ตอนนี้หลี่โม่เป็นเพียงความหวังเดียวของหญิงสาวทั้งสองคน ราวกับว่าถ้าหลี่โม่มาถึง อันตรายทุกอย่างจะหายไป
หลี่โม่ไม่มีเวลาไปขับรถของตัวเอง เมื่อเห็นรถแท็กซี่จอดลงข้างทาง เขาเดินเข้าไปดึงคนขับรถออกจากรถ และเข้าไปนั่งที่คนขับแทน จากนั้นจึงขับรถออกไปทันที
คนขับรถกระโดดโหยงเหยง และก่นด่าหลี่โม่ เขารีบหยิบมือถือขึ้นมาแจ้งตำรวจ เรื่องนี้รู้ถึงหูของหัวหน้าจางอย่างรวดเร็ว
หลี่โม่ขับรถแท็กซี่อย่างกระวนกระวายใจ เขาเหยียบคันเร่งจนมิด เขาเร่งความเร็วในชั่วโมงเร่งด่วนยามเย็น เมื่อเจอไฟแดงก็ฝ่าทันที เขาไม่สนใจกฎจราจรอีกแล้ว
สายตรวจบริเวณสี่แยก เห็นรถแท็กซี่ฝ่าไฟแดง เขารีบยกวิทยุสื่อสารขึ้นมารายงานไปยังฐานหลัก
หัวหน้าจางรับหน้าที่ทำคดีรถแท็กซี่โดนขโมย หลังจากดูกล้องวงจรปิด เห็นว่าคนขับรถแท็กซี่คือหลี่โม่ หลี่โม่น่าจะมีเรื่องสำคัญอะไรสักอย่าง
หัวหน้าจางยกวิทยุสื่อสารขึ้นมา แล้วพูดว่า “ทุกคนฟังผม รถแท็กซี่คันนั้นกำลังปฏิบัติภารกิจพิเศษ ถนนทุกสาย ต้องให้รถแท็กซี่คันนั้นผ่านไปอย่างราบรื่น สายตรวจบนถนนแต่ละเส้นช่วยดูแลการจราจรด้วย ให้ความสะดวกกับรถแท็กซี่คันนั้น”
หัวหน้าจางออกคำสั่ง และสั่งให้ศูนย์การคมนาคม ควบคุมสัญญาณไฟจราจร เพื่อเปิดไฟเขียวให้รถของหลี่โม่
รถแท็กซี่พุ่งตัวไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็มาถึงหน้าประตูสุสานที่ชานเมืองตะวันออก
ตอนนี้สุสานที่ชานเมืองตะวันออกปิด มีเพียงประตูเล็กๆ เท่านั้น ชายแก่เฝ้าประตูกำลังนั่งฟังวิทยุอยู่
หลี่โม่ลงจากรถและเดินเข้าไป จากนั้นจึงผลักประตูเข้าไปในสุสานที่ชานเมืองตะวันออก
เสียงเปิดประตูดังขึ้น จนทำให้ชายแก่เฝ้าประตูตกใจ
ชายแก่เฝ้าประตูกลอกตามองบน แล้วพูดว่า “สุสานปิดแล้ว มีอะไรค่อยมาพรุ่งนี้”
“ใครจะมาสุสานตอนกลางคืนล่ะ ที่มาก็เพราะมีเรื่อง” หลี่โม่ตอบพลางมองชายแก่ และเดินเข้าไปข้างในสุสานอย่างรวดเร็ว
ชายแก่เฝ้าประตูอึ้งไป รู้สึกว่าเสียงที่ได้ยินล่องลอยเล็กน้อย เหมือนไม่ใช่เสียงของคนปกติ เขาจึงลุกขึ้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ และพูดเสียงดังว่า “จะมาหาใคร นายจะทำอะไร ที่นี่ปิดแล้ว!”
“ฉันมาช่วยคน”
เมื่อพูดจบ ตัวของหลี่โม่ก็เดินไปไกลแล้ว ชายแก่รู้สึกมึนงงไปหมด จากนั้นจึงรู้สึกได้ถึงบรรยากาศแปลกๆ ที่ลอยอยู่ในอากาศที่เงียบงัน
เมื่อมองไปยังห้องโถงด้านหน้าที่ว่างเปล่าของสุสานที่ไร้ผู้คน ชายแก่เฝ้าประตูก็รู้สึกเย็นยะเยือกไปทั่วร่างกายทันที
“มาช่วยคนในสุสานดึกดื่นขนาดนี้ นายเป็นใคร นี่ฉันเจอผีหรือเปล่า ให้ตายเถอะ”
ชายแก่เฝ้าประตูรีบหันหลังอย่างตื่นตระหนก เขาวิ่งออกไปทางประตูอย่างลุกลี้ลุกลน เมื่อวิ่งออกมาได้ประมาณหนึ่ง เขาก็หยิบมือถือโทรแจ้งความ
หลี่โม่ไม่รู้ว่าตัวเองทำให้ชายแก่ตกใจ ถึงเขาจะรู้ก็คงไม่สนใจ เพราะต้องรีบช่วยคน
เขากวาดตามองไปรอบหลุมศพมากมาย หลี่โม่เห็นศาลาที่อยู่บนสุดของสุสาน
เขารีบเดินผ่านหลุมศพไปทันที หลี่โม่ยืนอยู่นอกศาลา
ตอนนี้กู้หยุนหลันกับเฉินเสี่ยวถงถูกมัดอยู่กับเสาของศาลา จางเจียต้องยืนอยู่ข้างหลังเสา เล็บแหลมคมสีดำแวววาว จับอยู่ที่คอขาวของหญิงสาวทั้งสอง
“แกมาเร็วดีนี่ ดูเหมือนแกจะเป็นห่วงพวกเธอมาก” จางเจียต้องมองหลี่โม่อย่างเคียดแค้น
หลี่โม่มองกู้หยุนหลันกับเฉินเสี่ยวถงอย่างละเอียด บนตัวของทั้งสองคน ไม่มีบาดแผลใด เสื้อผ้ายังเรียบร้อยดี ดูเหมือนจะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร
“เฉินฟู่ลอบสังหารฉัน ทำไมนายถึงไม่ออกมา”
“เฉินฟู่รนหาที่ตาย ฉันไม่ได้โง่ขนาดนั้น” จางเจียต้องยิ้มอย่างร้ายกาจ “มาสิ มัดมือมัดแขนของตัวเองซะ”
หลี่โม่มองลงบนพื้น มีเชือกที่ทหารใช้มัด วางอยู่บนพื้น
“นายนี่รอบคอบดีนะ”
หลี่โม่ก้มหยิบเชือกขึ้นมา จางเจียต้องจ้องหลี่โม่เขม็ง เมื่อหลี่โม่ก้มหัว และโค้งตัวลง จางเจียต้องปล่อยเล็บทั้งสิบนิ้วที่อยู่บนคอของกู้หยุนหลันกับเฉินเสี่ยวถง ไปที่หลังของหลี่โม่
เล็บดำทั้งสิบเล็บของจางเจียต้อง มีพิษที่ส่งผลต่อระบบประสาท ขอแค่เล็บใดเล็บหนึ่งถูกผิวของหลี่โม่ ก็จะถึงแก่ชีวิต
ส่วนเชือกที่วางอยู่บนพื้น เป็นเพียงสิ่งล่อให้หลี่โม่ก้มหน้าลง เพื่อลดการมองเห็นเท่านั้น
ถึงเชือกพวกนั้นจะเป็นเชือกที่ใช้ทางทหาร แต่มันก็ไม่สามารถมัดจางเจียต้องเอาไว้ได้ นับประสาอะไรกับหลี่โม่ล่ะ เพราะพละกำลังของพวกเขา เหนือขอบเขตของคนปกติไปแล้ว
กู้หยุนหลันกับเฉินเสี่ยวถงมองภาพประหลาดตรงหน้า พวกเธอเบิกตาโต ในแววตาเต็มไปด้วยความตกใจและกังวล
ทั้งสองคนพยายามส่งเสียงเตือนหลี่โม่ แต่มันช้าไปแล้ว
ระยะห่างมันใกล้มาก แถมเล็บทั้งสิบยังเร็วมาก กู้หยุนหลันกับเฉินเสี่ยวถงส่งเสียงออกมาไม่ทัน เล็บทั้งสิบพุ่งมาตรงหน้าหลี่โม่
หูของหลี่โม่กระตุก แค่ได้ยินเสียงลม เขาก็รู้ตำแหน่งของเล็บทั้งสิบแล้ว เขาใช้มือทั้งสองข้างยกเสื้อขึ้นมา เสียงขาดดังขึ้น เสื้อเชิ้ตขาดเป็นสองท่อน
ผ้าส่วนหลังของเสื้อเชิ้ต ถูกดึงขึ้นมาตามแรงของหลี่โม่ เล็บทั้งสิบที่ลอยอยู่กลางอากาศ ถูกห่อเอาไว้ด้วยเสื้อเชิ้ต
หลี่โม่ใช้มือทิ้งเสื้อเชิ้ตที่ขาด จากนั้นจึงโค้งตัวเหมือนเสื้อชีตาห์ และพุ่งตัวเข้าไปหาจางเจียต้องอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า
จางเจียต้องตกใจจนหน้าซีด คิดไม่ถึงว่าหลี่โม่จะรับมือกับวิธีการฆ่าของเขาได้
ก่อนหน้านี้ จางเจียต้องคิดในใจอยู่นาน เขาจินตนาการภาพที่ฆ่าหลี่โม่หลายต่อหลายครั้ง ตอนแรกคิดว่าจะแก้แค้นหลี่โม่ได้ คิดไม่ถึงว่าในช่วงสำคัญ จะเกิดความคลาดเคลื่อนเช่นนี้
หลี่โม่ใช้เสื้อเชิ้ต ป้องกันการฆ่าของเขาได้อย่างไร! นี่ทำให้จางเจียต้องคิดไม่ออกจริงๆ
จางเจียต้องที่สติแตก กำลังจะเอากู้หยุนหลันกับเฉินเสี่ยวถงเป็นตัวประกัน แต่มันสายไปเสียแล้ว
หลี่โม่ใช้หมัดทะลุสายลมพุ่งเข้ามา จางเจียต้องไม่มีโอกาสเอาผู้หญิงสองคนเป็นตัวประกัน
เมื่อต้องเผชิญกับหมัดทั้งสองข้างของหลี่โม่ จางเจียต้องทำได้เพียงถอยเท่านั้น
จางเจียต้องไม่มีความกล้า ที่จะรับหมัดทั้งสองของหลี่โม่ จางเจียต้องคิดว่าถ้าขืนรับหมัดของหลี่โม่ นั่นเป็นการรนหาที่ตายชัดๆ
หลี่โม่ไล่ตามออกไป เขาใช้ขาทั้งสองข้างถีบลงบนเสาศาลา และกระโจนเข้าไปหาคนที่กำลังวิ่งหนีอย่างจางเจียต้อง
จางเจียต้องถอยมาตรงปลายที่เป็นขอบสูง ในขณะที่จนมุม เขาจึงทำได้เพียงกัดฟันสู้ เขาขยับเล็บที่เพิ่งงอกขึ้นมาใหม่ทั้งสองข้าง จากนั้นจึงยื่นแขนพุ่งเข้าไปจับแขนของหลี่โม่
เมื่อเห็นคนที่จนมุมอย่างจางเจียต้อง หลี่โม่แสยะยิ้มออกมา ร่างกายส่วนบนหยุดนิ่งในอากาศ ทันใดนั้นขาของเขาก็เตะออก และกระแทกหน้าอกของจางเจียต้องอย่างแรง
“พรวด!” จางเจียต้องกระอักเลือดออกมา และล้มหงายหลังลงไป ในแววตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ