บทที่ 83 สวรรค์! มีคนเป็นลมจากควันจริง ๆ
บทที่ 83 สวรรค์! มีคนเป็นลมจากควันจริง ๆ
จนกระทั่งทุกคนที่อยู่รอบ ๆ เห็นว่าอวี้เจินถูกอุ้มมา พวกเขาจึงรู้สึกว่าลู่เป่ยเหยียนไม่ได้ทำตัวเกินจริง
อย่างน้อยเขาก็บินขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง แต่อวี้เจินต้องใช้ศิษย์น้องจากยอดเขาของนางถึงสองคนเพื่อแบกขึ้นมาที่นี่
“ศิษย์พี่หญิง ท่านเสียสติไปแล้วหรือเจ้าคะ!” เมื่ออวี้รุ่ยรู้ว่าศิษย์พี่หญิงของนางดั้นด้นขึ้นมาบนยอดเขาโอสถทั้งที่เจ็บปางตายเช่นนี้ ก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายต้องเสียสติไปแล้วเป็นแน่
แม้ว่าอวี้รุ่ยจะพูดเช่นนี้ ทว่ากลับรีบวางชามเครื่องเทศในมือลง แล้วหยิบโอสถฟื้นฟูออกมาจากถุงเก็บของอย่างเร่งรีบ
“เก็บของของเจ้าไว้เสียเถิด เจ้าคิดว่ายอดเขาโอสถขาดแคลนโอสถหรืออย่างไรกัน?”
หลิงเยว่ขอให้ผู้ฝึกกายาสองคนที่แบกอวี้เจินมาวางร่างคนป่วยลงบนเตียงเสียก่อน แต่ฉากนี้ทำให้ศิษย์ยอดเขาหลอมศาสตราทั้งสองคนที่มาถึงก่อนมองไปยังศิษย์พี่จากยอดเขาโอสถที่ถูกจัดท่าให้นอนบนเก้าอี้แทน พวกเขาหันมองหน้ากันโดยไม่เอ่ยอันใด
โชคดีที่ทั้งสองคนอยู่ในสภาพร่อแร่ไม่ต่างกัน ไม่เช่นนั้นคงได้มีปากเสียงกันเป็นแน่
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราขอฝากศิษย์พี่ด้วย พวกเรา… ขอตัวก่อน” ศิษย์ทั้งสี่พูดพร้อมกัน แต่ในขณะที่พวกเขาเดินไปสายตาก็พลันจับจ้องไปที่หมูดำดินย่าง
ในใจพลันจินตนาการไปว่า นี่ขนาดไม่ทันย่างยังหอมถึงเพียงนี้แล้ว… ตอนนี้เมื่อย่างไฟจนกลิ่นโชยฟุ้งยิ่งหอมจนทำให้น้ำลายสอ พวกเขาเริ่มเข้าใจอารมณ์ของศิษย์พี่แล้ว… ไม่ว่าใครก็ต้องเป็นเช่นเดียวกันใช่หรือไม่ เมื่อได้เจอกับกลิ่นหอมเช่นนี้
“พวกเจ้าอย่าเพิ่งไป คอยจับตาดูพวกเขาไว้เถิด แล้วไว้ค่อยมากินข้าวด้วยกันทีหลังก็ย่อมได้” หลิงเยว่จะพลาดโอกาสในการส่งเสริมอาหารวิญญาณให้แพร่หลายได้อย่างไร ไม่ต้องพูดถึงว่าหมูดำดินตัวใหญ่ถึงเพียงนี้ ต่อให้ทุกคนที่นางรู้จักรวมถึงอาจารย์จะมาแบ่งส่วนออกไปกินก็ตาม มันก็คงจะยังเหลืออยู่อีกเยอะมากอยู่ดี
ประมาณการอย่างไรก็ไม่น่าจะกินได้หมด
“มันจะดีหรือ…”
แม้ว่าผู้ฝึกกายาทั้งสองจะพูดเช่นนี้ ทว่าขาพวกเขาก็ก้าวถอยกลับมาอย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยศิษย์จากยอดเขาหลอมศาสตราที่ก้าวตามมาด้วยเช่นกัน ดังนั้นจำนวนผู้ร่วมมื้ออาหารจึงเพิ่มขึ้นอีกสี่คน
“ศิษย์น้องหลิง เจ้ากำลังทำอาหารอะไรหรือ? เพราะทันทีที่พวกเราก้าวขึ้นมาบนยอดเขา ก็ได้กลิ่นหอมมากแล้ว หนำซ้ำยังมีนักกลั่นโอสถหลายคนยืนด้อม ๆ มอง ๆ อยู่ที่ประตูทางเข้า!”
“ศิษย์น้องหลิง อาหารวิญญาณขายหมดแล้ว ยังมีอีกหลายคนที่มาถามหา แต่น่าเสียดายที่พวกเขาจากไปเสียแล้ว”
“ใช่ นี่มันขายดีเสียยิ่งกว่าโอสถมากนัก”
ซือจูและอีกสามคนพูดจ้อไม่หยุด ก่อนจะวิ่งเข้ามาในห้องอย่างตื่นเต้น
ทันใดนั้น กลิ่นหอมฉุนก็เตะจมูกของพวกนาง และแทบจะทันทีนั้นซือจูก็กลอกตาก่อนจะเป็นลมไป
หลิงเยว่ “…”
นี่เจ้า… ไม่ได้แกล้งทำอยู่ใช่หรือไม่?
“ปราณของหมูดำดินนั้นแข็งแกร่งเกินไป นางที่ไม่ได้เตรียมตัวจึงหมดสติไป” โม่จวินเจ๋ออธิบายให้หลิงเยว่ที่สับสนฟัง
ซือจูอยู่ที่ขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นห้า แต่ความแข็งแกร่งของหมูดำดินตัวนี้ที่เอามาย่างนั้นใกล้จะถึงขอบเขตสร้างรากฐาน เป็นเรื่องปกติที่ซือจูจะหมดสติกะทันหัน
มู่มู่และเกาเยี่ยอยู่ที่ขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นเจ็ดและแปดแล้ว ดังนั้นผลกระทบต่อพวกเขาจึงไม่มากนัก
“แล้วเราควรทำอย่างไร ข้าควรให้นางกินโอสถชนิดใดดีเล่า?” หลิงเยว่พูดแล้วหยิบขวดโอสถออกมา
“ไม่ต้องกังวล” เกาเยี่ยผลักขวดโอสถกลับ “นางอาจจะขอบคุณเจ้าเสียด้วยซ้ำเมื่อนางตื่นขึ้นมา”
ซือจูฝึกฝนแก่นปราณธาตุดินเป็นหลัก ซึ่งเมื่อครู่นี้นางเพียงสูดปราณธาตุดินของหมูดำดินเข้าไปเท่านั้น และนั่นอาจจะทำให้อีกฝ่ายสามารถบรรลุไปสู่ขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นที่หกได้หลังจากที่ตื่นขึ้นมา
หลังจากได้ยินคำอธิบายแล้ว หลิงเยว่ก็รู้สึกโล่งใจ ก่อนพูดอย่างตื่นเต้นว่า “ถ้าเพียงแค่ดมกลิ่นก็สามารถบรรลุระดับได้ มันก็น่าจะเป็นไปได้ที่จะบรรลุระดับอีกครั้งโดยการกินมันใช่หรือไม่?”
ทันใดนั้นนางก็จำได้ว่าก่อนหน้านี้ที่ย่างแกะวิญญาณเขาเดียว และหลังจากกินไปหลายชิ้น หลิงเยว่ก็บรรลุระดับจากผู้ที่เพิ่งเอาปราณเข้าร่าง กลายเป็นขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นสามทันที
ไม่รู้ว่าการบรรลุระดับโดยการกินเช่นนั้น จะเกิดขึ้นกับหลิงเยว่ได้อีกหรือไม่ เพราะนอกจากระดับการบำเพ็ญของนางจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นในระหว่างการทำอาหารแล้ว ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากนักหลังจากที่กินอาหารวิญญาณเหล่านั้นเข้าไป
หรือว่ามันจะเห็นผลมากที่สุดเฉพาะตอนลองกินครั้งแรกใช่หรือไม่?
หลิงเยว่คิดไม่ออก ได้แต่หวังว่าหลังจากกินหมูดำดินย่างนี้ ระดับการบำเพ็ญของนางจะเพิ่มขึ้นอีก
“อาจจะเป็นเช่นนั้นกระมัง?”
มู่มู่ก็มีความสุขกับศิษย์น้องหญิงของเขาเช่นกัน และตั้งตารอคอยหมูดำดินฝีมือหลิงเยว่
เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ หนังของหมูดำดินที่ย่างอยู่ก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองมันเงา ไขมันใต้ชั้นผิวหยดลงสู่เปลวไฟเบื้องล่าง เกิดควันสีขาวลอยโชยส่งกลิ่นหอมเย้ายวนผู้เฝ้ารอ ดวงตาของศิษย์สี่คนที่รับผิดชอบในการดูแลคนป่วยต่างแข็งค้าง ก่อนจะค่อย ๆ กลายเป็นเหม่อราวกับคนสติล่องลอย อวี้รุ่ยไม่ได้ดีไปกว่ากัน ด้วยนางไม่สามารถควบคุมน้ำลายของตัวเองได้อีกต่อไป
“ไม่นะ ข้ากำลังจะหมดสติ!”
ฉีซิวซีซึ่งรับหน้าที่พลิกย่างหมูอยู่ตลอดด้วยมือข้างหนึ่ง เริ่มจับหน้าผากของเขาด้วยมืออีกข้าง ผลกระทบของกลิ่นหอมและปราณธาตุดินที่แฝงอยู่ในตัวหมูดำดินนั้น ส่งผลกระทบต่อฉีซิวซีรุนแรงที่สุด เพราะเขาอยู่ใกล้กับมันมาโดยตลอด เขาไม่รู้ว่าหลิงเยว่ใช้สมุนไพรวิญญาณชนิดใดในการหมัก ทว่าตอนนี้ฉีซิวซีกลับรู้สึกเวียนหัวและหิวมากเช่นเดียวกัน จนเกือบจะเสียการควบคุมไม่ให้ตัวเองกระโจนเข้าไปกินอาหารตรงหน้าเสียแล้ว
สือเชี่ยนก็ไม่ต่างกันนัก นางมีสีหน้าราวกับคนบ้าคลั่ง สายตาจับจ้องไปที่หมูดำดินอย่างไม่วางตา
จากนั้นหลายคนก็ทิ้งตัว พลันนั่งขัดสมาธิอยู่รอบ ๆ หมูดำดิน
หลิงเยว่และโม่จวินเจ๋อ “…”
เป็นไปได้หรือไม่ที่วิหคเนตรม่วงซึ่งเอามาย่างครั้งล่าสุดถูกย่างอยู่ข้างนอก ดังนั้นปราณและกลิ่นหอมจึงไม่หนาแน่นเหมือนอย่างวันนี้?
“สูตรโอสถกลั่นลมปราณ?”
หลงหว่านโหรวยืนอยู่ที่ประตู ขมวดคิ้วครุ่นคิด พวกมันมีผลในการรวบรวมปราณ แต่อาหารตรงหน้านี้มีคุณสมบัติมากกว่านั้น โดยศิษย์น้องห้าได้เพิ่มคุณลักษณะพิเศษให้กับสมุนไพรวิญญาณอีกแล้วใช่หรือไม่?
ไม่เพียงปราณดินที่หนาแน่นเต็มอากาศในห้องเท่านั้น แต่ปราณอีกสี่ธาตุก็ยังลอยคว้างในอากาศเป็นจำนวนมากอีกด้วย คงเป็นผลมาจากสมุนไพรวิญญาณที่ถูกทำให้กลายพันธุ์ใช่หรือไม่?
ศิษย์น้องห้าไปเลียนแบบวิธีการเช่นนี้มาจากใครกัน?
หลงหว่านโหรวคิดทบทวนความทรงจำ แต่กลับไม่พบว่ามีผู้บำเพ็ญที่มีพรสวรรค์คนใดทำเช่นเดียวกับหลิงเยว่ มันน่าแปลกนัก…
เมื่อคิดไม่ออก จึงตัดใจที่จะไม่คิดถึงเรื่องนี้ต่อ ท้ายที่สุดแล้วหลิงเยว่ก็เป็นศิษย์น้องห้าของนาง
ร่างคนป่วยทั้งห้าที่อยู่ใกล้ ๆ ก็ถูก ‘รมควัน’ ด้วยกลิ่นหอม สีหน้าเจ็บปวดในตอนแรกเปลี่ยนเป็นแปลกไป ขนตาของพวกเขาสั่นเทิ้ม ขณะเดียวกันก็พยายามลืมตาแต่ก็ไม่สำเร็จ ติงหลิวหลิ่วพยายามดิ้นรน ก่อนจะทำได้เพียงน้ำลายไหลเท่านั้น…
หลังจากการย่างด้วยไฟวิญญาณสี่ชั่วยาม หมูขนาดใหญ่ในตอนแรกก็หดตัวลง เกิดผิวหนังด้านนอกเป็นมันสีแดงทองโดยที่เนื้อมีสีน้ำตาล
“พร้อมกินแล้วหรือยังเจ้าคะ?”
สือเชี่ยนแทบจะกลืนน้ำลายในปากของตัวเองได้ไม่หมด
หลิงเยว่ปูผักใบเขียวไว้บนโต๊ะเตรียมไว้แล้ว “ถ้าอย่างนั้น เอาหมูดำดินย่างมาวางไว้บนนี้เถิด เพื่อจะได้หั่นง่ายขึ้นเจ้าค่ะ”
หมูย่างสีแดงทองตัวใหญ่ถูกเอามาวางบนผักใบเขียวที่ปูบนโต๊ะ อาหารโอชะนี้ส่งกลิ่นหอมที่ทำให้ใครต่อใครต้องเคลิบเคลิ้ม
นี่เป็นครั้งแรกที่โม่จวินเจ๋อรู้สึกว่าหมูดำดินที่น่าเกลียดอย่างยิ่งนั้นกลับสวยงามและน่ากินมากในเวลาเดียวกัน
“ท่านหั่นมันเถิดเจ้าค่ะ ท่านเก่งในการใช้กระบี่ที่สุด” หลิงเยว่ยื่นมีดยาวให้ชายหนุ่ม
“ข้าจะทำเอง ๆ เราจะรบกวนอาจารย์อาโม่ได้อย่างไร” ฉีซิวซีซึ่งไม่เวียนหัวอีกต่อไป คว้ามีดยาวแล้วชี้ไปที่หมูย่าง
ทันทีที่ลงมีดแรกไปเสียง ‘กรอบ’ ก็ราวกับกระทบเข้าไปในใจของทุกคน หนังหมูกรอบยิ่ง หากเอาใส่ปากคงจะอร่อยมากใช่หรือไม่?
ลมหายใจของฉีซิวซีถี่รัวขึ้น และหมูย่างก็ถูกแบ่งออกเป็นชิ้น ๆ อย่างรวดเร็ว
“พวกท่านกินกันไปก่อนเลยนะเจ้าคะ”
หลิงเยว่แบกขาหมูขึ้นบ่า แล้ววิ่งออกไปจากประตู ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องถัดไป
กลิ่นเนื้อที่หอมเป็นพิเศษกระทบปลายจมูกของผู่ตาน จนเขาเกือบจะใช้แรงทั้งหมดในการลืมตา
ด้านหน้าเขามีขาหมูขนาดใหญ่สีแดงทองแกว่งไปมาต่อหน้าต่อตา และไม่รู้เช่นเดียวกันว่าตัวเขาเอาเรี่ยวแรงจากที่ใดมาคว้าขาหมู ก่อนจะกัดเข้าไปคำใหญ่
กลิ่นอันเข้มข้นในปากทำให้ผู่ตานชื่นใจ หนังชั้นนอกกรอบ เมื่อเคี้ยวในปากก็เต็มไปด้วยไขมันและกลิ่นหอมของสมุนไพรวิญญาณ เนื้อในนุ่มชุ่มฉ่ำ เพียงกัดคำเดียวก็ทำให้ผู่ตานรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเกิดใหม่
ผู่ตานไม่อ่อนแออีกต่อไปแล้ว จู่ ๆ เขาก็ลุกขึ้นจากเตียงด้วยความอยากอาหารอีกครั้ง… ทว่าร่างในชุดเขียวกลับวิ่งออกไปจากห้องโดยแบกขาหมูที่สูงกว่าตัวนางไว้
หลิงเยว่จ้องขาหมูที่ถูกกัดไปแล้วอย่างไม่พอใจ เดิมทีนางตั้งใจจะใช้กลิ่นของมันเพื่อล่อให้ศิษย์พี่สี่ตื่นเท่านั้น แต่อีกฝ่ายเร็วเกินไป จึงกัดขาหมูเสียก่อนที่นางจะดึงกลับได้ทัน!
ขาหมูอันใหญ่นี้แต่เดิมเป็นของนาง ทว่าตอนนี้มันถูกกินและสกปรกจากน้ำลายศิษย์พี่สี่ไปแล้ว หลิงเยว่จึงไม่สามารถกินมันได้อีกต่อไป!