ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 151 มีเป็นคู่

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 151 มีเป็นคู่

เว่ยเฟิงรู้ว่าน้องสาวชอบกำไลทองประดับเจ็ดอัญมณีที่มักสวมใส่ประจำนั้นมาก แต่ในสายตาของเขา ถึงชอบมากเพียงใดก็เป็นแค่กำไลทอง

คุณหนูลั่วทำให้เขากังวลอยู่นานเพียงเพื่อจะเสนอเงื่อนไขนี้เท่านั้น ทำให้เขารู้สึกละอายใจต่ออีกฝ่าย

เว่ยเฟิงยังไม่วางใจ ถามย้ำอีกครั้ง “คุณหนูลั่วบอกว่าหากข้ามอบกำไลทองประดับเจ็ดอัญมณีที่น้องสาวข้าใส่ประจำให้เจ้า เจ้าก็จะยอมไปเชิญหมอเทวดาให้หรือ”

หญิงสาวที่อยู่ตรงข้ามพยักหน้าอย่างเป็นปกติ “ใช่ ข้าชอบกำไลนั้นมาก แต่น่าเสียดายที่เป็นของท่านหญิง ไม่สะดวกที่จะไปขอ”

ความเย่อหยิ่งเอาแต่ใจนั้น ปรากฏชัดโดยไม่ต้องสงสัย

จู่ๆ เว่ยเฟิงก็ยิ้มออกมา

เขาคิดมากไปแล้ว คุณหนูลั่วยังเป็นเพียงแม่นางน้อย จะมีความคิดซับซ้อนได้อย่างไร

คนที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมาเช่นนี้กลับยิ่งดูน่ารัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตกลงยอมช่วยเหลือเพียงเพราะกำไลวงเดียว

“แต่ต้องตกลงกันก่อน ข้าจะทำอย่างเต็มที่ แต่จะเชิญหมอเทวดาได้หรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับโชควาสนาแล้ว”

เว่ยเฟิงยิ้มเฝื่อนๆ “ย่อมเป็นเช่นนั้น”

ในความเห็นของเขา หากคุณหนูลั่วสามารถเชิญหมอเทวดาได้สองครั้งก็สามารถเชิญครั้งที่สามได้

หากคราวนี้ไม่สามารถเชิญหมอเทวดาได้ ก็บอกได้แค่ว่านางตั้งใจทำอย่างส่งๆ เท่านั้น

คุณหนูลั่วคงไม่หลอกเอากำไลของน้องสาวเขาไปเปล่าๆ หรอกกระมัง

แต่ตอนนี้ยังไม่สามารถพูดคำเหล่านี้ได้ ทำเช่นนั้นจะดูใจแคบเกินไป

“ท่านอ๋องน้อยเข้าใจในข้อนี้ก็ดีแล้ว” ลั่วเซิงหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบคำหนึ่ง

เว่ยเฟิงไม่มีอารมณ์มารอให้นางค่อยๆ ดื่มชา เอ่ยเร่งว่า “คุณหนูลั่วช่วยตามข้าไปหาหมอเทวดาตอนนี้เลยได้หรือไม่”

หมอเทวดาอาศัยอย่างสันโดษในเขตชานเมืองหลวง การเดินทางไปกลับต้องใช้เวลานานโข

เขารอได้ แต่เสด็จพ่อของเขารอไม่ได้

ลั่วเซิงมองเขาแวบหนึ่ง ท่าทางประหลาดใจมาก “ไปหาหมอเทวดาต้องเตรียมตัวก่อน หากไปมือเปล่าคงถูกไล่ตะเพิดออกมา”

เว่ยเฟิงไม่วายกระดากอาย ยกชาขึ้นจิบราวกับจะปกปิดความอายนั้น “ควรเตรียมตัวจริงๆ ไม่ทราบว่าคุณหนูลั่วจะใช้เวลาเตรียมตัวนานเท่าใด”

ลั่วเซิงคลี่ยิ้มบางๆ “เมื่อท่านอ๋องน้อยส่งคนกลับจวนอ๋องไปนำกำไลนั้นมาแล้ว ข้าก็คงเตรียมตัวพร้อมพอดี”

เว่ยเฟิงกระตุกมุมปากแล้วยืนขึ้น “ถ้าอย่างนั้นข้าจะกลับจวนอ๋องสักรอบ คุณหนูลั่วโปรดรอสักครู่”

ลั่วเซิงพยักหน้าเล็กน้อย “ท่านอ๋องน้อยเดินทางปลอดภัย”

เว่ยเฟิงสั่งให้พ่อบ้านรออยู่ในจวนตระกูลลั่ว ส่วนตัวเองรีบควบม้ากลับจวนผิงหนานอ๋อง

ขณะนี้ในจวนผิงหนานอ๋องถูกปกคลุมไปด้วยเมฆดำมืด บรรยากาศอึมครึม

“เสด็จพ่อของข้าเป็นอย่างไรบ้าง” เว่ยเฟิงกระโดดลงจากหลังม้าแล้วเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเขามาถึงทางเข้าเรือนหลักก็ถามพ่อบ้านอีกคนที่เฝ้าอยู่ที่นั่น

“หมอหลวงหลายท่านปรึกษาหารือกันอยู่ตลอด แต่ไม่มีผู้ใดกล้าดึงลูกธนูออกมา”

ถึงแม้จะไม่โดนเข้าที่หลังหัวใจ แต่เมื่อดึงลูกธนูออกแล้วก็อาจทำให้เลือดออกมาก ผู้บาดเจ็บอาจเสียชีวิตได้ทันที

หลังจากที่เว่ยเฟิงได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของเขาก็มืดมนมากขึ้นเรื่อยๆ

รู้อยู่แล้วว่าหมอหลวงเหล่านี้ดีแต่เสพสุขทำงานไม่ได้เรื่อง!

“พี่รอง เชิญหมอเทวดามาได้หรือไม่” เว่ยเหวินยืนเฝ้าอยู่ที่โถงทางเดิน เมื่อเห็นเว่ยเฟิงก็เหมือนเห็นดาวช่วยชีวิต หยาดน้ำตาร่วงเผาะ

“เสด็จแม่ล่ะ” เว่ยเฟิงเอ่ยถาม เขาไม่มีเวลามาสนใจปลอบโยนน้องสาวที่หลั่งน้ำตานองหน้า

เว่ยเหวินพูดเสียงสะอื้น “เสด็จแม่เฝ้าเสด็จพ่อเกือบทั้งคืน เมื่อครู่เพิ่งทนไม่ไหวเป็นลมหมดสติไป ถูกส่งกลับไปพักผ่อนที่ห้องแล้ว”

นางไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใดถึงกลายเป็นเช่นนี้

เมื่อวานตอนกลางวันทุกอย่างยังปกติดีอยู่แท้ๆ แต่พอตกกลางคืนเหมือนท้องฟ้าจะถล่มลงมา…

“พี่รอง ไม่ได้เชิญหมอเทวดามาหรือ” เมื่อไม่เห็นเงาของหมอเทวดา ใบหน้าของเว่ยเหวินก็ซีดขาวราวกับกระดาษ

เว่ยเฟิงเหลือบมองคนรับใช้ทั้งซ้ายและขวา ดึงเว่ยเหวินไปที่มุมหนึ่งแล้วกระซิบ “ข้าเชิญหมอเทวดามาไม่ได้ แต่คุณหนูลั่วรับปากว่าจะช่วย”

“คุณหนูลั่ว?”

“อืม เมื่อก่อนคุณหนูลั่วเคยไปเชิญหมอเทวดามารักษาพ่อของนางไม่ใช่หรือ ข้าจึงได้นึกถึงนาง”

“แล้วเหตุใดพี่รองถึงกลับมาล่ะ” เว่ยเหวินคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกัดริมฝีปาก “หรือว่าคุณหนูลั่วมีเงื่อนไขอะไร”

จากความเข้าใจของนางเกี่ยวกับลั่วเซิง อีกฝ่ายไม่ได้มีจิตใจดีนัก

เว้นแต่…เว่ยเหวินเหลือบมองเว่ยเฟิงทันที

หรือว่าลั่วเซิงถูกใจพี่รองของนาง

การคาดเดานี้ทำให้สีหน้าที่ขาวซีดของนางเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ โกรธจนปลายนิ้วสั่นระริก

ช่างเป็นหญิงแพศยาไร้ยางอายจริงๆ ถึงกับกล้ามาฉวยโอกาสกับพี่ชายของนางในยามหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้!

เว่ยเฟิงไม่รู้ว่ายามนี้น้องสาวกำลังคิดไปในทิศทางเดียวกับเขาในตอนนั้น พยักหน้าแล้วพูดว่า “นางมีเงื่อนไขข้อหนึ่งจริง นางต้องการกำไลทองของน้องหญิง”

เว่ยเหวินตกตะลึง คิดว่าตัวเองฟังผิดไป “กำไลทองหรือ”

เว่ยเฟิงชี้ไปที่ข้อมือของเว่ยเหวิน “ที่น้องหญิงสวมใส่อยู่อย่างไรล่ะ”

เว่ยเหวินยกมือขึ้นอย่างอดไม่ได้

ข้อมือขาวโพลนราวกับหิมะ กำไลทองประดับเจ็ดอัญมณีที่เปล่งประกายแวววาวเลื่อนลงมา

เว่ยเฟิงตกตะลึง

ต้องบอกว่านี่เป็นกำไลทองที่งดงามมาก และอัญมณีเจ็ดสีนั้นยิ่งหาได้ยากกว่า

มิน่าเล่าคุณหนูลั่วเห็นแล้วถึงได้ชอบนัก

“คุณหนูลั่วต้องการกำไลนี้ของข้า?” เว่ยเหวินค่อยๆ หมุนกำไล

เว่ยเฟิงปลอบใจ “ต่อไปพี่รองจะหาอันที่ดีกว่านี้ให้เจ้าใหม่”

เว่ยเหวินสั่นศีรษะ “กำไลทองเช่นนี้มีเพียงคู่เดียวในโลก วงหนึ่งอยู่ในมือของข้า ส่วนอีกวงอยู่กับอวี้เสวี่ยนซื่อผู้เป็นสนมขององค์รัชทายาท”

กำไลคู่นี้แต่เดิมเป็นของท่านหญิงชิงหยาง

ตอนนั้นนางยังเด็ก บัดนี้นางไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับท่านหญิงชิงหยางหลงเหลืออยู่เลย แต่หลังจากนั้นอีกหลายปีนางก็ได้เห็นขบวนสินเดิมยาวนับสิบลี้ของท่านหญิงชิงหยางที่บ้านของตนเอง ซึ่งเป็นที่น่าตื่นตะลึงยิ่งนัก

กำไลนี้นางรู้สึกชอบตั้งแต่แรกเห็น นางรบเร้าขอจากพี่ใหญ่ที่ในขณะนั้นยังไม่ได้เป็นองค์รัชทายาท

โชคดีที่กำไลทองประดับเจ็ดอัญมณีคู่นี้ไม่ใช่สิ่งที่ท่านหญิงชิงหยางสวมใส่เป็นประจำ เป็นเพียงคู่ธรรมดาในบรรดาเครื่องประดับละลานตาน่าหลงใหลในกองสินเดิมเท่านั้น

ถ้าไม่อย่างนั้น พี่ใหญ่คงไม่ยอมมอบวงหนึ่งให้นางอย่างแน่นอน

เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ เว่ยเหวินก็นึกถึงอวี้เสวี่ยนซื่ออีกครั้งแล้วนึกรังเกียจในใจ

นางเป็นเพียงสาวใช้ที่ต่ำต้อย มักวางท่าสูงส่งสง่างามเหนือผู้คน แต่ก็ยังโลภสิ่งของที่ท่านหญิงชิงหยางทิ้งไว้เช่นกัน

ไม่เช่นนั้นกำไลอีกวงก็ต้องตกเป็นของนางเหมือนกัน

ตอนที่เว่ยเหวินขอกำไลทองนี้นางอายุแปดเก้าขวบแล้วจึงจดจำเรื่องนี้ได้ขึ้นใจ

เมื่อได้ยินสิ่งที่เว่ยเหวินพูด เว่ยเฟิงก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง

คุณหนูลั่วสายตาแหลมคมจริงๆ

เว่ยเหวินถอดกำไลข้อมือออกแล้ววางลงในมือของเว่ยเฟิง “พี่รองนำไปมอบให้คุณหนูลั่วเถอะ”

“น้องหญิง…”

เว่ยเหวินยิ้ม “ไม่มีอะไรสำคัญเท่ากับเสด็จพ่อแล้ว พี่รองรีบไปเถอะ อย่ามัวเสียเวลาเลย”

“ได้” เว่ยเฟิงเก็บกำไลใส่ในอกเสื้ออย่างระมัดระวังแล้วรีบมุ่งหน้าไปยังจวนแม่ทัพใหญ่ทันที

เว่ยเหวินยืนอยู่ที่โถงทางเดิน ยืนนิ่งไม่ไหวติงเป็นเวลานาน

นางพูดถูก ไม่ว่ากำไลจะดีเพียงใดก็ไม่สำคัญเท่ากับชีวิตของเสด็จพ่อ

แต่นึกอยากจะแย่งของนางไปได้ก็แย่งไปเช่นนั้นหรือ ลั่วเซิงเห็นนางเป็นตัวอะไรกันแน่

วันเวลายังอีกยาวไกล สิ่งที่แย่งนางไป นางจะต้องเอากลับคืนมาไม่ช้าก็เร็ว

จวนตระกูลลั่ว

“คุณหนูลั่ว เจ้าดูว่าใช่หรือไม่” เว่ยเฟิงหอบแฮ่กๆ ขณะยื่นกำไลทองให้นาง

ลั่วเซิงเอื้อมมือออกไปรับมาแล้วค่อยๆ หมุนกำไลดู

อัญมณีที่ฝังอยู่บนกำไลมีแสงแวววาวเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ตลอดเวลา

นางทอดสายตาไปยังจุดหนึ่ง ร่องรอยของความเสียใจวาบผ่านดวงตา

ไม่ใช่วงนี้

เดิมมีกำไลทองประดับเจ็ดอัญมณีอยู่คู่หนึ่ง ซึ่งเหมือนกันทุกประการ มีเพียงนางกับเสด็จพ่อที่มอบกำไลคู่นั้นให้นางเท่านั้น ถึงจะบอกความแตกต่างได้

จริงสิ หนึ่งในสี่สาวใช้ที่ดูแลเสื้อผ้าและเครื่องประดับของนางก็รู้เช่นกัน

สิ่งที่นางต้องการคือกำไลทองประดับเจ็ดอัญมณีอีกวงหนึ่ง

สิ่งที่น่าสงสัยคือ เหตุใดท่านหญิงน้อยถึงสวมใส่เพียงวงเดียว ส่วนอีกวงหนึ่งหายไปงั้นหรือ

ลั่วเซิงตีหน้าเสียดาย “กล่าวกันว่าถ้าได้กำไลมาเป็นคู่ถึงจะดี”

เมื่อได้ยินถึงตรงนี้เว่ยเฟิงก็ตกใจ

หญิงผู้นี้ช่างละโมบไม่รู้จักพอ!

“อีกวงหนึ่งไม่ได้อยู่ในมือน้องสาวข้า คุณหนูลั่วโปรดอย่าทำให้ข้าลำบากใจเลย”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท