ตอนที่ 345 อาจารย์อยู่ที่นี่
ฝนตกหนักกระทบบนใบหน้าและเสื้อผ้าของเจ้าภูเขาลู่ก่อนจะตกลงบนพื้น ทั้งแท่นจันทราถูกฝนชะล้างจนชุ่มฉ่ำอย่างรวดเร็ว ทำให้เถ้าดำและคราบเลือดเล็กน้อยที่หลงเหลืออยู่บนนั้นหายไปจนเกลี้ยง
หูอวิ๋นอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย ทว่ามองเห็นทุกอย่างชัดเจน รู้สึกว่าเจ้าภูเขาลู่เหม่อมองท้องฟ้ากลางสายฝนอยู่ตลอด ราวกับไม่มีความคิดจะหลบหลีกอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อสายฟ้าชะล้างบนแท่นจันทราขนาดใหญ่ พื้นผิวของมันก็ยิ่งสะอาดสะอ้านขึ้น สีสันคล้ายกับชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ไม่ต่างอะไรจานสีขาวที่ถูกล้างท่ามกลางฝนตก ดึงดูดสายตาหูอวิ๋นไว้ที่แท่นจันทราเช่นกัน
เหมือนกับถูกแท่นจันทราดึงดูดสายตา เจ้าภูเขาลู่ก้มลงมองแท่นจันทราใต้เท้าในที่สุด จากนั้นมองหูอวิ๋นที่อยู่ข้างๆ แล้วยิ้มถาม
“ทำไม ไม่ยินดีกับข้าหรือ”
คราวนี้หูอวิ๋นดึงสติกลับมา รีบใช้สองอุ้งเท้าหน้าประสานกันคารวะเจ้าภูเขาลู่
“ยินดีกับเจ้าภูเขาลู่ที่กลายร่างได้สำเร็จ จากนี้ก็ท่องเที่ยวทั่วใต้หล้าได้แล้ว!”
“ฮ่าๆๆ จริงของเจ้า!”
เจ้าภูเขาลู่หัวเราะเสียงหนึ่งก่อนกระโดดลงจากแท่นจันทรา เมื่อยืนอยู่บนหินผาอย่างมั่นคงแล้ว จากนั้นเขาสาวเท้าก้าวใหญ่ไปทางถ้ำของตนเอง
เพราะสายฟ้าผ่าลงมา ทำให้พื้นที่ภูเขาไม่น้อยเกิดรอยไหม้ ต้นไม้มากมายล้วนถูกสายฟ้าเผา ทว่าตอนนี้ฝนตกลงมาหนักมากจึงดับไฟได้อย่างรวดเร็ว
ไม่มีสายฟ้า แต่เป็นเมฆดำปกคลุมและฝนเทลงมา ทัศนวิสัยบนภูเขาย่ำแย่เป็นอย่างยิ่ง แต่สำหรับเจ้าภูเขาลู่และหูอวิ๋นแล้วไม่ถือว่าส่งผลกระทบสักเท่าไหร่
ไม่นานนักเจ้าภูเขาลู่ก็ถึงถ้ำของตนเอง เมื่อเดินเข้าไปข้างในแล้ว บนศีรษะปรากฏหินงอกหินย้อยจำนวนหนึ่ง
เจ้าภูเขาลู่ชี้หินงอกหินย้อยข้างบน มีแสงระยิบระยับปรากฏบนนั้น ไม่นานก็ส่องสว่างภายในถ้ำทั้งหมด
ใต้เท้าเป็นบ่อน้ำขนาดเล็กที่ใสแจ๋ว เพราะข้างใต้นั้นเป็นหินผา ตอนนี้อยู่ภายใต้แสงสว่างจึงเหมือนกับกระจกเรียบลื่นแผ่นหนึ่ง
แม้เจ้าภูเขาลู่แปลงกายสำเร็จจะรู้หน้าตาของตนเองแล้ว แต่ตอนนี้ส่องกระจกมองดูยังคงรู้สึกแปลกๆ ต่อรูปลักษณ์ของตนเองในตอนนี้
“รู้สึกว่ายังขาดอะไรหรือไม่”
มองอยู่นานแล้วเจ้าภูเขาลู่คลำศีรษะ ในที่สุดตระหนักได้แล้วว่าขาดอะไรไป ตอนเขาสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยยังไม่ได้รวบผมเลย
หลังจากตัดสินใจแล้ว เจ้าถูเขาลู่ดีดนิ้วเบาๆ ครั้งหนึ่ง กรงเล็บแหลมคมตราบเท่าปลายแขนหลุดไป จากนั้นเขาก็ใช้นิ้วชี้เป็นมีดแกะสลัก เริ่มทำงานกับกรงเล็บที่โค้งเล็กน้อยอย่างรวดเร็ว
ไม่นานเท่าไหร่ปิ่นสีขาวทำมุมโค้งชิ้นหนึ่งก็ปรากฏในมือของเจ้าภูเขาลู่ ไม่ต่างอะไรกับหยกขาวและงาช้าง
จากนั้นเจ้าภูเขาลู่รวบผมยาวขึ้นเป็นมวย แล้วใช้ปิ่นกลัดไว้จนอยู่หมัด
“เท่านี้พอใช้ได้แล้ว!”
หูอวิ๋นอยู่ข้างๆ พิจารณาเจ้าภูเขาลู่ตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างละเอียด อาจเป็นเพราะรูปลักษณ์คน เจ้าภูเขาลู่ในตอนนี้ไม่ได้มอบความกดดันให้หูอวิ๋นมากเกินไปเหมือนในอดีต
“เจ้าภูเขาลู่ ท่านแปลงกายสำเร็จแล้ว ต้องออกจากเขาโคเทพหรือไม่”
ได้ยินหูอวิ๋นถามเช่นนี้ เจ้าภูเขาลู่ทอดถอนใจพลางตอบ
“ใช่ ถูกขังอยู่ที่เขาโคเทพมานานขนาดนี้ ในเมื่อแปลงกายเป็นคนสำเร็จแล้วย่อมต้องออกไปท่องเที่ยว และต้องทำตามข้อตกลงในปีนั้นด้วย…”
พูดถึงตรงนี้เจ้าภูเขาลู่ก้มหน้ามองจิ้งจอกแดง
“ทว่าไม่อาจจากไปทันที ต้องฝึกปราณและทำจิตใจให้มั่นคงก่อนช่วงหนึ่ง บาดแผลจากเคราะห์อสนีไม่ใช่ว่าจะหายดีได้ในทันที ข้ากลับคืนสู่สภาพปกติแล้วถึงออกเดินทางดีที่สุด”
เจ้าภูเขาลู่รู้ดีมากว่าจิ้งจอกตัวนี้กังวลเรื่องอะไร แต่ไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้ก็ต้องมาถึงในสักวัน
ได้ยินคำตอบนี้แล้วจิ้งจอกแดงถอนใจอย่างชัดเจน ท่านจี้ไปแล้ว ไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ อิ๋นชิงไปแล้วยังไม่กลับมาอีกเลย แม้แต่เจ้าภูเขาลู่ก็จะไปแล้ว ในใจเกิดความรู้สึกโศกเศร้าอยู่บ้าง
“เอาล่ะ เจ้ากับข้าฝึกปราณด้วยกันเถอะ”
เจ้าภูเขาลู่พูดจบจึงหมุนกายสาวเท้าก้าวใหญ่ไปยังครึ่งหน้าของถ้ำ เมื่อถึงหญ้าแห้งที่มักใช้นอนหมอบค่อยนั่งขัดสมาธิลง เริ่มใช้ท่าทางของผู้ฝึกปราณมนุษย์เพื่อปรับลมปราณ
หูอวิ๋นกระโดดอยู่หลายครั้งก็ถึงตรงนั้น มองเจ้าภูเขาลู่หลับตาปรับลมปราณ บนผนังถ้ำข้างหลังมีรอยบุ๋ม บนนั้นแขวนเทียบอักษรที่จี้หยวนมอบให้ในตอนนั้น เขียนว่าเกิดใหม่ผลัดกระดูก
‘ข้าก็ฝึกฝนได้เช่นกัน!’
หูอวิ๋นคิดในใจก่อนจะหมอบลงข้างๆ เจ้าภูเขาลู่ ชักนำจิตวิญญาณ เริ่มดูดซับปราณวิญญาณโดยรอบ
ฝนตกหนักข้างนอกยังคงส่งเสียงดัง ทั้งเขาโคเทพไปจนถึงบริเวณรอบข้างสงบเงียบเป็นพิเศษอย่างชัดเจน ไม่มีใครรู้ว่าเพราะเหตุใดเสียงสายฟ้าช่วงหัวค่ำถึงดังขนาดนั้น และบนภูเขาลึกเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ฤดูใบไม้ผลิเป็นฤดูของการฟื้นคืนและเกิดใหม่ของทุกสรรพสิ่ง หลังจากฝนฟ้าคะนองแล้วบนภูเขาชุ่มชื้นมาก ทุกอย่างเขียวชอุ่มสดใสยิ่งกว่าเดิม
ภายในช่วงระยะเวลาหนึ่งหลังจากนั้น ต้นไม้รอบๆ แท่นจันทราถูกฟ้าผ่าทำลาย เถ้าต้นไม้ที่ทิ้งไว้กลายเป็นสารอาหารใหม่ มีพืชเกิดใหม่แตกหน่ออยู่ที่นี่ และมีต้นไม้บางต้นแตกกิ่งก้านออกมาจากตอไม้ด้วย
สีดำไหม้แต่เดิมค่อยๆ ถูกความเขียวขจีเข้ามาแทนที่
บาดแผลจากเคราะห์อสนีที่เจ้าภูเขาลู่ได้รับเหมือนกับพืชพันธุ์ที่เกิดใหม่ ค่อยๆ สมานกันทีละนิด เขตแดนที่เกิดจากการแปลงกายเริ่มมั่นคง ฝึกปราณภายในหนึ่งหรือสองเดือนสั้นๆ ก็ถึงจุดสูงสุดแล้ว
ในที่สุดวันนี้เจ้าภูเขาลู่ที่หลับตาฝึกปราณโดยตลอดก็ลืมตาแล้ว แสงวิญญาณกลุ่มหนึ่งกะพริบในดวงตาก่อนหายไป
เขามองไปทางซ้ายและขวา จิ้งจอกแดงไม่อยู่ข้างกาย ทว่าไม่นานเท่าไหร่นักก็เห็นหูอวิ๋นกระโดดเข้ามาจากข้างนอก เจ้าภูเขาลู่ได้กลิ่นคาวเลือดเจือจางสายหนึ่งทันที ชัดเจนว่าจิ้งจอกตัวนี้เพิ่งหาอาหารกลับมา
เจ้าภูเขาลู่ลุกขึ้นยืน กล่าวกับจิ้งจอกแดงว่า
“หูอวิ๋น พาข้าไปยังที่อยู่ของท่านจี้ที”
“เอ๋ ตอนนี้หรือ”
“อืม ตอนนี้”
จิ้งจอกแดงพยักหน้า กระโดดออกจากถ้ำอีกครั้ง จากนั้นหันกลับไปมองเจ้าภูเขาลู่
“เช่นนั้นท่านตามข้ามา!”
พูดจบจิ้งจอกแดงก็เริ่มกระโดดกลางเขาอย่างรวดเร็ว ทว่าหันกลับไปมองอยู่เสมอ ทุกครั้งเจ้าภูเขาลู่ล้วนตามมาอย่างไม่ช้าไม่เร็ว มันจึงไม่รักษาระดับความเร็ว เริ่มวิ่งห้อตะบึงอีกครั้ง
หลายปีนี้แม้เจ้าภูเขาลู่จะเลื่อมใสจี้หยวนเป็นเท่าทวีเสมอ แต่เพราะเหตุผลที่ทุกคนรู้กัน เขาไม่สะดวกลงเขาไปกราบไหว้อาจารย์ที่บ้าน ทุกครั้งต้องรออาจารย์ไปพบเขาบนภูเขาด้วยตนเอง
ดังนั้นหนึ่งในความปรารถนาเหล่านั้นของเจ้าภูเขาลู่ เขาหวังเล็กๆ ว่าจะได้ไปกราบไหว้อาจารย์ที่บ้านด้วยตนเองบ้าง
ฝีเท้าของหนึ่งคนหนึ่งจิ้งจอกว่องไว เดินผ่านป่ารกชัฏหรือทางภูเขาคดเคี้ยวราวกับเดินบนที่ราบ ทะลุเขาโคเทพได้หนึ่งชั่วยามกว่าก็ถึงเขตภูเขารอบนอกแล้ว ไม่นานพวกเขาก็ออกจากเขาโคเทพไป
วินาทีนี้เจ้าภูเขาลู่กระวนกระวายใจอย่างหาได้ยาก ที่จริงเขาคุมวาโยออกจากเขาได้ แต่กลับก้าวเดินไปยังอำเภอหนิงอันอย่างมั่นคง
ในที่สุดเจ้าภูเขาก็ออกจากเขาโคเทพเป็นครั้งแรก เมื่อเดินลงเขาเสร็จสิ้นก็ไปถึงถนนหลวงข้างนอก
ตำแหน่งที่หูอวิ๋นมักลงเขาสามารถมองเห็นหมู่บ้านหนึ่งไม่ไกล ตอนนี้เจ้าภูเขาลู่อาศัยการมองเห็นมองเด็กน้อยที่กำลังเล่นสนุกอยู่ในหมู่บ้าน มองเห็นหนังที่ตากแดดอยู่ในหมู่บ้าน มองเห็นควันไฟของแต่ละครัวเรือน ความรู้สึกนี้แปลกใหม่เป็นพิเศษ
เมื่อเดินไปตามถนนหลวงเรื่อยๆ อำเภอหนิงอันอยู่ห่างจากตรงนี้ไม่กี่สิบลี้เท่านั้น กอปรกับเป็นทางราบเรียบจริงๆ ไม่ถึงหนึ่งเค่อหนึ่งคนหนึ่งจิ้งจอกก็ไปถึงนอกอำเภอแล้ว
อำเภอหนิงอันในฐานะที่เป็นบ้านเกิดของอิ๋นจ้าวเซียน บัดนี้การศึกษาเจริญรุ่งเรืองมาก ถึงขนาดมีบัณฑิตจากต่างอำเภอยินดีมาศึกษาที่อำเภอนี้ ดังนั้นความจริงแล้วบัณฑิตที่มาที่อำเภอจึงไม่น้อยเลย
แต่สีสันหลักของเสื้อผ้าเจ้าภูเขาลู่คือสีเหลืองอ่อน เป็นสีที่ค่อนข้างปกติ เขาใช้สองมือปัดแขนเสื้อสองสามครั้งก่อนเข้าเมือง สีสันเสื้อผ้าบนตัวย่อมเปลี่ยนเป็นสีเขียวอ่อน นอกจากตรงแขนเสื้อที่มีลายเมฆสีดำละเอียดอ่อน เขาก็เหมาะสมกับรูปลักษณ์ของบัณฑิตเป็นอย่างยิ่ง
อำเภอหนิงอันเป็นสถานที่ที่สงบเงียบเสมอมา ทว่าก็เป็นสถานที่ที่คึกคักด้วย
หลังจากเข้าเมืองไปแล้ว กลุ่มคนที่เดินอยู่โดยรอบ เสียงสนทนาจากร้านอาหาร โรงน้ำชาและที่อื่นๆ เสียงร้องเรียกลูกค้าของร้านค้า รวมถึงเสียงต่างๆ จอแจอย่างชัดเจน กระนั้นเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา
สภาพแวดล้อมนี้แตกต่างจากบนภูเขาโดยสิ้นเชิง บนใบหน้าเจ้าภูเขาลู่เรียบเฉย แต่ในใจกลับมีความตื่นเต้นปะปนกับความรู้สึกแปลกใหม่ พร้อมทั้งพยายามปรับตัวอย่างเต็มที่
หูอวิ๋นเข้าไปในเมืองแล้วโคจรวิชาพรางตาเต็มที่ นำทางอยู่ข้างหน้าอย่างระมัดระวัง สายตามองไปทางซ้ายและขวา
“หูอวิ๋น เจ้ากำลังมองอะไรอยู่ ที่นี่มีคนคิดร้ายกับเจ้าหรือ”
ในที่สุดเจ้าภูเขาลู่ก็พบว่าจิ้งจอกแดงผิดปกติไป ระแวดระวังตัวจนเกินเหตุอยู่บ้าง แต่ตามที่เขารู้ เทพหลักเมืองของอำเภอไม่มีทางทำอะไรหูอวิ๋น
“เฮ้อ เจ้าภูเขาท่านไม่รู้ ข้าเคยมีประสบการณ์เฉียดตายในอำเภอนี้ แม้ความจริงแล้วข้าไม่ได้ใส่ใจ แต่เจอแล้วยุ่งยากมาก ระวังตัวไว้หน่อยดีที่สุด ถือโอกาสตอนที่พวกมันล้วนไม่อยู่ พวกเราเร่งฝีเท้าเร็วหน่อย ตรอกเทียนหนิวอยู่ทางนั้น!”
ประสบการณ์เฉียดตาย?
เจ้าภูเขาลู่นึกสงสัย แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรมาก เพียงเร่งฝีเท้าตามไปด้วยความประหลาดใจ
“บะหมี่เนื้อจ้า บะหมี่เนื้ออร่อย มีเครื่องในแพะด้วยนะ…”
นอกตรอกเทียนหนิว ที่ร้านบะหมี่ตระกูลซุนมีคนกำลังร้องเรียกลูกค้า เจ้าภูเขาลู่มองไปทางนั้นตามสัญชาตญาณ จากนั้นเลี้ยวเข้าไปในตรอกเทียนหนิว
‘ไม่รู้ว่าอาจารย์เคยกินบะหมี่นี้หรือไม่’
ระหว่างทางพบเจอคนบ้าง อีกฝ่ายมักมองเขาที่เป็นคนแปลกหน้าอยู่หลายครั้งตามสัญชาตญาณ ฝ่ายเจ้าภูเขาลู่ยิ้มและประสานมือให้เป็นครั้งคราว ถึงขนาดจินตนาการได้ว่าตอนคนเหล่านี้พบอาจารย์คงจะต้องพูดว่า ‘สวัสดีท่านจี้’ เป็นแน่
ไม่นานนักหนึ่งคนหนึ่งจิ้งจอกก็มาถึงด้านนอกเรือนเล็กที่ปลีกวิเวกด้านในสุด ต้นพุทราใหญ่ในลานปกคลุมไปด้วยใบไม้เขียว ให้ร่มเงากับเรือนด้านล่าง
เจ้าภูเขาลู่มองกลอนทองแดงเก่าๆ บนประตู มองสีที่ลอกจากประตูด้วยเช่นกัน จากนั้นเงยหน้ามองข้างบน คำว่าเรือนสันติแขวนอยู่บนนั้น ตัวอักษรปกติดีไร้ความอัศจรรย์ ไม่ใช่อาจารย์ที่เป็นคนเขียน สีสันหม่นหมองอยู่บ้าง มีหลายตัวอักษรขาดหายไปบางส่วนด้วย
เหลียวซ้ายแลขวาไม่มีคน เขาจึงเลียนแบบท่าทางของหูอวิ๋น กระโดดข้ามกำแพงเข้าไป
บ่อน้ำที่ถูกทับไว้ด้วยแผ่นหิน โต๊ะหินและเก้าอี้หินทั้งสี่ ลานเรือนเรียบง่าย ด้านนอกห้องครัวยังมีบ่อน้ำที่ปิดไว้ด้วยแผ่นไม้ รวมถึงต้นพุทราเขียวชอุ่มที่กลางลาน…
นี่ก็คือเรือนสันติ นี่ก็คือบ้านของอาจารย์ตนเอง
ถึงไม่ได้กลับมานานแล้ว ทว่าโดยรอบยังคงเต็มไปด้วยกลิ่นอายของจี้หยวน ตอนนี้เจ้าภูเขาลู่รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจยัก
“คนธรรมดาในใต้หล้าเหล่านั้นจะมีใครจินตนาการได้ ว่าที่อยู่ของอาจารย์จะอยู่ที่นี่!”