม่”

เว่ยหานยกจอกสุราขึ้นดื่ม

สุรารสแรงไหลผ่านลำคอราวกับไฟแผดเผา

อย่าได้ถามเขา เพราะเขาถูกแกล้งมาตลอดอยู่แล้ว

แน่นอนว่าเว่ยเหวินเองก็ไม่กล้าเข้าไปถาม

เสด็จอาเล็กใช่ว่าจะอารมณ์ดี นั่นก็เป็นเพราะว่าลั่วเซิงจับจุดอ่อนเรื่องการกินของเสด็จอาเล็กไว้ได้ ถึงได้อวดดีหยิ่งยโสเช่นนี้

ขืนนางเข้าไปถามก็โง่น่ะสิ

“คุณหนูลั่วกล่าวถึงเพียงนี้ ข้าจะไม่เชื่อได้อย่างไรกัน” เว่ยเหวินเก็บความโกรธเอาไว้แล้วยิ้มออกมา หันไปกล่าวกับจูหานซวงว่า “หานซวง เราไปกันเถอะ”

จูหานซวงลุกขึ้นยืน ในใจรู้สึกไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก

เขายังไม่ไปเลย

ภายใต้สายตาที่จ้องมองมาเช่นนี้ไม่อาจหาข้ออ้างยืดเวลาออกไปได้ ทำได้เพียงยอมตามน้ำไปเท่านั้น

ลั่วเซิงมองส่งทั้งสองจนหายลับไปจากประตูหอสุรา ก่อนจะละสายตากลับมาอย่างเกียจคร้าน

จองล่วงหน้า ไม่อาจทำได้จริงๆ

เป้าหมายของนางคือผิงหนานอ๋อง หากจวนอ๋องผิงหนานจองล่วงหน้าเอาไว้ก่อนวันที่นางจะลงมือ นางอาจจะถูกสงสัยได้

แม้จะมีความเป็นไปได้น้อยที่จะถูกสงสัยเพราะสถานะบุตรสาวของแม่ทัพใหญ่ แต่นางก็ไม่อยากเสี่ยง

นางไม่จำเป็นต้องรับจองล่วงหน้าเพียงแค่อยากแน่ใจว่าผิงหนานอ๋องจะมาหรือไม่มา

อาหารอันโอชะและสุราชั้นดี เช่นนั้นก็ไม่ต้องกังวลว่าอีกฝ่ายจะไม่มาตามแผนที่นางวางไว้

แขกเหรื่อในหอสุราค่อยๆ ทยอยกันกลับไป เหลือเพียงแค่เว่ยหานเพียงคนเดียวเท่านั้น

สือเยี่ยนยิ้มพลางกล่าว “นายท่าน คิดเงินเลยหรือไม่ขอรับ?”

“คิดเงิน”

ในที่สุดรอจนแขกเหรื่อคนอื่นกลับไปหมดเขาก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปตรงหน้าลั่วเซิง ยื่นของที่ห่อด้วยผ้าสีฟ้าให้กับนาง

ลั่วเซิงเหลือบมอง เม้มปากเล็กน้อย

หรือว่าจะมอบมีดทำครัวให้นางอีก?

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท