ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 91 โอ้สวรรค์ นี่มันน่าตื่นเต้นมาก!

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 91 โอ้สวรรค์ นี่มันน่าตื่นเต้นมาก!

บทที่ 91 โอ้สวรรค์ นี่มันน่าตื่นเต้นมาก!

เมฆขาวเหนือหมู่บ้านต้าสี่ค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วยเมฆสีดำ สายลมที่พัดเอื่อยกลายเป็นสายลมมืดดำ และดูเหมือนว่ามีบางอย่างผุดออกมาจากดินสีดำอันเงียบสงบนั่น

เมื่อเผชิญหน้ากับฉากนี้ ดวงตาของเด็กชายอ้วนตัวน้อยก็เบิกกว้างขึ้น เขารีบจิบชานมในมือ

มือเน่าคู่หนึ่งคว้าข้อเท้าของเด็กชายอ้วนตัวน้อยอย่างรวดเร็ว

“อะไรเนี่ย!” เด็กชายอ้วนแทบจะสำลักชานม จึงรีบใช้เท้าอีกข้างกระทืบมือเน่าที่จับข้อเท้าของเขาอยู่

ขณะที่ตนแรกถูกจัดการ ศพเน่าเปื่อยอีกตนก็โผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน ก่อนจะกระโจนเข้าใส่เด็กชายอ้วนตัวน้อย

เขาไม่ใช่คนเดียวที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ ยกเว้นสามคนที่หายตัวไป ทั้งเก้าคนในกลุ่มก็ล้วนถูกโจมตีโดยศพเน่าเปื่อยอันน่าสะพรึงกลัวที่ซ่อนอยู่ใต้ดินเช่นกัน

หลุมศพที่อยู่ตรงหน้าผู่ตานและเด็กชายหัวล้านตัวน้อยถูกเปิดจากใต้ดินด้วยมือเน่าเปื่อยคู่หนึ่ง เมื่อมันเห็นคนมีชีวิต ศพนั้นก็ทำเสียงเหมือนตื่นเต้น ซึ่งมันเคลื่อนตัวเร็วกว่าซากศพตัวอื่นมาก

แส้ไฟถูกฟาดไปยังศพเน่าเปื่อยที่กำลังกระโจนเข้ามา ศพที่เน่าเปื่อยนั้นบอบบางเหมือนกระดาษ และขาดกระจุยเป็นชิ้น ๆ ด้วยแส้ไฟ จากนั้นภาพที่น่าตื่นตาก็พลันปรากฏขึ้น

ศพและกระดูกที่ถูกเผาไหม้ดูเหมือนยังไม่ตาย พวกมันดิ้นพล่าน ก่อนจะกลับมารวมร่างกันใหม่อีกครั้งต่อหน้าต่อตาผู่ตาน

ศพเน่าเปื่อยมีขนาดใหญ่กว่าเดิม มีอวัยวะและกระดูกที่แตกต่างกันปรากฏขึ้น!

“นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน!”

อวี้เจินที่ถูกล้อมรอบก็พบกับสถานการณ์เดียวกัน ด้วยกลิ่นเน่าเหม็นจากศพที่กลับมารวมร่างกัน ทำให้นางแทบจะอาเจียน

หลายสิบหัวประสานกัน หลายร้อยมือพลันโบก ขานับไม่ถ้วนล้วนวิ่งมาหานาง จนพื้นดินสั่นสะเทือนพร้อมกันกับเสียงกรีดร้องอันไม่พึงประสงค์ก็ดังขึ้น

แสงสีทองปกคลุมทั่วร่างกายของอวี้เจินก่อนจะกระโดดขึ้น ทันใดนั้นหมัดสีทองขนาดใหญ่ของนางก็กระแทกเข้ากับซากศพยักษ์

ทว่าคราวนี้แตกต่างจากสถานการณ์ก่อนหน้า ตรงที่ซากศพยักษ์ถูกจัดการได้ด้วยหมัดเดียว มันยกมือจำนวนนับไม่ถ้วนปัดป้องหมัดของอวี้เจินสุดกำลัง และดวงตาที่ปิดสนิทหลายสิบคู่ของมันก็เปิดขึ้น

ซากศพยักษ์ไม่มีลูกตา หากแต่อวี้เจินกลับรู้ว่ามันกำลังจ้องมองอยู่ ซึ่งทำให้นางเกิดความกลัวและรู้สึกเหมือนถูกกดดันอย่างไม่มีสาเหตุ

เป็นความรู้สึกว่านางต้องการรวมร่างกับพวกมันเสียด้วยซ้ำ

ทันใดนั้นเสียงพิณอันไพเราะก็ดังขึ้นในหมู่บ้านต้าสี่ พลันทำให้จิตใจสับสนของทุกคนแจ่มชัดดังเดิม

ลู่เป่ยเหยียนที่เกือบจะถูกจับได้รีบถอยหลังอย่างรวดเร็วด้วยความกลัว เขาเหวี่ยงกระบี่ยาวสีแดงเข้มใส่ซากศพยักษ์ที่รวมร่างกัน และรีบเคลื่อนตัวไปหาเด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นขณะเล่นกู่ฉิน*[1]

คนอื่น ๆ ที่ต่อสู้อยู่ก็รีบถอยกลับไปหาเด็กหญิงตัวน้อยเช่นกัน ก่อนจะสร้างการป้องกันเป็นวงกลม เพื่อปกป้องนางจากการถูกรบกวน

“ในหมู่บ้านต้าสี่มีคนไม่มากนักใช่หรือไม่?” ลู่เป่ยเหยียนขยับเข้าใกล้ว่านอวี้เฟิงด้วยสีหน้าจริงจัง

“ในหมู่บ้านมีห้าสิบแปดครัวเรือน รวมทั้งหมดเป็นหนึ่งร้อยห้าสิบหกคน”

แต่จากที่พวกเขามองด้วยตาเปล่า ตอนนี้มันจะต้องมีซากศพมากกว่าร้อยศพแน่ ๆ ช่างน่าแปลกนัก!

“ไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับศิษย์น้องห้า ศพเน่าที่นางจะต้องเผชิญมันจะมีระดับสูงกว่านี้หรือไม่?”

หลิงเยว่ผู้ที่ว่านอวี้เฟิงกำลังเป็นห่วงตอนนี้ อยู่ในสถานการณ์ที่น่าสังเวชเช่นกัน เด็กสาวกำลังรีบวิ่งหนีเพื่อเอาชีวิตรอด

สิ่งที่ไล่ตามนางต่างจากตัวที่อยู่ข้างนอก มันเป็นโครงกระดูกที่ปกคลุมไปด้วยมวลพลังสีดำ โม่จวินเจ๋อและติงหลิวหลิ่วที่เข้ามาพร้อมกันน่าจะถูกย้ายไปอยู่จุดอื่นเสียแล้ว

มือโครงกระดูกสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนผุดออกมาจากพื้น แล้วคว้าหลิงเยว่ที่กำลังวิ่งอยู่อย่างดุเดือด ก่อนที่นางจะเสียหลักและล้มลงบนพื้น ทำให้หน้าของเด็กสาวอยู่ในระยะประชิดกับกะโหลกมนุษย์ที่โผล่ขึ้นมาจากพื้นพอดีและหัวของทั้งสองก็ชนกัน

โป๊ก!

สิ้นเสียงกระทบของทั้งสอง หลิงเยว่ก็รู้สึกเวียนหัวขึ้นมา อย่างไรก็ตามเมื่อรู้สึกว่าเสื้อคลุมของตนเองถูกคว้า นางก็รีบกระโดดขึ้น ก่อนจะบดขยี้กระดูกที่เปราะแล้ววิ่งหนีไปทั้งน้ำตา

ตอนนี้นางไม่มีทางจัดการกับพวกมันได้จริง ๆ ยกเว้นเสียแต่การวิ่งหนีเอาชีวิตรอดเท่านั้น เพราะ… ปราณไม่สามารถใช้ที่นี่ได้!

สิ่งนี้ทำให้นางนึกถึงพื้นที่ต้องห้ามที่อยู่ลึกเข้าไปในภูเขาด้านหลัง ซึ่งที่นั่นจะใช้ปราณไม่ได้เช่นเดียวกัน

หากไม่มีปราณก็ทำอะไรไม่ได้

ติงหลิวหลิ่วอยู่ในสถานการณ์เดียวกับหลิงเยว่ นางพยายามวิ่งไปหาจุดที่หลิงเยว่อยู่ แต่ในไม่ช้าศิษย์พี่สามก็ถูกขัดขวางโดยโครงกระดูกสีดำ

“ไม่ต้องกลัวศิษย์น้อง! รอสักครู่ ข้าจะไปช่วยเจ้าเดี๋ยวนี้!”

แม้ว่าจะถูกรายล้อมไปด้วยกองทัพโครงกระดูก แต่นางก็ยังคงพยายามปลอบใจหลิงเยว่อย่างถึงที่สุด

เสียงของโม่จวินเจ๋อไม่ดังเท่าใดนัก แต่นั่นก็พอจะทำให้ทั้งสองคนมั่นใจมากขึ้น ดังนั้นพวกเขาจึงเปลี่ยนทิศทางเกือบจะพร้อม ๆ กัน

“ระบบ! เจ้ายังอยู่หรือไม่? ช่วยตอบกลับที!”

หลิงเยว่ซึ่งไม่มีอาวุธอยู่ในมือและไม่สามารถใช้ปราณได้ จึงจำเป็นต้องเรียกระบบอีกครั้ง ทว่าก็เหมือนครั้งก่อน ๆ ไม่มีกระทั่งวี่แววการตอบสนองของระบบเลย ราวกับว่ามันตายไปแล้ว

สถานที่นี้จะอันตรายกว่าพื้นที่ต้องห้ามด้านหลังภูเขาหรือไม่?

หลิงเยว่ที่กำลังคิดอยู่ก็มองเห็นด้วยสายตาอันเฉียบคม ดูเหมือนว่าจะไม่มีโครงกระดูกโผล่ออกมาจากพื้นดินทางตะวันตกเฉียงใต้ ทันใดนั้นดวงตาของเด็กสาวก็เต็มไปด้วยความหวังอีกครั้ง อันที่จริงสิ่งที่นางไม่ได้สังเกตก็คือกองทัพโครงกระดูกดูเหมือนจะเป็นฝ่ายขับไล่พวกเขาออกไป เพื่อป้องกันไม่ให้เข้าใกล้ทางตะวันตกเฉียงใต้เสียมากกว่า

โม่จวินเจ๋อเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นความผิดปกตินี้ และตำแหน่งที่เขาเหยียบลงไปนั้นก็อยู่ใกล้กับทิศตะวันตกเฉียงใต้มากที่สุดด้วย

“ฉัวะ…”

โดยไม่ทันได้ระวังแขน หลิงเยว่ก็ถูกข่วนจนเป็นแผลลึก แต่เลือดที่กระฉูดออกมากลับกลายเป็นของเหลวสีดำทันที…

มีพิษร้ายแรงหรือนี่ บ้าจริงเชียว!

หลิงเยว่ตัดสินใจฉีกเสื้อคลุมของตนเองออก ก่อนจะพบว่านางฉีกมันออกไม่ได้… ไม่ได้เลย!

ข้าควรทำอย่างไรกับชุดคุณภาพดีนี่กัน?

นางไม่มีเวลาคิดมากนัก ได้แต่กุมแขนที่บาดเจ็บแล้วรีบวิ่งหนีต่อ โครงกระดูกเหล่านี้ดูไม่เป็นอันตรายและจัดการได้ง่าย แต่ถ้าพลาดถูกสัมผัสเพียงเล็กน้อยก็จะถูกพิษจนถึงตายอย่างแน่นอน

ขณะนี้ในสายตาของหลิงเยว่ดูเหมือนจะเห็นชายหนุ่มเดินไปมาอยู่ข้างหน้า

โม่จวินเจ๋อยื่นมือออกไปจับหลิงเยว่ที่กำลังจะล้ม แล้วเตะกลุ่มโครงกระดูกที่พุ่งไล่หลังมา โครงกระดูกที่อยู่แถวหน้ากลิ้งระเนระนาดไปกวาดกลุ่มใหญ่ที่ตามหลังให้ล้มลงไปตาม ๆ กัน

ดินแดนตะวันตกเฉียงใต้อยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่กลุ่มโครงกระดูกกลับไม่มีท่าทีว่าจะยอมแพ้แต่อย่างใด พวกมันที่อยู่แถวหน้าล้มลงกับพื้น ก่อนจะถูกตัวที่อยู่ด้านหลังรีบเหยียบย่ำเพื่อเร่งรุดเข้ามาในทันที

โม่จวินเจ๋อจับหลิงเยว่แล้วโยนเด็กสาวออกไปทางตะวันตกเฉียงใต้

หลิงเยว่ซึ่งกลายเป็นลูกศรมนุษย์ได้แต่กัดลิ้นเพื่อปลุกตัวเองให้ตื่น ทว่าทันทีที่นางลืมตาก็ต้องเผชิญกับเบ้าตาที่ว่างเปล่าคู่หนึ่ง เจ้าของเบ้าตานั้นย่อตัวลง ก่อนจะกระโดดขึ้นมากลางอากาศด้วยกำลังทั้งหมดของมัน เพื่อสกัดกั้นหลิงเยว่

โชคดีที่หลิงเยว่ตอบสนองเร็วพอ จึงเบี่ยงแขนขาหลบออกอย่างรวดเร็ว ทำให้โครงกระดูกสามารถจับได้เพียงธาตุอากาศ

แต่ที่นี่ไม่ได้มีเพียงโครงกระดูกเดียวเท่านั้น ทว่ายังมีอีกนับไม่ถ้วน!

กองทัพโครงกระดูกที่เพิ่งสกัดกั้นและไล่ล่าผู้คนดูเหมือนจะได้รับการเสริมพลัง จนทำให้พวกมันมีความสามารถในการกระโดดสูงขึ้นมา

โม่จวินเจ๋อหันกลับมาเห็นภาพที่น่าสะพรึงกลัว

“ศิษย์น้องห้า!!”

ติงหลิวหลิ่วเฝ้าดูอย่างช่วยไม่ได้ ขณะที่หลิงเยว่ถูกกองทัพโครงกระดูกคว้าลงมาจากอากาศ และกำลังจะถูกฝัง

มันจบแล้ว…

ยังไม่ทันออกจากเขตของสำนักหลานเทียน แต่กลับปล่อยให้ศิษย์น้องต้องมาตายที่นี่เสียแล้ว เมื่อกลับไปอาจารย์ของนางจะต้องฝังนางทั้งเป็นอย่างแน่นอน!

ไม่สิ บางทีศิษย์น้องอาจจะยังมีชีวิตอยู่ก็เป็นได้!

ในขณะนี้เอง ติงหลิวหลิ่วและโม่จวินเจ๋อกำลังวิ่งอย่างบ้าคลั่งไปยังทิศทางที่กองทัพโครงกระดูกไปรวมตัวกันมากที่สุด ก่อนโครงกระดูกเปราะ ๆ ที่ขวางทางจะถูกกระแทกให้กระเด็นออกไป

หลิงเยว่ถูกกลุ่มโครงกระดูกทับจนท่วมสูง และเลือดสีสดก็ไหลออกจากปากของนาง

นางจะเอาชีวิตรอดไปจากสถานการณ์นี้ได้อย่างไร ไม่สิ นางจะรอดหรือไม่?

นางรู้ว่าโลกภายนอกสำนักนั้นอันตรายมาก แต่ไม่คิดว่ามันจะอันตรายถึงเพียงนี้!

หนำซ้ำหลิงเยว่ยังไม่ทันออกจากเขตอำนาจของสำนักเสียด้วยซ้ำ!

เลือดในปากของหลิงเยว่ไหลทะลักออกมาราวกับเขื่อนแตก สติของนางค่อย ๆ เลือนหายไป

*[1] กู่ฉิน คือ พิณเจ็ดสาย

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท