ตอนที่ 346 ตอบแทนวาสนาแทนอาจารย์
หูอวิ๋นไม่ได้มาที่เรือนสันตินานมากแล้ว หลังจากเดินดูรอบๆ แล้วได้ยินเจ้าภูเขาลู่พูด มันกระโดดขึ้นไปบนโต๊ะหินก่อนกล่าว
“ที่นี่ย่ำแย่มากหรือ ข้ารู้สึกว่าเรือนสันติดีมาก ทั้งงดงามและเงียบสงบ”
เจ้าภูเขาลู่มองหูอวิ๋น พยักหน้าเอ่ย
“คิดเช่นนั้นได้ แสดงว่าเจ้าก้าวหน้าบ้างแล้วจริงๆ”
พูดแล้วเจ้าภูเขาลู่ก็เดินไปถึงตรงหน้าโต๊ะหิน จากนั้นเงยหน้ามองยอดต้นพุทราใหญ่ที่อยู่กลางลานบ้าน
ฤดูกาลนี้เดิมควรเป็นช่วงเวลาที่ดอกพุทราเบ่งบานที่สุด แม้ต้นพุทราที่ลานบ้านนี้จะเขียวชอุ่ม ทว่ายังไม่ออกดอก
ส่วนลึกของใบไม้มากมายซ่อนผลพุทราสีแดงเพลิงเอาไว้ ต้นพุทราต้นนี้ที่มักจะดูอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่งสำหรับหูอวิ๋น วันนี้มันเหมือนกับต้นไม้ธรรมดาต้นหนึ่ง นอกจากกิ่งก้านขยับไหวตามลมแล้วก็ไม่มีความพิเศษใดฉายชัดออกมา
เจ้าภูเขาลู่ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ยืดตัวตรง ส่งมือประสานกันแล้วโค้งคารวะต้นพุทราทันที
“ข้าน้อยเจ้าภูเขาลู่ได้รับการชี้แนะจากท่านจี้ ฝึกปราณอยู่บนเขาโคเทพเรื่อยมา วันนี้สำเร็จแล้วจึงตั้งใจมากราบไหว้ที่เรือนสันติ”
ตอนนี้เจ้าภูเขาลู่จำได้แล้วว่าอาจารย์ตนเองเคยพูด ว่าไม่อนุญาตให้เปิดเผยความสัมพันธ์อาจารย์ศิษย์กับคนนอก ดังนั้นแม้อยู่ที่นี่ก็ทำได้เพียงเรียกว่าท่านจี้เท่านั้น
จิ้งจอกแดงก็มีปฏิกิริยาเช่นกัน ชี้เจ้าภูเขาลู่พลางกล่าว
“นี่ก็คือเจ้าภูเขาลู่ เสือตัวนั้นที่อยู่บนเขาโคเทพ”
จี้หยวนกล่าวถึงเจ้าภูเขาลู่อยู่บ่อยครั้ง ไม่ใช่ว่าต้นพุทราไม่เคยได้ยิน เพียงแต่ไม่เคยพบมาก่อน ตอนนี้ได้ยินอีกฝ่ายบอกที่มาที่ไปอย่างชัดเจน จึงคลายความระแวดระวังลงไปไม่น้อย
แซกๆๆ…แซกๆๆๆ…
กิ่งไม้ท่อนหนึ่งสั่นไหว ในลานบ้านเกิดลมสดชื่นสายหนึ่ง โดยรอบมีปราณวิญญาณจางๆ พัดม้วนขึ้นมา
ตอนนี้หูอวิ๋นจ้องยอดของต้นพุทราเขม็ง ราวกับรอคอยอะไรบางอย่าง
เป็นไปตามที่คาดไว้ ไม่นานเท่าไหร่ระหว่างสีเขียวสดชื่นท่ามกลางยอดต้นพุทราก็มีสีแดงระยิบระยับ ทันใดนั้นพุทราลูกใหญ่สีชาดก็ตกลงมา
เจ้าภูเขาลู่ยื่นมือรับไว้ตามสัญชาตญาณ รับพุทราลูกนั้นไว้ได้แล้ว
ผลพุทรานี้มีขนาดเท่ากับครึ่งกำปั้น สัมผัสยามถูกมือมีอุณหภูมิคล้ายหยก ผิวนอกเป็นสีแดงเพลิง ถึงขนาดนี้มีสีแดงและความร้อนเอ่อออกมาพร้อมแสงแวววาว ยิ่งมีกลิ่นหอมหวนยวนใจอีกต่างหาก
‘นี่ก็คือพุทราเพลิงที่หูอวิ๋นเคยพูดถึงกระมัง ไม่ธรรมดาจริงด้วย’
เจ้าภูเขาลู่สังเกตอย่างละเอียดครู่หนึ่งถึงค่อยประสานมือขอบคุณอีกครั้ง
“ขอบคุณมาก”
เจ้าภูเขาลูกเพิ่งอ้าปากสูด พุทราอยู่ท่ามกลางไอหมอกที่เข้าไปในปาก นี่ไม่ใช่การสวาปามกินพุทราทั้งผล แต่เป็นการเก็บเอาไว้
จากนั้นเขาสะบัดแขนเสื้อนั่งลงบนเก้าอี้หินตัวหนึ่ง นั่งลงข้างโต๊ะหินอย่างนั้น ก่อนจะหลับตาสัมผัสความสงบเงียบของเรือนสันติ
เขานั่งอยู่ทั้งวัน จนกระทั่งดวงอาทิตย์คล้อยลงทางตะวันตกแล้วถึงลุกขึ้นยืน
ขณะนี้หูอวิ๋นกำลังหมอบหลับอยู่บนโต๊ะกิน ก่อนหน้านี้มันมักจะหลับอยู่ที่นี่เช่นนี้ แม้จะเป็นหลายปีนี้ที่จี้หยวนไม่อยู่ มันก็มานอนที่นี่สักครั้งอยู่บ้าง
เพราะตอนที่จิตใจว้าวุ่นทุกครั้ง อยู่ใต้ต้นพุทราแล้วสงบใจลงได้ง่ายกว่า
เจ้าภูเขาลู่ไม่ได้ปลุกหูอวิ๋น เรื่องที่เขาต้องไปทำความจริงไม่เหมาะพาจิ้งจอกแดงไปด้วย และถึงหลายปีที่ผ่านมาจิ้งจอกตัวนี้ฝึกปราณก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ แต่เขาว่ามันยังไม่เพียงพอ ต้องกระตุ้นให้หูอวิ๋นตั้งใจพยายามมากกว่านี้ ซึ่งความรู้สึกเหงาก็เป็นหนึ่งในนั้น
หวิว…หวิว…
ลมสดชื่นพัดกิ่งก้านเกิดเสียง
แซกๆๆ…แซกๆๆๆ…
กิ่งต้นพุทราขยับเล็กน้อย เจ้าภูเขาลู่ลงเขาวันนี้แม้หลับตานั่งนิ่งๆ เท่านั้น แต่กลิ่นอายเงียบสงบนั้นได้รับการยอมรับจากต้นพุทราในระดับที่แน่นอนแล้ว
เจ้าภูเขาลู่ไม่ได้พูดอะไรมาก ประสานมือให้ต้นพุทราเล็กน้อย จากนั้นกระโจนตัวอย่างแผ่วเบา กระโดดออกจากเรือนสันติไปถึงข้างนอก เมื่อคารวะเรือนหลังนี้แล้วถึงค่อยหมุนกายสาวเท้าก้าวใหญ่จากไป
ถึงเขาไม่ถนัดวิชาทำนายชะตา แต่ตอนนี้เก้าคนในคำสัญญาเมื่อคราวนั้นกลับปรากฎเลือนรางอยู่ในใจของเจ้าภูเขาลู่ แม้ไม่ได้ถูกต้องแม่นยำทุกครั้ง แต่หาทิศทางหรือลดขอบเขตโดยคร่าวไม่ใช่ปัญหา
เดินออกจากตรอกเทียนหนิวไปแล้ว เจ้าของร้านบะหมี่ตระกูลซุนท่าทางอายุห้าสิบกว่าเหมือนกำลังเตรียมเก็บร้าน เห็นเจ้าภูเขาลู่ออกมาก็มองอยู่หลายครั้งอย่างอดไม่ได้ เขาจำได้ว่าน่าจะเห็นคนผู้นี้เมื่อเช้า
“เจ้าของร้านจะเก็บร้านแล้วหรือ”
เจ้าภูเขาลู่หยุดฝีเท้าก่อนเขา หลังจากเขานึกได้ว่าตนเองแปลงกายเป็นคนได้สำเร็จ ก็ยังไม่เคยชิมรสอาหารของมนุษย์มาก่อน โดยเฉพาะอาหารประเภทบะหมี่ ในเมื่อไม่ช้าก็เร็วต้องได้ลอง มิสู้ลองที่หน้าบ้านของอาจารย์ดีกว่า
ได้ยินคำถามของบัณฑิตในชุดสีเขียว ซุนฝูดุงสติกลับมาก่อนยิ้มตอบ
“ใช่ พระอาทิตย์จะตกดินแล้ว ที่บ้านมีคนรออยู่ เตรียมจะกลับไปแล้วล่ะ แต่หากลูกค้าอยากกินบะหมี่ ข้าทำให้ลูกค้าได้สักชามหนึ่ง เครื่องปรุงอะไรล้วนมีพร้อม”
เจ้าภูเขาลู่พยักหน้า เดินเข้าไปหลายก้าวเพื่อเลือกที่นั่ง
“ที่นี่มีบะหมี่อะไรบ้างหรือ”
ซุนฝูมาช่วยเช็ดโต๊ะแล้ว
“ลูกค้าไม่ใช่คนตรอกเทียนหนิวกระมัง ร้านบะหมี่ตระกูลซุนของข้าเปิดมาหลายรุ่นแล้ว ขายบะหมี่พะโล้เสมอ น้ำแกงเครื่องในไม่มีใครเทียบได้ คนที่เคยกินต่างก็ชมไม่ขาดปาก! ข้าสืบทอดสูตรจากท่านพ่อโดยตรง รสชาติไม่บกพร่องแม้แต่นิดเดียว!”
“ฮ่าๆ ได้ เช่นนั้นก็เอาบะหมี่พะโล้กับน้ำแกงเครื่องใน”
เจ้าภูเขาลู่หัวเราะแล้วสั่งอาหาร
ซุนฝูเกาศีรษะ กล่าวอย่างเสียไม่ได้อยู่บ้าง
“เอ่อ ต้องขอโทษลูกค้าด้วย บะหมี่พะโล้ข้ายังมี แต่น้ำแกงเครื่องใน เอ่อ หมดไปแล้ว”
“ไม่มีแล้วหรือ”
เจ้าภูเขาลู่พลันมุ่นคิ้ว ในฐานะที่เป็นเสือร้ายได้มรรค การดมกลิ่นของเขาไม่มีทางย่ำแย่ เขาได้กลิ่นเครื่องในแพะตุ๋นที่เหลืออยู่อย่างชัดเจน น่าจะเป็นส่วนผสมสำหรับทำน้ำแกงเครื่องใน
“เช่นนั้นบะหมี่พะโล้ชามเดียวก็ได้”
“ได้เลย จะทำให้ท่านเดี๋ยวนี้!”
ไม่นานเท่าไหร่นัก บะหมี่พะโล้ควันฉุยชามหนึ่งก็ถูกยกมาถึงตรงหน้าเจ้าภูเขาลู่ ทว่าเจ้าภูเขาไม่เคยใช้ตะเกียบมาก่อน หยิบตะเกียบออกมาจากตะกร้าแล้วจับไม่ถนัดมืออยู่พักหนึ่ง
ซุนฝูแปลกใจอยู่บ้างจึงเดินเข้ามาถาม
“ลูกค้า ตะเกียบนี้มีปัญหาอะไรหรือไม่”
“คีบไม่ขึ้นน่ะสิ!”
เจ้าภูเขาลู่ตอบไปตามตรง
“เอ๋? ข้าจะลองดู!”
ซุนฝูรับตะเกียบมาจากมือเจ้าภูเขาลู่ ถือไว้ในมือลองดู จากนั้นหยิบตะเกียบจากในตะกร้าขึ้นมาเทียบดูหลายต่อหลายรอบ ตะเกียบตรงดี ไม่มีส่วนโค้งอะไร
“ดีทีเดียว ไม่มีปัญหาอะไรนะ”
เจ้าภูเขาลู่ยิ้ม หยิบตะเกียบขึ้นคีบอยู่หลายครั้ง ครั้งนี้ใช้คล่องมือเป็นอย่างยิ่ง ดูไม่ออกว่าเพิ่งเรียนรู้เลยสักนิด
“ไม่มีปัญหาจริงด้วย”
ซุนฝูประหลาดใจเล็กน้อย แต่ยังคงพูดว่าลูกค้าค่อยๆ กินก่อนกลับไปเก็บร้าน
ดับเตาไฟ เช็ดโต๊ะครัว เก็บกวาดถ้วยชาม หลังจากยุ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ซุนฝูชำเลืองมองวัตถุดิบที่เหลืออยู่ในครัว มองบัณฑิตที่กินบะหมี่อยู่ทางนั้นแล้วถอนใจกล่าว
“ลูกค้า ความจริงข้ามีเครื่องในแพะอยู่ชามหนึ่ง หากท่านอยากกิน ข้าจะขายให้ท่านแล้วกัน”
เจ้าภูเขาลู่กล่าวในใจว่าไม่ได้เดาผิด เคี้ยวกลืนบะหมี่ในปากก่อนมองซุนฝู
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุใดเมื่อครู่นี้ไม่ขายเล่า”
“เฮ้อ…”
ซุนฝูถอนหายใจ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดวันนี้ถึงมีความรู้สึกอยากร้องทุกข์
“เรื่องมันยาว หากลูกค้าไม่รังเกียจ ข้าเล่าให้ท่านฟังเป็นอย่างไร”
เห็นเจ้าภูเขาลู่พยักหน้า ซุนฝูจึงนั่งร่วมโต๊ะกับอีกฝ่ายแล้วกล่าวต่อไป
“ความจริงในตรอกเทียนหนิวปีนั้นมีคนแปลกๆ อาศัยอยู่ ทุกคนเรียกเขาว่า ‘ท่านจี้’…”
เจ้าภูเขาลู่หัวใจกระตุกวูบ เกี่ยวข้องกับอาจารย์จริงด้วย!
“หลายคนเพียงได้ยินว่าท่านจี้เป็นคนแปลก แต่ก็เป็นแค่เรื่องเล่ายามจิบชาหรือหลังอาหาร บิดาข้าเชื่อในอภินิหารของท่านจี้เป็นอย่างยิ่ง ทุกครั้งที่ท่านจี้มากินบะหมี่ล้วนนอบน้อม เจตนาดีของเขาย่อมได้รับการตอบแทนอย่างดี มีปีหนึ่งท่านจี้ออกเดินทางไกล ทว่าฝากบัณฑิตอิ๋นมอบพุทราใหม่ให้บิดาข้าจำนวนหนึ่ง จริงสิ ท่านมองดูแล้วเหมือนบัณฑิต ท่านรู้จักท่านอิ๋นกระมัง”
“แน่นอนว่ารู้จัก บัณฑิตอิ๋นเป็นอัจฉริยะด้านวรรณกรรมของต้าเจิน สอบได้ที่หนึ่งถึงสามครั้ง เป็นดาวบุ๋นที่ไม่ธรรมดา!”
หูอวิ๋นเล่าเรื่องตระกูลอิ๋นไม่น้อย เจ้าภูเขาลู่จึงรู้จักเช่นกัน
“ใช่ๆ เป็นท่านอิ๋นผู้นั้น! พุทราที่เขานำมาในปีนั้นข้าได้กินเช่นกัน สดหวานจริงๆ และกินไปแล้วส่งผลดีต่อร่างกายมาก จิตใจแจ่มใส ครอบครัวพวกเขาตั้งแต่นั้นต้องลมหนาวน้อยมาก ท่านพ่อข้ากล่าวยกย่องพุทรานั้นอยู่บ่อยครั้ง”
“ที่ท่านพ่อมักบอกข้าคือท่านจี้ไม่ใช่คนธรรมดา เขาชอบกินบะหมี่พะโล้และเครื่องในของร้านข้าที่สุด ดังนั้นไม่ว่าจะขายดีแค่ไหน ร้านบะหมี่ตระกูลซุนของพวกข้าอย่างน้อยจะเก็บบะหมี่พะโล้ชามหนึ่งและเครื่องในส่วนหนึ่งเอาไว้ เผื่อว่าจู่ๆ ท่านจี้มากิน หากไม่มาก็แค่เหลือส่วนหนึ่ง กลับบ้านก็ยังกินได้…”
ซุนฝูมองไปทางตรอกเทียนหนิว
“เฮ้อ พริบตาเดียวก็ผ่านไปหลายปีแล้ว!”
เจ้าภูเขาลู่ขมวดคิ้ว
“แล้วเหตุใดถึงจะขายให้ข้า”
ซุนฝูส่ายหน้า
“ท่านจี้ไม่ได้มากินบะหมี่หลายปีมากแล้ว ท่านพ่อข้าจากโลกนี้ไปสองปีแล้วเช่นกัน ข้ารู้สึกว่ากฎนี้ไม่เป็นผลอีกต่อไป…”
ซุนฝูยังไม่ทันพูดจบก็เห็นลูกค้ากินบะหมี่ยกมือห้ามเขา ไม่รู้เหมือนกันว่าอีกฝ่ายกินบะหมี่หมดตั้งแต่เมื่อไหร่
“เถ้าแก่ ในเมื่อเป็นกฎที่บิดาท่านตั้งไว้ ข้าว่าควรรักษาต่อไปจะดีกว่า เครื่องในนั่นข้าไม่กินแล้ว บะหมี่พะโล้ราคาเท่าไหร่”
ซุนฝูยิ้มและไม่ได้แสดงความเห็นอะไร
“สามเหวิน”
เจ้าภูเขาลู่ควักเหรียญทองแดงที่ซ้อนกันอยู่ในอกเสื้อออกมาวางลงบนโต๊ะ จากนั้นลุกขึ้นยืนประสานมือให้เจ้าของร้านอย่างจริงจัง
“ขอวางเงินไว้ตรงนี้ รสชาติบะหมี่พะโล้ไม่เลว ก่อนหน้านี้ข้ากินเพียงเนื้อสัตว์ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ข้ากินบะหมี่ ไม่เลวจริงๆ!”
กินเพียงเนื้อสัตว์? เห็นทีจะมาจากตระกูลร่ำรวย ซุนฝูรีบคารวะกลับ เมื่ออีกฝ่ายจากไปแล้วค่อยเก็บเหรียญทองแดง รวมถึงชามกับตะเกียบ
เย็นวันนี้ซุนฝูเข็นรถเข็นกลับถึงบ้านแล้วถึงนับเงิน ทว่าเขาเทก้อนทองขนาดใหญ่ออกมาจากในกล่องเงินด้วย มันหนักมาก มีขนาดเท่ากับสองนิ้วประสานกัน
—————————————————-