ตอนที่ 397 หล่อนโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ควรตอบโต้ด้วยเหตุและผล
ตอนที่ 397 หล่อนโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ควรตอบโต้ด้วยเหตุและผล
หลินเซี่ยเหลือบมองลูกค้าที่อยู่ข้าง ๆ แล้วรีบปลอบโยนหล่อน “เอาล่ะ อย่าเพิ่งร้องไห้ไปเลย มันต้องมีทางออกสิ บางทีพ่อเธออาจจะยอมใจอ่อนภายในวันสองวันนี้ก็ได้”
ใบหน้าของเจียงอวี่เฟยซีดเซียว แทบไม่ได้อยากฝากความหวังใด ๆ ไว้กับผู้เป็นพ่อ “คนหัวโบราณคร่ำครึแบบเขาจะยอมเข้าใจง่าย ๆ ได้ยังไง? นอกเสียจากฉันจะประท้วงโดยการทรมานตัวเอง”
“เธอเข้าไปล้างหน้าก่อน อย่าลืมใช้ผ้าเช็ดตัวชุบน้ำประคบที่เปลือกตาเพื่อลดอาการบวมอย่างเร่งด่วนด้วย ฉันยังมีลูกค้าที่ต้องทำผมให้อีกคน เสร็จแล้วฉันค่อยพาเธอออกไปหาอะไรกิน แล้วค่อย ๆ คิดหาทางออกร่วมกัน”
หลินเซี่ยเฝ้าดูเจียงอวี่เฟยสู้มาจนสุดทาง แม้ว่าการแข่งขันจะดำเนินไปอย่างราบรื่น แต่อีกฝ่ายก็งัดความพยายามทั้งหมดที่ตัวเองมีอยู่ออกมาจนสุดความสามารถ
พวกเธอทั้งสองต่างก็อยากแจ้งเกิดด้านวิชาชีพจากรายการประกวดครั้งนี้ น่าเสียดายที่ต้องยอมแพ้กลางคัน
ทันทีที่หลินเซี่ยพูดถึงเรื่องกิน ท้องของเจียงอวี่เฟยก็ส่งเสียงร้องโครกคราก หล่อนไม่ได้กินอะไรรองท้องเลยตั้งแต่เมื่อคืน เหตุผลหลักเป็นเพราะไม่มีความอยากอาหาร ไม่รู้สึกหิว และไม่อยากดื่มน้ำด้วยซ้ำ
เมื่อคืนนี้หล่อนถึงกับคิดว่าจะตอบโต้ด้วยมาตรการไร้เหตุผลอย่างการอดอาหารประท้วงด้วยซ้ำ
พ่อหล่อนใจแข็งได้ไม่นานนัก ตราบใดที่หล่อนทำให้เขากลัวโดยไม่กินไม่ดื่มเป็นเวลาสองวันเต็ม เขาจะยอมประนีประนอมให้หล่อนทุกสิ่ง
แต่เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกครั้ง หล่อนกลับไม่ต้องการข่มขู่พ่อด้วยพฤติกรรมเด็ก ๆ แบบนั้นอีกต่อไป เพราะจะทำให้เขายิ่งเป็นกังวลและลำบากใจ
หล่อนเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยแล้ว ควรใช้วิธีการให้สมกับเป็นผู้ใหญ่เพื่อจัดการกับปัญหาที่ตัวเองเผชิญ
แต่ก่อนเมื่อหล่อนเจอปัญหาและติดอยู่ในทางตัน แค่ร้องไห้ พ่อก็แทบจะยอมหล่อนทุกอย่าง แต่ตอนนี้หล่อนโตเป็นผู้ใหญ่ บางทีควรคำนึงถึงความรู้สึกของพ่อด้วย และเรียนรู้ที่จะประนีประนอมหรือยอมแพ้
เมื่อพิจารณาอย่างรอบคอบ ส่วนตัวหล่อนรู้สึกโชคดีมากที่ผลักดันตัวเองมาถึงจุดนี้ได้ ความสำเร็จและผลกำไรที่ได้รับนับว่าเกินความคาดหมายในตอนแรกด้วยซ้ำ
เพราะฉะนั้น แม้ว่าตอนนี้หล่อนจะตัดสินใจล้มเลิกกลางคัน หล่อนก็ไม่เสียใจ อย่างน้อยก็เคยได้ขึ้นไปแสดงความเป็นตัวเองบนเวทีอย่างเฉิดฉาย ถือว่าได้พิสูจน์ตัวเองแล้ว
แต่ในขณะเดียวกัน ตั้งแต่หล่อนเข้าร่วมประกวด ทั้งหมดก็ไม่ได้เป็นเรื่องของหล่อนเพียงคนเดียวอีกต่อไป
คณะครูและเพื่อนร่วมชั้นเรียนต่างก็ส่งกำลังใจให้หล่อนอย่างล้นหลาม จากตอนแรกที่หล่อนสมัครเข้าประกวดอย่างลับ ๆ นอกจากนี้เพื่อนร่วมสถาบันคนอื่น ๆ ที่สมัครพร้อมกันกับหล่อนในรอบแรกก็ประกวดกันตามมีตามเกิดแบบคลำหินข้ามธาร พวกเขาประหม่าเกินไป ทำให้ไม่ได้รับความสนใจมากนัก
กระทั่งมาถึงรอบรองชนะเลิศ ราชินีภาพยนตร์แห่งฮ่องกงเซี่ยอวี่ได้เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการ ทำให้มีการรายงานข่าวผ่านทางโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ และสื่อต่าง ๆ เพิ่มขึ้นอย่างมาก ทางมหาวิทยาลัยทราบเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของหล่อนในการประกวดนางแบบ จึงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อพูดคุยและชมเชยหล่อน
หล่อนเป็นนักเรียนคลาสเต้นรำ มีพื้นฐานที่ดีในทุกด้าน หลังจากที่อาจารย์ได้ดูการแสดงเมื่อคืนนี้ก็บอกว่า หลังจากเห็นว่ากระแสตอบรับหลังออกอากาศดีมาก ทางผู้บริหารของวิทยาลัยก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง หวังว่าหล่อนจะยังคงพยายามต่อไป ก้าวไปสู่ตำแหน่งผู้ชนะหรือรองชนะเลิศในรอบชิง นำชื่อเสียงมาสู่มหาวิทยาลัย
ส่วนหลินเซี่ยก็ร่วมหัวจมท้ายกับหล่อนมาเป็นเวลานาน ถ้าจู่ ๆ หล่อนยอมแพ้ หลินเซี่ยจะต้องผิดหวังมากอย่างไม่ต้องสงสัย
เจียงอวี่เฟยล้างหน้าล้างตา นั่งลงตรงม้านั่งหลังฉากกั้นภายในร้าน กดผ้าขนหนูประคบดวงตา หัวใจบิดเบี้ยว อารมณ์ผสมปนเปกันไปหมด
หลินเซี่ยเพิ่งบอกว่าพวกหล่อนจะคิดหาทางแก้ไขร่วมกัน
ความหวังริบหรี่พลันปรากฏขึ้นในใจของเจียงอวี่เฟย
ไม่แน่ ด้วยความช่วยเหลือของหลินเซี่ย สิ่งต่าง ๆ อาจจะพลิกผันก็ได้
ขณะที่หลินเซี่ยกำลังเป่าผมลูกค้าคนเดิมให้แห้ง หลี่เหม่ยเฟิ่งที่เพิ่งไปอุดหนุนร้านอาหารฝั่งตรงข้ามก็เดินย้อนกลับมาจากกินข้าวเรียบร้อยแล้ว
หลินเซี่ยทักทายหล่อนอย่างกระตือรือร้น “คุณป้า กินข้าวเสร็จแล้วเหรอคะ? เชิญนั่งรอสักครู่ค่ะ”
หลี่เหม่ยเฟิ่งพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันสั่งบะหมี่มากินชามหนึ่ง พ่อแม่ของเธอทำอาหารกันเก่งมาก ฉันกินบะหมี่ชามใหญ่จนหมดเกลี้ยงเลย ทำไมเย่ไป๋ไม่ยอมเล่าให้ฉันฟังเกี่ยวกับร้านดี ๆ แบบนี้ตั้งนานแล้วกันนะ? คราวหน้าฉันจะบอกให้พ่อกับน้องสาวของเย่ไป๋มาลองชิมดู”
ขณะที่หลี่เหม่ยเฟิ่งพูด สายตาของหล่อนก็จ้องมองไปที่ทรงผมของเด็กสาว ผมของหญิงสาวยาวเสมอผ้าคลุมไหล่ ถูกม้วนงอเป็นสองลอน ทำให้มันดูนุ่มสลวย เป็นธรรมชาติ และไม่ดูเป็นทางการจนเกินไป และสอดคล้องกับนิสัยของเด็กสาวซึ่งเป็นวัยรุ่นยุคใหม่
หลินเซี่ยขอให้หลี่เหม่ยเฟิ่งนั่งบนเก้าอี้ตัดผม มองในกระจกแล้วพูดว่า “คุณป้า อยากเปลี่ยนทรงผมเป็นแบบไหนเป็นพิเศษ บอกฉันได้เลยค่ะ ฉันจะช่วยคุณออกแบบอีกที”
หลี่เหม่ยเฟิ่งสัมผัสเส้นผมของตัวเอง พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ดัดผมให้ฉันหน่อยก็แล้วกัน แต่อย่าดัดเป็นลอนเล็ก ๆ ติดหนังหัวก็แล้วกันนะ ฉันไม่ชอบทรงแบบนั้นเลย แค่ดัดผมให้เป็นลอนใหญ่หน่อย ดูทันสมัยมากกว่าเดิมก็พอจ้ะ”
“ได้เลยค่ะคุณป้า”
“นี่เป็นรูปถ่ายทรงผมบางส่วนของร้านเราค่ะ ลองดูว่ามีทรงผมที่คุณชอบหรือเปล่า ฉันจะได้จัดการแปลงโฉมให้ตามลุคที่มีอยู่เลย”
หลินเซี่ยทำผมให้กับหัวหุ่นหลายรูปทรง จากนั้นถ่ายรูปแล้วเอาอัดที่สตูดิโอถ่ายภาพ แล้วติดบนผนังเพื่อให้สะดวกต่อการเลือกของลูกค้า
ผมของหลี่เหม่ยเฟิ่งยาวไม่มาก ดูเหมือนเคยผ่านการดัดน้ำยามาก่อน เพียงแต่ตอนนี้ดูเหมือนเป็นผมตรงธรรมดา ปลายแห้งกรอบและโค้งงอนิดหน่อย
หล่อนชี้ไปที่ทรงผมดัดสั้นแล้วบอกว่า “ทรงนี้ดูดี ดูสิ เส้นผมของฉันไม่ยาวแต่ก็ไม่สั้น คล้ายกับในรูปเลย ฉันเป็นคนหัวเล็ก ช่วยยกโคนผมให้โป่งขึ้นหน่อยก็ได้ จะได้ดูทันสมัยขึ้นนิด”
“ค่ะ คุณป้า ฉันจะทำผมให้คุณออกมาตามรูปนี้เลยค่ะ”
หลี่เหม่ยเฟิ่งเลือกทรงผม หลินเซี่ยก็เริ่มเตรียมอุปกรณ์และน้ำยาดัดไว้ใกล้มือ
“เสี่ยวหลิน เผื่อความยาวเส้นผมไว้ให้ฉันรวบเป็นมวยต่ำด้วยนะ ต้องออกมาดูดีมีสไตล์มากแน่ ๆ”
หลินเซี่ยยิ้มและพูดว่า “ไม่ต้องกังวลนะคะคุณป้า ฉันจะออกแบบทรงผมให้เหมาะกับรูปร่างศีรษะของคุณ คุณสามารถดูความคืบหน้าในกระจกได้เลย ถ้าไม่พอใจตรงไหนก็บอกได้ทันทีค่ะ”
“ได้” หลี่เหม่ยเฟิ่งตอบรับ
“เสี่ยวหลิน พอเริ่มเข้าสู่วัยกลางคน ป้า ๆ อย่างเราก็เริ่มไม่จู้จี้จุกจิกกับหลาย ๆ อย่าง ปกติฉันไม่ค่อยสนใจดูแลเส้นผมเท่าไหร่นัก แค่ดูแลให้สะอาดและเจริญหูเจริญตาเป็นพอ เพียงแต่คราวนี้เป็นเหตุเฉพาะกิจ ฉันต้องเตรียมตัวต้อนรับว่าที่ลูกสะใภ้สาว เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้เธอเห็น ฉันเลยตั้งใจมาทำผมเป็นพิเศษ”
“ว่าที่ลูกสะใภ้?” หลินเซี่ยเพิ่งผสมน้ำยาดัดผมเสร็จหมาด ๆ เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่เหม่ยเฟิ่ง น้ำเสียงของเธอก็ยิ่งเจือความประหลาดใจมากขึ้น
เธอคิดพลางเขย่าน้ำยาดัดชามเล็ก ๆ ที่ถืออยู่
เป็นไปได้ไหมว่าว่าที่ลูกสะใภ้ที่หลี่เหม่ยเฟิ่งพูดถึงคือเซี่ยอวี่?
เย่ไป๋จะพาเซี่ยอวี่ไปเจอพ่อแม่ของเขาเหรอ?
หลี่เหม่ยเฟิ่งพูดต่ออย่างมีความสุข
“ใช่แล้ว ลูกชายฉันครองตัวเป็นโสดมาตลอด! พอเขาบอกว่าจะพาแฟนกลับบ้านมาเจอพวกเราในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ฉันก็เลยอยากจะเตรียมตัวให้ดูดี แต่งตัวให้สะอาดเรียบร้อยพร้อมเจอกับลูกสะใภ้ในอนาคตของฉัน การพบหน้าครั้งแรกควรสร้างความประทับใจให้หล่อนด้วยภาพลักษณ์ที่ดี เธอว่าจริงไหม?”
“คุณป้า ถูกต้องที่สุดเลยค่ะ วันสำคัญยิ่งต้องแต่งตัวให้ดูดี”
“เสี่ยวหลิน เธอเป็นภรรยาของเจียเหอ ก่อนหน้านี้เคยเจอหน้าแฟนของเย่ไป๋บ้างหรือเปล่า? หรือเคยได้ยินพวกเขาคุยกันเรื่องนี้บ้างไหม?” หลี่เหม่ยเฟิ่งลองถามด้วยรอยยิ้ม
หลินเซี่ยมีสีหน้าสับสน ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี
เพราะเธอยังไม่แน่ใจว่าเย่ไป๋และเซี่ยอวี่ชอบพอกันจริงหรือไม่
ยิ่งไปกว่านั้น เธอชักไม่แน่ใจแล้วว่าลูกสะใภ้ในอนาคตที่หลี่เหม่ยเฟิ่งพูดถึงจะใช่เซี่ยอวี่จริงไหม?
“คุณป้า เร็ว ๆ นี้ฉันไม่ได้เจอคุณหมอเย่เลยค่ะ เฉินเจียเหอก็ทำงานล่วงเวลา ไม่ได้ยินพวกเขาพูดคุยกันถึงเรื่องนี้เลย”
หลี่เหม่ยเฟิ่งบอกว่า “แม้แต่พวกเราเขาก็ไม่เคยปริปากเล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟังเหมือนกัน เขารักความเป็นส่วนตัว มีความคิดเป็นของตัวเองมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เราเลยไม่ค่อยกังวลเกี่ยวกับเขา เพราะเขาจะไม่พูดในสิ่งที่เขาไม่แน่ใจให้พ่อแม่ฟัง ครั้งนี้เขาน่าจะจริงจัง ความจริงเขาอายุสามสิบเอ็ดเข้าไปแล้ว แก่กว่าเจียเหอปีหนึ่ง ถึงเวลาที่สมควรจะแต่งงานแล้วล่ะ”
“ใช่ค่ะ ถึงเวลาที่ต้องแต่งงานแล้ว”
ตอนที่หลินเซี่ยกำลังจะถามหลี่เหม่ยเฟิ่งว่าพอจะรู้ชื่อแฟนของเย่ไป๋ไหม หลี่เหม่ยเฟิ่งก็พูดด้วยรอยยิ้มแทรกขึ้นมา
“เสี่ยวหลิน เสี่ยวไป๋ยังบอกด้วยนะว่าแฟนของเขาสวยกว่าดาราหนังอย่างเซี่ยอวี่ซะอีก”
“จริงเหรอคะ?” ใบหน้าของหลินเซี่ยเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินสิ่งนี้
เมื่อพิจารณาจากสิ่งนี้ บางทีแม้แต่หลี่เหม่ยเฟิ่งก็อาจจะไม่รู้ว่าแฟนของเย่ไป๋คือใคร
อย่างน้อยก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคือเซี่ยอวี่
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
บางทีคุณพ่อเห็นทัศนคติของคนรอบข้างเกี่ยวกับรายการประกวดนั่นแล้วอาจจะเข้าใจขึ้นบ้างนะคะ
ถ้ารู้ว่าแฟนเย่ไป๋คือเซี่ยอวี่จะมีปฏิกิริยายังไงกันเนี่ย
ไหหม่า(海馬)