ตอนที่ 219 มังกรจู๋หลง (1)
ชุดคลุมยาวสีแดงเพลิงสะบัดไปตามสายลม
ตกลงช้าๆ
ผู้บำเพ็ญชุดหยาบสีขาวที่ใช้สองมือประสานมุทราส่งแสงดาราและพลังเลือดลมไปทางค่ายกลเขาศิลาเต่าในตรอกไม่เห็นเลยว่าร่างเงานั้นเคลื่อนไหวอย่างไร
สายลมร้อนเฉียดผ่านแก้ม
จนพวกเขาตั้งสติได้
แผ่นหลังบุรุษหนุ่มคนนั้นก็ขวางทางเข้าตรอกแล้ว ดูคล้ายเขาศักดิ์สิทธิ์สูงตระหง่าน
เงาแผ่นหลังนั้นดูโดดเดี่ยวนิดๆ ตรงขอบเค้าโครงเหมือนจะมีไฟลุกเบาๆ สายลมพัดลอยเป็นเถ้าถ่าน
งอบสีแดงเพลิงรวมขึ้นจากแสงดาราบริสุทธิ์ มีไฟลุกขึ้นวูบวาบ ผ้าที่คลุมลงมาก็เช่นกัน ปิดใบหน้าบุรุษไว้
หากมีคนรู้จักเจ้ากรมปราบปีศาจใหญ่หลงหวงก็จะพบว่างอบและผ้าคลุมหน้าของหลงหวงแทบจะเหมือนกับบุรุษหนุ่มคนนี้เลย
นี่ไม่ใช่เครื่องแต่งกาย
นี่คือวิชาของคุณชายหยวนฉุน ใช้ซ่อนความลับสวรรค์ ตัดพลังบำเพ็ญ
ความลับสวรรค์เปิดเผยไม่ได้
ดังนั้นจึงไม่มีใครได้เห็นใบหน้าแท้จริงของบุรุษหนุ่มคนนี้ แต่พวกเขาเดาได้ว่าบุรุษคนนี้เป็นใคร
“อ่า…ไม่ได้มาเมืองหลวงเสียนานเลย”
บุรุษเอาสองมือประสานไว้หลังศีรษะ อาภรณ์แดงโบกสะบัด โลกเล่าลือว่าเขาเป็นผู้บำเพ็ญหลอมกายที่เหี้ยมโหดยิ่ง แต่เมื่อได้เห็นกับตาจริงๆ ดูไม่ใช่ชายร่างกำยำเหมือน ‘ขู่เช่อ’ เลย แต่ดูลึกลับนิดๆ พลังทั้งตัวหนักอึ้งดุจขุนเขา แต่ที่มากกว่านั้นคือความรู้สึกที่มากมายมหาศาลจนไม่อาจหยั่งถึง
เจ้ากรมข่าวกรองน้อยที่นั่งยองบนชายคาบ้านได้ยินเสียงคุ้นหูดังขึ้นข้างหู
จิตของอวิ๋นสวินมาพร้อมกับคำสั่งไร้ความรู้สึก
“ถอนกำลัง”
เจ้ากรมข่าวกรองน้อยหยัดกายขึ้นช้าๆ ใต้สียามค่ำคืน เคลื่อนไหวอย่างลับๆ และนุ่มนวล นอกจากบุรุษงอบสีแดงเพลิงที่ยืนตรงปากทางเข้าตรอกแล้ว คนอื่นไม่รู้สึกเลย บุรุษหันหน้าไปเล็กน้อย ขยับไปเล็กน้อยมาก ใต้ผ้าคลุมหน้าเหมือนจะเผยรอยยิ้มเป็นนัย
เจ้ากรมข่าวกรองน้อยโบกมือ ผู้บำเพ็ญกรมข่าวกรองที่ปิดทางเข้าตรอกเตรียมจะเก็บโซ่ คลายผนึกฟ้าดินแห่งนี้
“รอเดี๋ยว…”
เสียงอวิ๋นสวินดังมาด้วยความทุกข์ใจ ทำให้เจ้ากรมข่าวกรองน้อยหยุดชะงัก ใบหน้าแปลกไปทันที
“ปิดตรอกนี้ไว้ อย่าได้แพร่งพรายสิ่งที่จะเกิดขึ้นจากนี้”
มือนั้นที่เขายกขึ้นกดลงช้าๆ
สมาชิกกรมข่าวกรองที่ยืนในตรอกมีสีหน้าสับสนนิดๆ ก่อนจะเข้าใจความหมายของผู้บัญชาตน
พวกเขาไม่หันหลังให้ในตรอกอีก แต่หมุนตัวกลับมาช้าๆ เผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญเขาศิลาเต่าแดนบูรพา
…..
หลิงสวินใช้สมาธิทั้งหมดไปกับบุรุษหนุ่มสวมงอบแดงเพลิงตรงหน้า
“ได้ยินว่ามีคนน่าสนใจมาเมืองหลวงกันเยอะเลย” บุรุษหนุ่มถอนหายใจเบา “ข้าหาคู่ต่อสู้ที่แดนอุดรมาตลอด คนเขาเชียงปิดด่านบำเพ็ญไม่ออกมา คนเขาลั่วเจียก็เดินทางไปทั่วสี่ทิศ บุตรศักดิ์สิทธิ์จากเขาศักดิ์สิทธิ์มากมายก็หลบข้ากัน ตอนนี้ดูแล้ว…คุณชายหยวนฉุนจริงใจไม่หลอกข้า เมืองหลวงในตอนนี้ไม่ใช่เมืองหลวงอย่างเมื่อก่อนอีกแล้ว”
กายวิญญาณอมตะหน้ากากเงินดุร้ายบีบกระดองเต่าไว้ในมือ หรี่ดวงตาลง พูดด้วยความระมัดระวัง “คนแซ่เฉา เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
“หลังลั่วฉางเซิงไป ก็มีอันดับหนึ่งรายนามดาราคนใหม่” บุรุษสวมงอบแดงเพลิงยื่นมือมาตามจิตใต้สำนึก วางไว้ตรงหน้างอบ ตอนที่จะสัมผัส ผ้ากับปลายนิ้วเกิดประกายสายฟ้าขึ้น
เฉาหลันหยุดชะงักไปเล็กน้อย ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเสียดาย “ขออภัยด้วย ลืมไปว่ายังถอดงอบตอนนี้ไม่ได้…แต่ว่า ตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาถอดงอบจริงๆ”
หลิงสวินจ้องเฉาหลัน เหมือนเจอศัตรูตัวฉกาจ
“ข้ากลับมาจากแดนอุดร สิ่งแรกที่จะทำในเมืองหลวงคืออยากดูว่าอันดับหนึ่งรายนามดาราต่อจากลั่วฉางเซิงมีหน้าตาอย่างไรกันแน่ ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าคนชื่อหนิงอี้จะเป็นเซียนตกฟ้าที่มีสามหัวหกแขนหรือไม่” เฉาหลันยิ้ม สายตาจับจ้องกายวิญญาณอมตะแห่งเขาศิลาเต่าแดนบูรพา กวาดสายตามองรอบหนึ่งก่อนจะทำเสียงจิ๊ๆ “ไม่นึกเลยว่าจะได้ดูละครของเขาศิลาเต่าแดนบูรพา ถ้าจำไม่ผิด เจ้าชื่อหลิงสวินกระมัง ก่อนหน้านี้ข้าไปเยือนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ชื่อดังมาทั่ว เจ้าเอาแต่หลบข้ามาตลอด แต่ตอนนี้กลับกล้าขึ้นมาแล้ว โผล่มาในเมืองหลวงกลางวันแสกๆ อะไรกัน เจ้าเองก็คิดจะนั่งอันดับหนึ่งรายนามดาราเหมือนกันรึ”
ใบหน้าหลิงสวินใต้หน้ากากโกรธจนหน้าแดง เขาเงยหน้าขึ้น ตอนนี้เมืองหลวงเข้าสู่กลางดึก ไม่ใช่ ‘กลางวันแสกๆ’ อย่างที่เฉาหลันบอก ตอนนั้นเฉาหลันมีชื่อเสียงโด่งดัง ไปเยือนทุกเขาศักดิ์สิทธิ์ ได้รับขนานนามว่าทุบตีบุตรศักดิ์สิทธิ์รุ่นเดียวกันได้ทุกคน ตอนนั้นเขาศักดิ์สิทธิ์แดนบูรพาทั้งหมด นอกจากที่พำนักเทพแห่งเขาเชียงแล้ว คนอื่นต่างถอยไปสามฉื่อ หนีกันจ้าละหวั่น
ตอนนี้ ตอนนั้น
อดีตกับปัจจุบันเทียบกันไม่ได้แล้ว
เขาพูดด้วยความโกรธลึกๆ “คนแซ่เฉา เจ้าอย่ารังแกกันเกินไปนัก!”
เฉาหลันยิ้มพลางทำเสียงอ้อ ก่อนจะถามเชิงเย้าหยอก “ข้ารังแกหรือ ข้ามองเจ้าเป็นแค่เต่าดำหดหัวมาตลอด จะไปรังแกได้อย่างไร”
“เต่าดำหดหัว วันนี้โผล่หัวออกมาแล้ว ข้าไม่ได้แค่จะรังแกเจ้า แต่จะด่าเจ้าด้วย” เฉาหลันหันศีรษะเล็กน้อยไปมองหลิงสวิน ก่อนพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่ได้เจอกันหลายปี พลังบำเพ็ญไม่พัฒนาขึ้นเลย สมกับความเร็วเต่าจริงๆ อย่างเจ้าหรือจะฝึกเป็นตะพาบพันปีได้”
หลิงสวินบีบกระดองเต่า เขาจ้องเฉาหลัน ใบหน้าย่ำแย่ถึงที่สุด แต่ก็ยังกลืนความโกรธนี้ลง
เฉาหลันทำเสียงจิ๊ๆ “อดทนเก่งจริงๆ ด่าขนาดนี้เจ้ายังไม่โกรธอีกรึ”
บุตรศักดิ์สิทธิ์เขาศิลาเต่ากัดฟันพูด “วันนี้เจ้าก็มาหาหนิงอี้เหมือนกันรึ”
เฉาหลันพูดอย่างเกียจคร้าน “แค่ผ่านทางมาเฉยๆ”
“ข้าเพิ่งทำลายค่ายกลของจวนนี้ ยกให้เจ้าแล้วกัน ข้าไม่เอาแล้ว” หลิงสวินพ่นลมหายใจยาว “ถ้าเจ้าแน่จริง ก็เข้าไปเอาในจวนเองเถอะ”
ความหมายนอกเหนือในคำพูดคือเจ้ากับข้าลากันตรงนี้แล้วกัน
เฉาหลันฟังเข้าใจ เพียงแค่ยิ้มๆ เขายืนขวางในทางเข้าตรอกไม่ขยับแม้แต่น้อย เพียงแค่เปลี่ยนท่าทางเล็กน้อย
สองมือที่ประสานไว้หลังศีรษะวางลงช้าๆ
“เจ้า…หมายความว่าอย่างไร”
หลิงสวินหรี่ตาลง จ้องบุรุษสวมงอบแดงเพลิงเขม็ง
“ไม่อะไรหรอก” เฉาหลันพูดด้วยรอยยิ้ม “เต่าดำหดหัวแห่งแดนบูรพา ข้าไม่ใช่แค่จะด่าเจ้า แต่จะทุบตีเจ้าด้วย”
‘มังกรจู๋หลง’ ผู้บำเพ็ญพเนจรแดนอุดรที่ลดสองมือลง ในขอบเขตที่สิบ แม้แต่เจ้ากรมปราบปีศาจใหญ่สองคนยังสยบเขาไม่ได้ เริ่มขยายร่าง เกิดเสียงถั่วระเบิดเปาะแปะดังทั้งตัวไม่ขาดสาย
“ได้ยินว่าผู้บำเพ็ญเขาศิลาเต่าแดนบูรพาทนมือทนเท้าเก่งรึ”
เฉาหลันยิ้ม “ไม่รู้ว่ากระดองเต่าของพวกเจ้าจะรับหมัดข้าไหวหรือไม่”
หลังเอ่ยจบ ก็มีผู้บำเพ็ญชุดหยาบสีขาวหลายสิบคนหลั่งไหลเข้ามาในตรอกมืดมิดข้างหลังเฉาหลัน เหมือนกับนกยูงรำแพนหาง
หลิงสวินประกบสองมือ บีบกระดองเต่านั้นไว้ในมือ
ค่ายกลยักษ์แผ่กระจายเหนือศีรษะบุรุษสวมงอบ
……………………..