“ท่านพี่ค้าบบ ท่านพี่! มานี่เร็วเข้า ผมมีเรื่องอะไรจะเล่าด้วยล่ะ..! ”
“ก..เกิดอะไรขึ้นเหรอ รีบร้อนเชียว”
เมื่ออลันกลับถึงบ้าน เขาก็รีบตะโกนเรียกฉัน ด้วยความตกใจฉันเลยหันไปดูรอบๆทันที
“คือว่านะ! เป็นอย่างที่ท่านพี่บอกเป๊ะเลย! ท่านเบเรต์เป็นคนที่ใจดีมากๆๆเลยล่ะครับ! จากนี้ไปผมจะไม่ยอมหลงเชื่อข่าวลือบ้าๆพวกนั้นอีกเป็นอันขาดเลย!! ”
“เอ๊ะ? จ-ใจเย็นๆนะ ค่อยๆพูด ..เรื่องมันเป็นมายังไงกันแน่”
“ข..ขอโทษครับ….”
เอเลน่าแปลกใจกับท่าทีที่อลันที่ดูตื่นเต้นและก็สับสนในเวลาเดียวกัน แต่ทว่าแววตากลับเป็นประกายวิบวับ
หางคิ้วของเธอกระตุกเล็กน้อย แต่เอเลน่าก็ตบเบาะข้างๆดังแปะๆ เพื่อบอกให้น้องชายเธอมานั่งตรงนี้ หลังจากหายใจเข้าลึกๆ เธอก็เร่งเร้าให้น้องชายเล่าต่อ
“แล้ว —เรื่องมันเป็นมายังไงกันเหรอ? ค่อยๆเล่ามาให้พี่เข้าใจหน่อย”
“อ..อืม เรื่องมันเกิดขึ้นหลังจากเวลาพักกลางวันน่ะครับ ตอนที่ผมกำลังอ่านหนังสืออยู่ที่ห้องสมุด…”
เมื่อต้องเริ่มต้นทำธุรกิจ เอเลน่าก็รู้อยู่แล้วว่าอลันชอบไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดบ่อยๆ แต่ว่า
“ทันใดนั้นผมก็พบกับท่านเบเรต์เข้า และก็ปรึกษาเขาเกี่ยวกับปัญหาเรื่องที่ผมกำลังคิดไม่ตกอยู่”
“เอ๊ะ? เบเรต์เหรอ? ไม่สิ เขาไม่ใช่คนประเภทที่จะชอบเข้าห้องสมุดนี่นา แน่ใจนะว่าไม่ได้จำผิดคน? ”
“ผมไม่มีทางจำคนที่ปรึกษาด้วยผิดไปได้หรอกครับ! ”
“น่ะ..นั่นก็จริงนะ …ขอโทษนะจ๊ะ”
เบเรต์ไปใช้ห้องสมุด เป็นเรื่องที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย
บางครั้งมันก็อดสงสัยกับพฤติกรรมอันแปลกประหลาดของเขาไม่ได้จริงๆ
“แต่ว่าเบเรต์ก็คงช่วยแนะนำอะไรไม่ได้มากอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? มันเป็นวิชาที่ค่อนยากอยู่แล้วนี่นา”
“นั่นไม่จริงเลยครับ บอกตามตรงถ้าท่านเบเรต์เป็นคนเริ่มทำธุรกิจนี้ด้วยตัวเองล่ะก็ หลายๆอย่างคงจะไปได้สวยแน่นอนเลยล่ะครับ…”
“ฟุฟุ~ ไม่ต้องถ่อมตัวขนาดนั้นหรอกนะจ๊ะ อลันเองก็เรียนเรื่องนี้มาโดยเฉพาะตั้งแต่ม.ต้นเลยไม่ใช่เหรอ? อลันเองก็ทำได้เหมือนกันแหละน่า ”
“นี่คือความเห็นของผมที่ทุ่มเทเรียนมาขนาดนั้นนั่นแหละครับ ผมไม่ได้ถ่อมตัวเลยสักนิดเดียว”
“….อะ”
‘คนโกหก’ เอเลน่าทำหน้าบูดบึ้งอย่างไม่พอใจและหันมองไปทิศทางที่มีแต่ความว่างเปล่า
อลันที่พูดด้วยสีหน้าจริงจัง
ณ ตอนนี้เอเลน่าได้รู้แล้วว่าน้องชายของเธอพูดออกมาจากใจจริง
“ท่านเบเรต์ชี้ให้ผมเห็นถึงปัญหาใหญ่ที่สุดในแนวคิดการบริหารของผม จนผมไม่สามารถโต้แย้งอะไรได้เลย เขามีมุมมองที่ดูกว้างไกลกว่าผมหลายเท่าตัวและเขายังเตือนผมเกี่ยวกับจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของผมด้วย….ผมคิดจริงๆนะ ถ้าจะให้เป็นคู่ต่อสู้กับท่านเบเรต์ แค่ในฝันยังยากเลย…..”
“พี่รับรู้ได้แล้วล่ะว่าอลันพูดออกมาจากใจจริง แต่ว่า….”
คนที่ไม่เคยเรียนเรื่องแบบนี้มาก่อนจะเก่งกว่าคนที่เรียนเรื่องนี้มาโดยเฉพาะได้ยังไง?
เอเลน่าคิดแบบนั้นจริงๆ แต่ทว่า อลันก็ให้เหตุผลอีกข้อมาลบล้างความคิดนั้นของเธอ
“อันนี้ผมแค่คิดนะครับ บางทีทักษะการบริหารของผมอาจจะดีกว่าคนทั่วไปส่วนใหญ่ก็จริง แต่ด้วยฐานะของท่านเบเรต์ก็คงจะเป็นคนละเรื่องกันเลย บางทีเขาคงได้รับการสอนมาตั้งแต่ยังเด็กแน่ๆ”
“ที่พูดถึงการบริหารนี่ หมายถึงการบริหารจัดการองค์กรอย่างงั้นเหรอ…?”
“อื้อ ผมเคยบอกกับท่านพี่ไปแล้วใช่มั้ยล่ะ ว่าคอนเซปหลักร้านอาหารของผมคือการจัดการกับวัตถุดิบก่อนจะเน่าเสียใช่มั้ยล่ะครับ? ผมอยากให้พนักงานทำอาหารออกมาให้ได้มากที่สุดก่อนที่วัตถุดิบจะเน่าเสียและก็แจกจ่ายให้กับคนที่ต้องการรับอาหารฟรี แบบนั้นใช่ไหม”
“อื้ม ใช่”
“แต่พอผมพูดไปแบบนั้นท่านเบเรต์กลับบอกว่า ‘ถ้าคนที่นายให้อาหารฟรีไป สร้างข่าวลือแย่ๆประมาณว่า ‘ฉันกินอาหารของร้านนี้แล้วก็ท้องเสีย’ หรือ ‘อาหารร้านนี้มันมีพิษ อย่าไปกินนะ! แบบนี้ แล้วอย่างนี้นายจะรับผิดชอบผลที่ตามมายังไง?’ แล้วก็ ‘เป้าหมายของคนที่ทำแบบนี้ก็คือเงินนี่แหละ มันง่ายที่จะกุข่าวลือแต่มันไม่ง่ายนะที่จะแก้ข่าวลือน่ะ และถึงแม้ว่านายจะเป็นผู้บริสุทธิ์จริงๆ แต่ว่าข่าวลือมันก็ยังคงอยู่อยู่ดี’ แบบนี้ครับ ”
“เดี๋ยวนะ! เรื่องนั้นมันไม่มีทางเป็นไปได้ไม่ใช่รึไง เรื่องโหดร้ายแบบนั้นมันไม่มีทางเกิดขึ้นได้หรอก!”
เอเลน่าที่ไม่รู้จักโลกแห่งความจริงอันโหดร้ายได้ปฏิเสธสิ่งที่น้องชายบอกด้วยความฉุนเฉียวเล็กน้อย
แต่ทว่า ความคิดของเธอกลับถูกตอกกลับมาอย่างง่ายดาย
“ไม่หรอกครับ ส่วนตัวผมเองก็คิดว่ามันน่าจะจริงเหมือนกัน แนวคิดของท่านพ่อกับท่านแม่ก็เป็นแบบที่ท่านเบเรต์พูดไว้เหมือนกันไม่มีผิด”
“ม..หมอนั่นพูดอะไรไว้เหรอ เบเรต์น่ะ
“ [ความเห็นส่วนตัว] ‘มีผู้คนมากมายที่ชอบใช้ประโยชน์จากความหวังดีของผู้อื่น บนใบโลกนี้น่ะไม่ได้มีแต่คนดีหรอกนะ พวกเจ้าของธุรกิจใหญ่ๆน่ะเขารู้ดี ถึงแม้การกำจัดของเหลือทิ้งไปเลยมันจะดูสิ้นเปลือง แต่ว่านะ ถ้าร้านอาหารนั้นไปไม่รอดขึ้นมา แล้วพนักงานทุกชีวิตของร้านล่ะ ใครจะเป็นคนรับผิดชอบ’ ท่านเบเรต์พูดไว้แบบนี้ครับ”
“……”
และเอเลน่าก็เริ่มเข้าใจ
ที่ว่าทำไมแนวคิดเรื่องการจัดการวัตถุดิบเหลือของอลันถึงไม่ควรนำมาใช้งานจริง
“พอลองคิดดูเรื่องที่ท่านเบเรต์พูดมันก็ดูสมเหตุสมผลมากเลยล่ะครับ ผมคาดไม่ถึงเลยจริงๆ …แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นผมก็ไม่ยอมแพ้ที่จะทำให้ร้านในอุดมคติของผมเป็นจริงหรอกนะครับ”
“เดี๋ยวนะ บ..เบเรต์เขาพูดแบบนั้นจริงๆเหรอ….?”
“พูดจริงสิครับ ผมได้ยินมาเต็มสองหูเลยล่ะ”
“…..”
(ปะ เป็นไปไม่ได้…)
นั่นคือสิ่งที่เอเลน่าคิด
“แล้วท่านเบเรต์ยังสอนผมต่ออีกว่า ‘แทนที่จะมัวเสียเวลาไปกับการหาคำแนะนำที่ตื้นเขินของคนอื่น สู้เอาเวลาไปขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญโดยตรงจะดีกว่า แผนการของนายมันก็ยังคงฝังรากอยู่ในใจนายตลอดไป เพราะงั้น ถ้าเป็นไปได้นายควรจะเริ่มลงมือให้ไวและใช้ทุกนาทีให้คุ้มค่ามากที่สุด’ แบบนี้ ท่านเบเรต์ได้ชี้ให้เห็นถึงข้อบกพร่องแล้วก็สิ่งที่ผมยังขาดไป เขาเป็นคนที่สุดยอดมากจริงๆนะครับท่านเบเรต์น่ะ ”
“นี่…. นั่นน่ะ ใช่เบเรต์จริงๆงั้นเหรอ?”
“จริงแท้แน่นอนสิ! ฮ๊าา ผมไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะมีคนที่สุดยอดขนาดนี้อยู่ในโรงเรียนแห่งนี้ด้วย”
อลันเงยหน้าอย่างยิ้มๆแหงนมองเพดานอันว่างเปล่า ในขณะที่เอเลน่ายังคงทำสีหน้าสงสัยอยู่
แต่ว่าในแววตาสงสัยของเอเลน่ากลับมีความอิจฉาปะปนอยู่เล็กๆ
“เพราะงั้นแหละนะ ท่านพี่ เพื่อที่จะไม่ให้คำแนะนำของท่านเบเรต์เสียเปล่า เมื่อเย็นวันนี้ผมก็ได้เข้าไปที่ร้านของพ่อแล้วก็ปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้เรียบร้อยแล้วล่ะครับ ”
“อะ เพราะงี้เลยกลับบ้านมาช้างั้นเหรอ เอ๊ะ ว่าแต่..แล้วไม่โดนดุเหรอ!? ท่านพ่อเคยบอกว่าในเวลางานห้ามไปรบกวนไม่ใช่เหรอ!? ”
“ก..ก็โดนดุจริงๆนั่นแหละครับ แต่ว่าผมก็ได้รับคำชมเรื่องแนวคิดของผมด้วย ท่านพ่อพูดด้วยความประทับใจเลยล่ะครับ”
“อะ -อาร่า ดีจังเลยเนอะ”
ถ้าเป็นในเวลาปกติท่านพ่อจะใจดีมาก แต่ถ้าทำพฤติกรรมแหกกฎเมื่อไหร่เขาก็เหมือนเป็นปีศาจดีๆนี่เอง
ใบหน้าของเอเลน่าแข็งทื่อเมื่อได้ยินสิ่งที่น้องชายพูดในตอนแรก แต่เมื่อรู้ว่าเขาก็ได้รับคำชมเหมือนกันเธอก็ดูโล่งใจขึ้นมาทันที
“แต่ว่าถ้าไปหาเขาและขอคำปรึกษาในเวลางานแบบนั้น ปกติแล้วท่านพ่อจะโกรธมากเลยไม่ใช่เหรอ?”
“เรื่องนั้น….ท่านพ่อบอกว่า ‘ไปได้คำแนะนำนี้จากใครมา’ เขาพูดพร้อมกับหัวเราะร่าเลยล่ะครับ ดูเหมือนว่าท่านพ่อจะรู้ทันเรื่องของผมหมดเลย ถึงจะน่าเสียดายแต่มันก็จริงที่ผมไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน เว้นซะแต่จะมีคนบอกให้ทำ ”
“ระ เหรอ… ยังเหมือนเดิมเลยสินะ ท่านพ่อน่ะ”
ไม่แปลกที่พวกเขาจะรู้ทัน เพราะพ่อแม่คือคนที่รู้จักลูกของตัวเองดีที่สุดในโลกนี้แล้ว และความสามารถของพวกเขาที่สามารถก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของธุรกิจก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลเช่นกัน
หลังจากที่หัวข้อสนทนานี้จบลง บรรยากาศก็เริ่มผ่อนคลายลง และอลันก็ได้พูดขึ้นมา
“จะว่าไงดีล่ะ มีเรื่องบังเอิญที่สุดยอดขนาดนี้เกิดขึ้นกับผมด้วยเนอะ”
“บังเอิญเหรอ?”
“ก็ท่านพี่พูดไว้ไม่ใช่เหรอ ว่าท่านเบเรต์ไม่เคยมาใช้ห้องสมุดมาก่อน เพราะงั้น ถ้าท่านเบเรต์ไม่ได้บังเอิญมาใช้ห้องสมุดเหมือนกันผมก็คงจะไม่ได้รับคำปรึกษาอันมีค่าเหล่านี้แน่นอน”
“อ๊ะ!! ”
เมื่อได้ยินเรื่องราวที่สุดแสนจะบังเอิญของน้องชาย จู่ๆเอเลน่าก็ใช้มือปิดปากเบิกตาโพลงและหันหน้าไปหาอลัน
หรือว่าจะเป็นเพราะตอนนั้น…?
ฉันเริ่มรู้สึกตัวจากบรรยากาศที่ดูผ่อนคลายนี้
“อลัน บางทีอาจจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างที่คิดก็ได้นะ…”
“มะ หมายความว่าไงครับ?”
“……ที่จริงแล้วพี่ก็ไปปรึกษากับเบเรต์มาก่อนหน้านั้นแล้วเหมือนกัน เรื่องที่ว่าพี่กำลังกังวลเกี่ยวกับปัญหาด้านธุรกิจของน้องชายน่ะ ”
“เอ๊ะ โกหกน่า….!? ”
“พี่พูดจริงนะ ระ..หรือพูดอักนัยนึงคือ อลันที่ไปห้องสมุดเพื่อค้นคว้าขณะเดียวกันเบเรต์ก็คงเดาว่าอลันน่าจะอยู่ห้องสมุดเหมือนกัน เขาเลยไปห้องสมุดเพื่อการนั้นโดยเฉพาะรึเปล่า บางทีเขาอาจจะพยายามช่วยอลันตั้งแต่แรกอยู่แล้วก็ได้….”
“อ๊ะ! พอได้ยินท่านพี่พูดแบบนั้นคิดๆดูแล้วตอนที่ผมเจอเขาครั้งแรกเขาก็ยิ้มด้วยนะครับ? หรือว่าบางทีรอยยิ้มสยองนั่น(?)ของเขาอาจจะหมายถึง ‘ในที่สุดก็เจอตัวสักที’ แบบนั้นรึเปล่านะ….. ”
“พี่ว่าเป็นแบบนั้นไม่ผิดแน่! ”
บังเกิดความ(กาว)เข้าใจผิดครั้งใหญ่ระหว่างสองพี่น้องเข้าแล้ว
(จ..เจ้าหมอนั่น…!! ถึงจะบอกว่าไม่ค่อยรู้ข้อมูลของน้องชายเท่าไหร่แต่ก็พยายามหาอลันจนเจอและก็ให้คำแนะนำดีๆกับเขาจนได้ไม่ใช่รึไงกันยะ! ถ้าจะช่วยทำไมไม่บอกมาตรงๆกันเล่าา…ม ม มะ เมื่อตอนนั้นก็กล้ามาทำให้ฉันดูแย่ได้นะ! อย่ามาทำเป็นเท่ไปหน่อยเลย…..)
ทว่า แท้จริงแล้วเบเรต์กลับไม่ได้รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของอลันเลยแม้แต่น้อย และที่ไปห้องสมุดก็แค่จะไป(หาสาว)คืนหนังสือที่ยืมมาก็แค่นั้น แต่ด้วยความเข้าใจผิดนี้เกจความชอบต่อเบเรต์ของสองพี่น้องก็ได้พุ่งขึ้นสูงอย่างมหาศาล….
TN: แหม ตอนนี้แปลง่ายดีจังเลยนะครับ แค่ก็อปตอนเก่ามาวางก็แทบจะเสร็จละ ฮ่าๆๆ เนื่องจากแปลเสร็จไวกว่าปกติวันนี้น่าจะได้อีกตอนนะครับ น่าจะคํ่าๆ