ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 – ตอนที่ 420 โอกาสใหม่ทางธุรกิจ

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 420 โอกาสใหม่ทางธุรกิจ

ตอนที่ 420 โอกาสใหม่ทางธุรกิจ

หลินเซี่ยรู้ดี ว่าในปัจจุบันเงินทุนของเถ้าแก่อู๋มีจำกัดมาก เนื่องจากหุ้นส่วนของเขากลัวความเสี่ยงจากการลงทุนในโครงการนี้ หลังจากที่พวกเขาลงนามในสัญญาที่ดินกันเรียบร้อยแล้ว อีกฝ่ายก็เปลี่ยนใจในภายหลัง ถอนเงินลงทุนไปดื้อ ๆ

อู๋เซิ่งหงเกือบยอมล้มเลิกโครงการแล้วเพราะขาดเงินทุน

ถ้าเธอสามารถเปลี่ยนที่ดินเป็นหุ้นในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดของเขา เพื่อลดแรงกดดันทางการเงินของเขาลงมา หรือถ้าพวกเขาเจรจาจนได้รับความไว้วางใจจากอู๋เซิ่งหง เธอก็สามารถโน้มน้าวให้เซี่ยไห่ออกเงินลงทุน เพื่อร่วมมือกับอู๋เซิ่งหงและกลายเป็นหุ้นส่วนของเขาได้ ในอนาคตเมื่อบริษัทอสังหาริมทรัพย์เซิ่งหงมีขนาดใหญ่ขึ้นและแข็งแกร่งขึ้น เซี่ยไห่ในฐานะผู้ถือหุ้นก็จะได้รับเงินปันผลอย่างมหาศาล

ยิ่งหลินเซี่ยคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าใด เธอก็ยิ่งรู้สึกว่าวิธีนี้มีความเป็นไปได้สูง ในบางครั้งโอกาสก็สำคัญยิ่งกว่าความขยัน

เมื่อโอกาสมาถึง พวกเขาควรคว้ามันไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง

พวกเขาทั้งสองรออยู่ที่ลานบ้านเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงเต็ม เซี่ยไห่เกือบอดทนรอไม่ไหว เอาแต่บ่นไม่หยุดว่าอีกฝ่ายเป็นนักธุรกิจแท้ ๆ แต่กลับไม่มีความตรงเวลาและไม่น่าเชื่อถือเอาเสียเลย เขาเริ่มไม่เต็มใจที่จะขายที่ดิน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการซื้อหุ้น

ขณะที่เขากำลังบ่น รถสีดำก็ขับมาจอดหน้าพื้นที่โล่ง

ยางรถเต็มไปด้วยโคลน หลินเซี่ยเห็นแล้วจึงกระซิบกับเซี่ยไห่ “ที่เขาล่าช้าน่าจะเป็นเพราะยางรถดันไปติดหล่มเข้า”

เซี่ยไห่เหลือบมองรถ ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็อ่อนลงเล็กน้อย

ประตูรถเปิดออก ชายวัยกลางคนแต่งตัวเรียบง่ายก้าวลงจากรถ สวมรองเท้าผ้าใบสีดำ กางเกงผ้า และเสื้อเชิ้ตแขนสั้น

หลินเซี่ยเห็นรถสีดำคันนี้ก็จำได้ว่าอู๋เซิ่งหงเคยเขียนถึงมันไว้ในอัตชีวประวัติของเขา ว่าสมัยที่เขาเริ่มทำงานในโครงการนี้แรก ๆ เขาถึงขั้นขายรถคันแรกทิ้งไปเนื่องจากปัญหาทางการเงิน

นี่อาจเป็นรถซานทาน่าที่เขาพูดถึงในอัตชีวประวัติของเขาก็ได้

อู๋เซิ่งหงพาผู้ช่วยมาแค่คนเดียว ภาพลักษณ์ของเขาสุขุมและเป็นกันเอง แตกต่างจากเถ้าแก่ ‘เจ้าสำอาง’ ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เธออย่างสิ้นเชิง

เซี่ยไห่กระตุกมุมปากเล็กน้อยเมื่อเห็นชายคนนั้นเดินตรงเข้ามาหาพวกเขา

นี่มัน… แฟชั่นแบบไหนกัน?

แม้เขาจะไม่แสดงความรังเกียจอย่างออกนอกหน้าเพื่อรักษามารยาท แต่เขาก็เริ่มตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับความแข็งแกร่งทางการเงินและศักยภาพของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของกิจการที่อยู่ตรงหน้า

หลินเซี่ยเห็นว่าเซี่ยไห่เอาแต่งุนงง ดังนั้นเธอจึงดึงเขาเข้ามาและพูดว่า “มาเถอะ เราไปทักทายพวกเขากันดีกว่า”

เซี่ยไห่กลับมามีสติสัมปชัญญะอีกครั้ง เผยรอยยิ้มอย่างมืออาชีพ เขาก้าวไปข้างหน้า มองดูชายคนที่กำลังเดินตรงมาหาพลางพูดอย่างยิ้มแย้ม “สวัสดีครับ เถ้าแก่อู๋”

อู๋เซิ่งหงมองไปที่หนุ่มสาวต่างวัยสองคนที่มีสง่าราศีเป็นพิเศษตรงหน้า เขาตอบกลับด้วยสำเนียงภาษาจีนกลางว่า “สวัสดีครับ”

“เถ้าแก่ ที่ดินผืนนี้เป็นของคุณใช่ไหมครับ?” เขามองไปที่เซี่ยไห่แล้วถามย้ำ

เซี่ยไห่พยักหน้า “ใช่ครับ”

“ผมชื่ออู๋เซิ่งหง เจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์เซิ่งหง บริษัทของเรากำลังวางแผนที่จะพัฒนาพื้นที่บริเวณนี้ พ่อค้าและผู้อยู่อาศัยรายอื่นต่างก็ยินยอมลงนามในสัญญาแล้ว แต่เราเพิ่งจะได้ติดต่อกับคุณในวันนี้ นี่คือเอกสารสัญญาซื้อขายที่ดินของเรา ลองอ่านดูก่อนครับ”

อู๋เซิ่งหงเป็นคนถ่อมตัว สุภาพ และจิตใจดี เขาไม่วางตัวเย่อหยิ่งแม้ว่าตัวเองจะเป็นเจ้าของธุรกิจก็ตาม

เซี่ยไห่รับเอกสารสัญญามาแล้วเหลือบมองมันสักพัก

อู๋เซิ่งหงยังคงแสดงท่าทางสุภาพอ่อนน้อมเช่นเคย พูดกับเซี่ยไห่ต่อไปว่า “เราส่งคนมาทำการรังวัดพื้นที่โดยประมาณของที่ดินนี้ก่อนแล้วครับ คุณลองตรวจสอบดูอีกทีว่ามันคลาดเคลื่อนจากพื้นที่จริงมากน้อยแค่ไหน”

เซี่ยไห่ยังคงอ่านสัญญาต่อไป หลินเซี่ยมองไปที่อู๋เซิ่งหงแล้วพูดว่า “เถ้าแก่อู๋คะ พอดีพวกเราไม่ได้วางแผนว่าจะขายที่ดินผืนนี้”

หลังจากได้ยินคำพูดของหลินเซี่ย สีหน้าของอู๋เซิ่งหงก็หม่นลงนิดหนึ่ง แต่เพียงไม่นานก็กลับสู่สภาพเดิมอย่างรวดเร็ว ดวงตาของเขาเป็นประกายก่อนจะโน้มน้าวด้วยไหวพริบ

“ผมรู้นะครับว่าคุณสองคนหมายถึงอะไร พ่อค้ารายอื่นต่างก็เซ็นสัญญาแล้ว ถ้าพวกคุณยังเก็บที่นี่ไว้ไม่ยอมขาย ยังไงคุณก็ใช้พื้นที่นี้ทำธุรกิจไม่ได้อยู่ดี คุณสามารถเสนอราคามาได้เลย เราเจรจากันได้”

เล่นแง่ไม่ขาย ไม่มีเหตุผลอะไรมากไปกว่าเงินหรอก

“ไม่เกี่ยวกับเรื่องเงินค่ะ”

หลินเซี่ยมองไปที่อู๋เซิ่งหง และพูดอย่างจริงจังว่า “ถ้าเป็นไปได้ เราหวังว่าพวกเราจะมีส่วนในการพัฒนาโครงการนี้ไปพร้อมกับบริษัทของคุณ”

อู๋เซิ่งหงเลิกคิ้วเมื่อได้ยินแบบนั้น “พัฒนาร่วมกัน?”

หลินเซี่ยกล่าวว่า “เราได้ยินมาว่าทางบริษัทของคุณมีเงินทุนจำกัด ดังนั้นเถ้าแก่เซี่ยของเราจึงตัดสินใจว่าจะไม่ขายขาดที่ดินให้กับคุณ แต่วางแผนว่าจะเจรจาด้านความร่วมมือกับคุณโดยการลงทุนด้วยที่ดินผืนนี้แทน ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันทางการเงินของคุณไปได้บ้าง ภายหลังต่อให้ต้องเผชิญความเสี่ยง ในฐานะผู้ถือหุ้นเราก็พร้อมที่จะแบกรับเช่นกัน”

อู๋เฉิงหงประหลาดใจมาก “คุณอยากร่วมหุ้นงั้นเหรอ?”

“ใช่ค่ะ คุณคิดว่าไงคะ?”

อู๋เซิ่งหงมองหน้าพวกเขาสลับกันไปมา ถามว่า “พวกคุณสองคนประกอบธุรกิจประเภทไหนกันเหรอครับ?”

หลินเซี่ยมองไปที่เซี่ยไห่ เป็นเชิงบอกให้เขาแนะนำตัวกับอู๋เซิ่งหงเอง

เซี่ยไห่ชี้ไปทางลานบ้านที่ทรุดโทรมและพื้นที่เปิดโล่งตรงหน้าเขาแล้วพูดว่า “เถ้าแก่อู๋คงทราบแล้วใช่ไหมครับว่าผมเริ่มต้นธุรกิจใหม่ด้วยการขายอาหารทะเลที่นี่? พูดตามตรงผมลังเลจริง ๆ ที่จะขายที่ดินผืนนี้ เพราะความจริงแล้วผมเองก็ไม่ได้ขาดแคลนเงินจำนวนเล็กน้อยนั่นเลย แต่ถ้าคุณยอมให้ผมแปลงที่ดินเป็นหุ้น ไม่ว่าคุณจะสร้างอะไรบนที่ดินนี้ก็ตาม ผมจะให้ความยินยอมอย่างไม่มีเงื่อนไข เพราะถึงยังไงผมก็เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ถือเป็นความคิดที่เข้าท่าออก”

ดวงตาของอู๋เซิงหงเป็นประกายเมื่อเขาได้ยินคำพูดของเซี่ยไห่ จากนั้นเขาก็เริ่มเป็นฝ่ายเชิญชวน “ถ้าคุณทั้งสองพอมีเวลา เชิญขึ้นรถไปกับเราก่อนสิครับ จะได้หาสถานที่ที่เหมาะสมเพื่อพูดคุยเรื่องนี้โดยละเอียด”

หลินเซี่ยกลัวเซี่ยไห่จะไม่ยอมไปง่าย ๆ ดังนั้นเธอจึงชิงตอบก่อนว่า “ได้ค่ะ”

จากนั้นทั้งสองก็เข้าไปในรถของอู๋เซิ่งหง

ภายในรถ อู๋เซิ่งหงเริ่มแนะนำบริษัทของเขา รวมถึงแผนการทางธุรกิจระยะสั้นในอนาคต พร้อมกันนั้นยังสอบถามเกี่ยวกับธุรกิจของเซี่ยไห่ด้วย

ก่อนหน้านี้อู๋เซิ่งหงได้พัฒนาโครงการเล็ก ๆ สองโครงการ รอบนี้เขานึกถึงการพัฒนาเมืองเชินเฉิง เพราะเขาต้องการคว้าโอกาสและเดินหน้าก่อนใครด้วยการกว้านซื้อที่ดิน ส่วนการพัฒนาในภายหลังต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก แน่นอนว่าเขายังต้องการหุ้นส่วน

เมื่อพวกเขามาถึงตัวเมือง อู๋เซิ่งหงเชิญพวกเขาไปรับประทานอาหารเย็นอย่างกระตือรือร้น

“เถ้าแก่อู๋คะ พวกเรากินอะไรก็ได้ง่าย ๆ เรานั่งรถไฟกันมาตลอดทั้งคืน อยากกินอะไรเบาท้องมากกว่า ไม่จำเป็นต้องเข้าภัตตาคารใหญ่ ๆ ในโรงแรมหรอกค่ะ”

หลินเซี่ยเห็นแผงขายเกี๊ยวริมถนน จึงเสนอขึ้นว่า “เราไปกินเกี๊ยวร้านนั้นกันเถอะ”

อู๋เซิ่งหงมองตามสายตาของหลินเซี่ย เห็นป้ายร้านเกี๊ยวข้างทาง เขาเลิกคิ้วเล็กน้อยแล้วมองเซี่ยไห่พลางถามว่า

“เถ้าแก่เซี่ย คุณสะดวกหรือเปล่าครับ?”

ดูจากรูปลักษณ์ภายนอกของเจ้านายคนนี้แล้ว เขาดูเหมือนแขกวีไอพีระดับไฮเอนด์ของโรงแรมหรูชอบกล

ไม่ว่าหลานสาวของเขาจะพูดอะไร เซี่ยไห่ก็ไม่คัดค้าน “ไม่มีปัญหาครับ”

อู๋เซิ่งหงจึงพาพวกเขาตรงเข้าไปในร้านเกี๊ยว

เมื่อเจ้าของร้านสาวเห็นอู๋เซิ่งหง หล่อนก็ยิ้มแล้วถามว่า “เถ้าแก่อู๋นั่นเอง วันนี้พาเพื่อนมาที่นี่เหรอคะ?”

“ใช่ครับ”

“คุณสองคนอยากกินอะไรดีคะ? มีเมนูอยู่บนผนังนะ”

เซี่ยไห่บอกให้หลินเซี่ยเป็นคนสั่ง

หลินเซี่ยมองดูเมนูบนผนัง “ขอเป็นเกี๊ยวยัดไส้หมูและกะหล่ำปลีแล้วกันค่ะ”

เจ้าของร้านตะโกนไปทางด้านหลังว่า “เกี๊ยวไส้หมูสับกะหล่ำปลีสองชาม อีกชามเป็นเกี๊ยวไส้หุยเซียง”

หลังจากนั่งลงแล้ว อู๋เซิ่งหงก็ถามพวกเขาว่า “คุณสองคนมาจากที่ไหนกันครับ? ฟังจากสำเนียงของคุณผู้หญิง เหมือนมาจากทางเหนือหรือเปล่า?”

หลินเซี่ยพยักหน้า “ใช่ค่ะ แม่ฉันมาจากเทศมณฑลซีเหอ แต่ฉันโตที่ไห่เฉิง เพียงแต่สำเนียงคล้ายไปทางแม่มากกว่า”

ความจริงแล้ว เพื่อที่จะได้ผูกมิตรใกล้ชิดกับอู๋เซิ่งหงมากขึ้น เธอจงใจจดจำสำเนียงของหลิวกุ้ยอิงมาใช้พูดกับเขาโดยเฉพาะ

นั่นเป็นเพราะเธอจำได้ว่าบ้านเกิดของอู๋เซิ่งหงเองก็อยู่ในเทศมณฑลซีเหอ

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

เตรียมสร้างคอนเนคชันแล้ว ต่อไปรวยแน่นอน

ไหหม่า(海馬)

……………………………………

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

Status: Ongoing
เมื่อสวรรค์ได้ให้โอกาสเธอย้อนกลับมาแก้ขในสิ่งที่ผิดพลาด เธอจะใช้โอกาสนี้เป็นช่างเสริมสวยยอดฝีมือให้ได้ตามฝันอย่างไรกันนะ?เรื่องย่อ : ในชาติก่อน หลินเ เป็นสไตสต์คนโง่ผู้ร้ความคิดป็นของตัวเอง จึงถูกดาราดาวรุ่งผู้เป็นเพื่อนสนิทวางแผนทำลายชีวิตจนพังพินาศ ไร้ซึ่งเครดิต ไร้ซึ่งอำนาจ และหน้ามืดตามัวทิ้งสามีพ่อม่ายลูกติดที่คอยสนับสนุนมาตลอดได้ลงค แต่เหมือนสวรรค์ยังคงเห็นใจต่ชะตาชีวิตอันรันทดของเธอ จึงทำให้เธอได้ย้อนกลับมาเกิดใหม่ในปี 1988 อันเป็นปีที่ทุกอย่างยังไม่สายเกินกว่าแก้ หลินเชี่ยจะใช้โอกาสที่ได้มีชีวิตครั้งที่สองเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตัวเองอย่างไรบ้าง?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท