ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 152 สิ่งของที่ชื่นชอบ

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 152 สิ่งของที่ชื่นชอบ

เมื่อได้ยินคำพูดของเว่ยเฟิง ลั่วเซิงก็หวั่นไหว

อีกวงหนึ่งไม่ได้อยู่ในมือน้องสาวข้า…แบบนี้ ผิงหนานอ๋องซื่อจื่อรู้ว่าอีกวงหนึ่งอยู่ในมือใครหรือ

นางตัดสินใจสอบถาม

“อีกวงหนึ่งอยู่ในมือใครหรือ”

เว่ยเฟิงไหนเลยจะมีกะใจมาพูดเรื่องพวกนี้ เขาขมวดคิ้วเอ่ยเร่งว่า “คุณหนูลั่ว อาการของเสด็จพ่อข้านั้นแย่มาก พวกเรารีบไปเชิญท่านหมอเทวดากันเถอะ”

“ก็ได้” ลั่วเซิงหยิบกล่องที่วางอยู่ตรงนั้นขึ้นมา “ไปกันเถอะเจ้าค่ะ”

เว่ยเฟิงมองกล่องใบนั้นหลายครั้งอย่างอดไม่ได้

กล่องสี่เหลี่ยมสีแดงเข้มมองดูแล้วธรรมดามาก

“นี่คือของขวัญที่จะมอบให้ท่านหมอเทวดาหรือ” เขาถามขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่

ลั่วเซิงกวาดตามองเขาแวบหนึ่งแล้วเอ่ยเรียบๆ ว่า “ท่านอ๋องน้อยรีบไม่ใช่หรือ อย่าได้ถามให้มากความเลย”

เว่ยเฟิงชะงัก แต่ก็บันดาลโทสะออกมาไม่ได้

เมื่อเดินไปถึงนอกประตูจวนแม่ทัพใหญ่ก็เห็นลั่วเซิงรับบังเหียนที่คนรับใช้ยื่นมาให้ เว่ยเฟิงประหลาดใจเล็กน้อย “คุณหนูลั่วจะขี่ม้าหรือ”

ลั่วเซิงพลิกร่างขึ้นไปนั่งหลังตรงอยู่บนหลังมาแล้วเอ่ยนิ่งๆ ว่า “ไม่ใช่ว่าจะรีบไปหาท่านหมอเทวดาหรือ ข้าเป็นคนที่เห็นผู้อื่นลำบากก็พยายามหาวิธีช่วยเหลือน่ะเจ้าค่ะ”

เว่ยเฟิงมุมปากกระตุก

หากไม่ใช่ว่าเมื่อครู่เอ่ยว่าต้องการกำไลทองกับเขา เขาก็เกือบจะเชื่อแล้ว

ทว่าคุณหนูลั่วเลือกขี่ม้าไปก็อยู่เหนือความคาดหมายของเขาอยู่ดี

เว่ยเฟิงกวาดตามองกล่องสีแดงที่ถูกลั่วเซิงถือไว้ด้วยมือข้างเดียว ก็ไม่ค่อยวางใจ “ไม่สู้ให้ข้าถือเถอะ”

เขาไม่รู้เกี่ยวกับฝีมือในการขี่ม้าของคุณหนูลั่ว แต่สตรีที่มีฝีมือในการขี่ม้าดีนั้นมีเพียงหนึ่งในหมื่น หากว่าทำกล่องร่วงลงไปแล้วต้องเสียเวลาในการเชิญท่านหมอเทวดา ก็แย่แน่

ลั่วเซิงคร้านจะพูดจาไร้สาระจึงกระตุกบังเหียนขี่ม้าทะยานออกไปในทันที

เว่ยเฟิงตะลึง ถึงนึกขึ้นได้ว่า คุณหนูลั่วไม่เหมือนกับสตรีทั่วไป

นี่คือสตรีเสเพลที่พอเห็นบุรุษหน้าตาหล่อเหลาก็ลงมือฉุดคร่าคนกลับจวนด้วยตัวเองเชียวนะ

มีฝีมือในการขี่ม้าก็คล้ายจะไม่แปลกประหลาดอะไรแล้ว

เว่ยเฟิงรีบตามไปทันที

เมื่อเห็นเว่ยเฟิงตามมาแล้ว ลั่วเซิงก็หันหน้ากลับไปเอ่ยโดยไม่ลดความเร็วว่า “ท่านอ๋องน้อยยังไม่ได้บอกข้าเลยนะเจ้าคะว่า กำไลทองประดับเจ็ดอัญมณีอีกวงอยู่ในมือของใคร”

เว่ยเฟิงทั้งจนใจ ทั้งหมดวาจาจะกล่าว “เหตุใดคุณหนูลั่วถึงได้สนใจในเรื่องนี้นัก”

ลั่วเซิงส่งสายตา ‘ท่านโง่หรือเปล่า’ ไปให้ “แน่นอนว่าเป็นเพราะข้าชอบกำไลนี่ แม้นว่ามีเงินทองมากมายก็ยากที่จะซื้อได้ ข้ายอมใช้กำไลที่ชื่นชอบวงนี้เป็นเงื่อนไขในการเชิญท่านหมอเทวดา ไม่ใช่เพราะชอบ แต่เป็นเพราะว่างจนเบื่อหน่ายหรือเจ้าคะ”

เว่ยเฟิงถูกทำให้สำลักจนพูดไม่ออก สายตามองไปยังข้อมือที่ถือกล่องเอาไว้ของนาง

กำไลทองประดับเจ็ดอัญมณีที่มีประกายแสงหลากสีระยิบระยับถูกสวมลงบนข้อมือของคุณหนูลั่ว หลังจากที่เขามอบให้

ข้อมือของดรุณีน้อยขาวดุจหิมะ กำไลทอประกายระยิบระยับ มองดูแล้วก็เหมาะสมยิ่ง

เว่ยเฟิงหลุดหัวเราะอย่างอดไม่ได้

เขาไม่ควรอาศัยความคิดของบุรุษไปคาดเดาความคิดของสตรีผู้หนึ่ง

ในสายตาเขา กำไลวงหนึ่ง ต่อให้ล้ำค่ากว่านี้ มันก็แค่นั้นเอง แต่สำหรับสตรีผู้หนึ่ง อาจจะสามารถนำของล้ำค่ามากมายมาแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่ชอบได้

น้องสาวก็คิดแบบนี้เช่นกันไม่ใช่หรือ

เว่ยเฟิงนึกถึงเว่ยเหวินแล้วก็เกิดความรู้สึกละอายขึ้นในใจหลายส่วน แล้วนึกถึงเว่ยเชียงต่อ

น้องสาวบอกว่า กำไลอีกวงหนึ่งอยู่ที่ซื่อเชี่ยของพี่ใหญ่

แม้ว่าจะเป็นน้องสาวแต่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะไปขอของของซื่อเชี่ย[1] ขององค์รัชทายาท คุณหนูลั่วนั้นยิ่งไม่มีเหตุผลยิ่งกว่า

เขาดึงความคิดกลับมาแล้วเอ่ยว่า “อีกวงหนึ่งอยู่ในมือซื่อเชี่ยขององค์รัชทายาท”

ซื่อเชี่ยขององค์รัชทายาทหรือ

ลั่วเซิงมือกุมบังเหียนแน่น เพลิงโทสะในใจพุ่งสูง

เว่ยเชียงนั้นเยี่ยมจริงๆ

กำไลซึ่งเป็นสินเดิมของนาง วงหนึ่งมอบให้น้องสาว อีกวงหนึ่งมอบให้อนุภรรยา ทำไมเขาไม่มอบให้มารดาแท้ๆ ด้วยอีกวงหนึ่งเลยล่ะ

ลั่วเซิงข่มเพลิงโทสะที่ปั่นป่วนลงไปแล้วเอ่ยระคนเสียใจว่า “ดูแล้วคงจะไม่สามารถนำมารวมกันเป็นคู่ได้แล้ว สามารถทำให้องค์รัชทายาทมอบกำไลของท่านหญิงให้ได้เช่นนี้ คิดว่าซื่อเชี่ยผู้นั้นคงจะได้รับความสำคัญจากองค์รัชทายาทอย่างลึกซึ้งนะเจ้าคะ”

“เรื่องภายในตำหนักองค์รัชทายาท ข้าก็ไม่ค่อยรู้แน่ชัดเท่าใด” เว่ยเฟิงตอบอย่างคลุมเครือ

เป็นน้องชาย แสดงความเห็นเชิงวิจารณ์นางสนมนางกำนัลของผู้เป็นพี่ชายนั้นไม่เหมาะสม ยิ่งกว่านั้นพี่ชายก็มีฐานะเป็นถึงว่าที่ผู้สืบบัลลังก์ด้วย

เมื่อเห็นเว่ยเฟิงไม่ปรารถนาที่จะพูด ลั่วเซิงก็ไม่ถามอีก แต่จดจำเอาไว้ในใจเงียบๆ

ใครเป็นผู้ครอบครองกำไลอีกวงหนึ่งของนาง นางจะต้องตรวจสอบให้แน่ชัดแน่นอน

ทั้งสองคนไม่ได้สนทนากันอีก แต่เร่งมุ่งหน้าไปยังสถานที่อาศัยของหมอเทวดาให้เร็วที่สุด

หน้าประตูโรงน้ำชาว่างเปล่า ไร้ผู้คนแล้ว

ถึงยามนี้ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลที่มาเสียเที่ยวหรือว่าโชคดีเชิญหมอเทวดาได้นั้นแยกย้ายกันไปหมดแล้ว

“หมอเทวดาจะออกไปรักษาคนไข้นอกสถานที่หรือไม่” ลั่วเซิงนั่งอยู่บนหลังมา ขณะมองประตูใหญ่ที่ปิดสนิท

เว่ยเฟิงกระโดดลงจากหลังม้า “ไม่หรอก ข้าส่งคนมาเฝ้าที่นี่ไว้ตลอด หากท่านหมอเทวดาออกไปข้างนอกก็จะมารายงานข้าทันที”

ลั่วเซิงพลิกตัวลงจากม้าแล้วเดินไปเคาะประตู

ประตูถูกเปิดออกอย่างรวดเร็ว เด็กที่เฝ้าประตูเห็นว่าเป็นลั่วเซิงก็ตะลึง “คุณหนูลั่วหรือขอรับ”

ลั่วเซิงยิ้มบางๆ “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะยังจำข้าได้”

เด็กที่เฝ้าประตูเม้มปาก

จะจำไม่ได้ได้อย่างไร แม่นางผู้นี้โหดเหี้ยมมาก ยังทั้งถือแส้มาขู่เขาด้วย

เขามองไปทางเว่ยเฟิงซึ่งอยู่ด้านข้างลั่วเซิง “ซื่อจื่อหรือ ทำไมท่านถึงได้มาอีกล่ะขอรับ”

“พวกข้ามา…”

ลั่วเซิงเอ่ยต่อจากวาจาของเว่ยเฟิงด้วยท่าทางสงบนิ่ง “ข้ามาเยี่ยมเยียนท่านหมอเทวดา”

เด็กที่เฝ้าประตูยันกรอบประตู ขวางทางเอาไว้ “ขอโทษด้วยขอรับ วันนี้เลยเวลาไปแล้ว คุณหนูลั่วคิดจะเชิญท่านหมอเทวดา ค่อยมาใหม่ในวันพรุ่งนี้เถอะ”

ลั่วเซิงยังคงมีสีหน้าสงบนิ่ง “ข้ามาเยี่ยมท่านหมอเทวดา ไม่ได้มาต่อแถวขอรับการตรวจโรค รบกวนเจ้าเข้าไปแจ้งกับท่านหมอเทวดาว่า คุณหนูลั่วมาเยี่ยม”

เมื่อเห็นเด็กรับใช้ที่เฝ้าประตูไม่สะทกสะท้าน ลั่วเซิงก็มีสีหน้าเย็นเยียบ “ข้ารู้ว่าเจ้ามีหน้าที่เฝ้าประตูและจัดแถวผู้ที่จะขอรับการตรวจโรค ทำไม แขกของท่านหมอเทวดา เจ้าก็รับผิดชอบคัดกรองด้วยหรือ ไม่จำเป็นจะต้องรายงานท่านหมอเทวดาก็สามารถไล่คนออกไปได้เลยเช่นนั้นหรือ”

เงามืดจากการถูกลั่วเซิงทำให้หวาดกลัวของเด็กรับใช้ที่เฝ้าประตูยังคงอยู่ เมื่อเห็นนางเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชาก็หนังศีรษะชาวาบทันที จึงรีบเอ่ยว่า “เช่นนั้นทั้งสองท่านโปรดรอประเดี๋ยว ข้าน้อยจะไปรายงานท่านหมอเทวดาขอรับ”

รายงานนั่นก็แค่รายงาน คุณหนูลั่วนึกว่าสามารถเชิญท่านหมอเทวดาได้ครั้งหนึ่งแล้ว จะมีเกียรติมากสินะ

ตอนนี้หมอเทวดาหลี่กำลังจัดการดูแลสวนสมุนไพรอยู่

วันหนึ่งเขาจะตรวจโรคให้กับผู้มาหาหมอแค่สามคน หากไม่ได้มีอันตรายถึงแก่ชีวิต เรื่องเวลาก็จะทำตามที่เขาจัดสรร

“ท่านหมอเทวดา คุณหนูลั่วมาเยี่ยมท่านขอรับ”

เด็กรับใช้ที่เฝ้าประตูรายงานจบก็กำลังรอให้หมอเทวดาหลี่พูดว่า ไม่พบ แต่คิดไม่ถึงว่า หมอเทวดาหลี่จะครุ่นคิดแล้วก็วางที่บดยาลงแล้วลุกขึ้น “ให้นางเข้ามา”

ดวงตาของเด็กรับใช้ที่เฝ้าประตูเบิกกว้างมาก ลืมขยับตัวไปชั่วขณะ

“หือ?” หมอเทวดาหลี่มุ่นคิ้ว รู้สึกเพียงแค่ว่า คนเฝ้าประตูมีปฏิกิริยาตอบสนองช้าลงมากก็เท่านั้น

เด็กรับใช้ที่เฝ้าประตูได้สติคืนมาจึงรีบไปถ่ายทอดวาจา

“คุณหนูลั่ว ท่านหมอเทวดาเชิญท่านเข้าไปขอรับ”

เว่ยเฟิงตะลึงมองลั่วเซิง

กล่าวตามตรง ตั้งแต่ที่เด็กรับใช้ที่เฝ้าประตูเข้าไปรายงาน เขาก็กังวลจนมือชื้นเหงื่อตลอดเวลา กลัวว่ากระทั่งหน้าของท่านหมอเทวดาก็จะไม่ได้พบ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องของขวัญที่นำมาด้วยว่าจะสามารถทำให้ท่านหมอเทวดาประทับใจได้หรือไม่เลย

ลั่วเซิงยังคงมีท่าทางสบายๆ ยกชายกระโปรง ก้าวเท้าเข้าไป

เว่ยเฟิงตามเข้าไปด้วย เมื่อเข้าไปในเรือนก็ถูกเด็กรับใช้ที่เฝ้าประตูรั้งเอาไว้ “ซื่อจื่อ ท่านสามารถนั่งรออยู่ที่ม้าหินใต้ต้นไม้นี้ได้ขอรับ ท่านหมอเทวดาบอกว่าจะพบแค่คุณหนูลั่วคนเดียว”

เว่ยเฟิงนั่งหน้าทะมึนอยู่ใต้ต้นไม้คนเดียว

ว่าแล้วเชียวว่าไม่ได้กังวลเสียเปล่า เขายังคงไม่ได้พบกับท่านหมอเทวดา!

ภายในห้อง หมอเทวดาหลี่ลูบถ้วยชา ขณะมองดรุณีน้อยเดินเข้ามา

“มาเยี่ยมตาเฒ่าอย่างข้าทำไมหรือ”

ลั่วเซิงมองเด็กรับใช้ที่เฝ้าประตูแวบหนึ่ง

หมอเทวดาหลี่โบกมือเป็นสัญญาณให้เด็กรับใช้ที่เฝ้าประตูถอยออกไป

เมื่อไม่มีคนที่ไม่เกี่ยวข้อง ลั่วเซิงก็วางกล่องสีแดงลงตรงหน้าหมอเทวดาหลี่

หมอเทวดาหลี่ปรายตามองแวบหนึ่ง “วันนี้ข้าไม่รับการตรวจรักษาโรคอีกแล้ว เจ้านำของขวัญกลับไปเถอะ”

ลั่วเซิงยิ้มบางๆ “ไม่ใช่ของขวัญ เป็นแค่อาหารไม่กี่อย่างในหอสุราของข้าที่ตั้งใจนำมาให้ท่านลองชิมเท่านั้นเอง”

[1] ซื่อเชี่ย หมายถึง สาวใช้ในบ้านฝ่ายชายที่ได้เคยปรนนิบัติเรื่องบนเตียงแล้วถูกยกขึ้นเป็นอนุภรรยา

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท