ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 167 พิสูจน์

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 167 พิสูจน์

เมื่อเห็นว่าหวังพึ่งพี่ใหญ่ไม่ได้ เสี่ยวชีจึงมองซิ่วเย่ว์

ซิ่วเย่ว์ยิ้ม “รีบไปเถอะ อย่าให้เถ้าแก่รอนาน”

เสี่ยวชีพยักหน้าอย่างยากเย็น ยอมจำนนตามไปแต่โดยดี

เขาเองก็ไม่รู้ว่าตนเองกลัวอะไร แต่ก็รู้สึกกลัว

ความกลัวนี้ยังต่างจากความกลัวเมื่อครั้นเถ้าแก่ปล้นเขากลับในอดีต

ลั่วเซิงเข้าไปนั่งลงในห้อง เห็นเด็กน้อยอืดอาดอยู่หน้าประตูก็ยิ้มให้ “ทำไมไม่เข้ามาเล่า”

เสี่ยวชีกัดฟันเดินเข้าไป ท่าทางอึดอัดใจ

“แป้งทอดที่อาซิ่วทำให้เจ้ากินอร่อยหรือไม่” ลั่วเซิงรินน้ำชาให้ตนเอง ถามขึ้นช้าๆ

“อร่อยขอรับ” เสี่ยวชีข่มความประหม่าที่เกิดขึ้นในใจอย่างไม่รู้สาเหตุไว้ ตอบตามความจริง

“แล้วขาหมูตุ๋นอร่อยหรือไม่”

“อร่อยขอรับ”

“เนื้อตุ๋นเล่า”

“อร่อยเหมือนกันขอรับ” เมื่อพูดถึงของอร่อยเหล่านี้แล้ว เสี่ยวชีก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง กลับกลายเป็นว่าเริ่มกลืนน้ำลายแทน

ลั่วเซิงเป่าใบชาที่ลอยอยู่บนน้ำชาเบาๆ ยิ้มถามว่า “เสี่ยวชีเรียนหนังสือแล้วต่อไปอยากเป็นอะไรหรือ”

“เป็นเสี่ยวเอ้อร์ในหอสุราของเราขอรับ!” เสี่ยวชีตอบอย่างมั่นใจ

ลั่วเซิงส่ายศีรษะ “หอสุราของเรามีเสี่ยวเอ้อร์แล้ว”

“ทำงานเบ็ดเตล็ดก็ได้ ข้าผ่าฟืนเป็นแล้วก็บดถั่วเป็นด้วยขอรับ!” เสี่ยวชีได้ยินดังนั้นก็วิตก

ลั่วเซิงส่ายศีรษะอีกครั้ง “ผ่าฟืน บดถั่ว งานพวกนี้มีคนทำหมดแล้ว เจ้าคิดจะแย่งงานของพี่ใหญ่เจ้าหรือพี่ใหญ่ลู่หรือ”

เสี่ยวชีรีบโบกมือ

เรื่องไร้คุณธรรมเช่นนี้เขาไม่ทำแน่นอน!

อีกอย่าง หากทำเช่นนั้นจริงๆ พี่ใหญ่และพี่ใหญ่ลู่คงตีเขาตาย ตนสู้พวกเขาไม่ได้ด้วย

เรื่องไร้คุณธรรมและอันตรายต่อชีวิตแบบนี้ เขาไม่ทำแน่นอน

“แล้วเจ้าทำอะไรได้อีกเล่า”

เสี่ยวชีอ้ำอึ้ง

นั่นน่ะสิ เขาทำอะไรได้อีกนะ

“ข้า ข้า…” เมื่อต้องเผชิญกับสายตาสงบนิ่งของลั่วเซิง เด็กหนุ่มก็ร้อนรน

ฉะนั้นเรียนหนังสือไปมากมายมีประโยชน์อะไรกัน แม้แต่เสี่ยวเอ้อร์ก็ยังเป็นไม่ได้

ลั่วเซิงยิ้ม “หอสุรายังขาดนักสู้ ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะทำได้ดี เวลาว่างจากการเรียนเจ้าไปฝึกวิชาต่อสู้กับสือเยี่ยน เมื่อมีทักษะระดับหนึ่งแล้วมาเป็นนักสู้ของหอสุราดีหรือไม่”

เสี่ยวชีพยักหน้าราวกับไก่จิกข้าว “ดีขอรับ ข้าจะเป็นนักสู้!”

ฉะนั้นเรียนหนังสือไปมากมายมีประโยชน์อะไรกันแน่ เหตุใดเขาไม่เรียนต่อสู้กับพี่ใหญ่สือไปเลย จะได้เป็นนักสู้ได้เร็วๆ

เด็กหนุ่มตกอยู่ในความคิด

“แต่ว่า…”

เมื่อได้ยินลั่วเซิงพูดสองคำนี้ เสี่ยวชีก็ดึงสติกลับมาทันที เขามองนางอย่างประหม่า

เด็กสาวตรงหน้ามีรอยยิ้มสดใสราวกับดอกไม้ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เสี่ยวชีเคยได้ยินประโยคนี้หรือไม่ ของดีไม่ได้ร่วงหล่นจากฟากฟ้า เราเป็นมนุษย์ ไม่ควรโลภเพื่อผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ การแลกเปลี่ยนอย่างยุติธรรมถึงจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง”

เสี่ยวชีพยักหน้าอย่างซื่อๆ

“เคยได้ยินก็ดี ข้าเป็นเจ้าของของหอสุรา ไม่ขาดแคลนเงิน ข้าจ้างนักสู้จำนวนหนึ่งได้ทันที เหตุใดจึงต้องรอเจ้า”

เสี่ยวชีอ้ำอึ้ง

นั่นน่ะสิ เหตุใดจำเป็นต้องรอเขา

เพราะเขามีพรสวรรค์โดดเด่นหรือ

ไม่ใช่หรอก เขาร่ำเรียนมาหลายวันแล้ว รู้จักตัวหนังสือไม่ถึงสิบตัวเลย…

เสี่ยวชีก้มศีรษะลงอย่างรู้สึกผิด

“เสี่ยวชีสามารถหาสิ่งมาแลกเปลี่ยนได้นี่”

เสี่ยวชีเงยหน้า ถามอย่างงงงัน “แลกด้วยอะไรหรือขอรับ”

ลั่วเซิงเชิดคางขึ้นเล็กน้อย พูดอย่างสงบว่า “ถอดกางเกงเถอะ”

เด็กหนุ่มวิ่งไปที่ประตู กอดประตูห้องไว้อย่างหวาดกลัวและมองเด็กสาว… เอ่อ ไม่สิ มองนางมารต่างหาก!

นางมารยังคงยิ้มอย่างอ่อนโยน

“ถะ เถ้าแก่ ข้าขายแรง ไม่ขายร่างกายนะขอรับ!” เด็กหนุ่มเกาะขอบประตูร้องออกมา

“ไม่ต้องการให้เจ้าขายร่างกาย ข้าแค่ขอดูหน่อย”

“แค่ดูก็ไม่ได้ขอรับ!” เด็กหนุ่มเอามือป้องเป้า ทำหน้าระแวดระวัง

ลั่วเซิงขมวดคิ้ว สีหน้าหมดความอดทน “หากไม่ยอม พรุ่งนี้ข้าจะจ้างนักสู้มา”

นางไม่ได้เป็นคนจิตใจดีมีเมตตาเช่นนั้น ตอนนั้นที่รับพวกเขาไว้เป็นเพราะซิ่วเย่ว์บอกว่าเสี่ยวชีคือหลานชายของนาง

ไม่เช่นนั้นนางวางแผนมากมายเช่นนั้น เหตุใดต้องปล่อยให้โจรป่าที่ไม่รู้เรื่องอะไรอยู่ในหอสุราเล่า

ต้องพิสูจน์ว่าเสี่ยวชีคือเป่าเอ๋อร์จริงๆ หรือไม่ นางจะรอค่อยๆ วางแผนไม่ได้

อีกอย่าง ไม่ว่าอย่างไรการค่อยๆ วางแผน สุดท้ายแล้วก็ต้องดูก้นของเสี่ยวชีอยู่ดี

หากไหว้วานให้คุณชายสามเซิ่งหรือผู้ชายคนอื่นทำให้ หรือกระทั่งถามตู้เฟยเปียวเอง นอกจากนางต้องอธิบายให้คนๆ หนึ่งฟังแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือนางไม่อยากเชื่อการตัดสินของผู้อื่น

หากพวกเขาแค่กล่าวเอาใจนางเล่า หรือหากตำแหน่งและรูปร่างไม่เหมือนกันเล่า

เรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้องกับจวนเจิ้นหนานอ๋องเช่นนี้ นางย่อมต้องเห็นด้วยตาตนเอง

ในเมื่อต้องดูไม่ช้าก็เร็ว แน่นอนว่าดูเร็วหน่อยย่อมดีกว่า

ส่วนเสี่ยวชีที่ยังคงเกาะขอบประตูเริ่มลังเล

ไม่ให้เถ้าแก่ดู เถ้าแก่ก็จะจ้างนักสู้ ต่อไปเขาก็จะไม่ได้กินขาหมูตุ๋น หัวหมูย่างแสนอร่อยแล้ว… ฮือๆๆ แม้แต่แป้งทอดต้นหอมสีเหลืองทองและหอมกรุ่นก็ไม่ได้กินแล้ว

หากให้เถ้าแก่ดู… หากเถ้าแก่แค่ดูจริงๆ เหมือนกับว่าก็ไม่ได้เสียหายอะไร

“คิดเสร็จหรือยัง”

เสี่ยวชีกระพริบตา “แค่ดูจริงๆ ใช่หรือไม่ขอรับ”

“อืม”

“งั้น ก็ได้…” เสี่ยวชีหน้าแดง ยื่นมือไปปลดเข็มขัด

“หันหลังไปค่อยถอด”

ทันทีที่เสี่ยวชีได้ยินว่าจะดูแค่ข้างหลัง เขาก็รีบหันกายไปและถอดกางเกงออกราวกับกลัวว่าลั่วเซิงจะกลับคำ

พูดแต่แรกสิ แค่เปิดก้นให้ดูไม่ใช่เรื่องใหญ่ ตอนที่ยังไม่มาเมืองหลวง เขาแอบหนีลงจากเขาไปขโมยไก่ตัวเมียบ้านสะใภ้ใหญ่หวังแล้วถือโอกาสอาบน้ำในสระน้ำ เขาถูกสะใภ้ใหญ่หวังวิ่งไล่ตีไปหลายลี้โดยที่ท่อนล่างเปลือยเปล่าด้วยซ้ำ

เสี่ยวชีถอดอย่างรวดเร็ว ลั่วเซิงดูอย่างตั้งใจ

ผ่านไปครู่หนึ่ง ข้างหลังก็มีเสียงดังขึ้น “ใส่กางเกงให้เรียบร้อยแล้วออกไปเถอะ”

เสี่ยวชีจับกางเกงขึ้นมา หันกลับไปมอง

เด็กสาวนั่งนิ่งไม่ขยับ สีหน้าหนักอึ้งไม่น้อย

หนักอึ้ง?

เสี่ยวชีเดินออกไป นอกจากจะไม่ได้รู้สึกโชคดีที่รอดพ้นจากปากเสือแล้ว กลับยังตกอยู่ในความสับสน

เพราะก้นของเขาไม่สวยหรือ หรือว่าดำเกินไป เหตุใดเถ้าแก่ดูเสร็จแล้วทำหน้าตาทุกข์ใจเช่นนั้นนะ

ผิดหวังเช่นนั้นเลยหรือ… เด็กหนุ่มคิดอย่างโกรธเคือง

“เสี่ยวชี เหตุใดเจ้าเดินออกมาจากห้องเถ้าแก่เล่า” ชายมีหนวดเห็นเสี่ยวชีเดินมาด้วยสีหน้างงงันก็ตบไหล่เขาเบาๆ พวกเขาพักในห้องที่อยู่ด้านข้างห้องโถงใหญ่ ห้องเถ้าแก่มีไว้สำหรับให้เถ้าแก่พักผ่อน

เสี่ยวชีพึมพำว่า “เถ้าแก่เรียกข้าเข้าไป”

“เถ้าแก่เรียกเจ้าเข้าไปทำอะไร” พี่ใหญ่ที่พึ่งพาได้ไม่เข้าใจว่าเพียงระยะเวลาสั้นๆ ที่เขากำลังแย่งกินแป้งทอดต้นหอมนั้นเกิดอะไรขึ้น

เสี่ยวชีดึงสติกลับมาได้ พูดเสียงเบาว่า “เถ้าแก่ดูก้นของข้า…”

“อะไรนะ เถ้าแก่ดูก้นของเจ้า?” ชายมีหนวดอุทานเสียงดัง

“พี่ใหญ่ เบาๆ หน่อย!” เด็กหนุ่มร้อนรน รีบมองไปรอบๆ

“พี่ลู่ไปห้องเก็บฟืนแล้ว ไม่มีใครได้ยิน…” คำพูดที่เหลือของชายมีหนวดจุกอยู่ในลำคอ เขาเบิกตากว้างมองไปด้านหน้า

เสี่ยวชีหันมองตาม

ชายหนุ่มในชุดสีแดงเข้มคนหนึ่งยืนอยู่ไม่ไกล เขากำลังมองทั้งสองด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

ไม่สิ มองเสี่ยวชีต่างหาก

สือเยี่ยนที่อยู่ข้างๆ เหงื่อตก ยิ้มแห้งว่า “นายท่าน ท่านจะยืมใช้ห้องน้ำมิใช่หรือ…”

เหอะๆๆ เขาไม่ได้ยินอะไรทั้งสิน!

ส่วนนายท่าน… แน่นอนว่านายท่านได้ยินหมดแล้ว

สือเยี่ยนรู้สึกถึงบางอย่าง แอบเหลือบมองไปที่ประตูห้อง

บนบันไดหินนอกห้อง หญิงสาวในชุดสีเรียบยืนอยู่นิ่งๆ สีหน้าไม่แยแส

องครักษ์น้อยเสริมอีกคำหนึ่งในใจเงียบๆ ว่า นายท่านได้ยินแล้วจะทำอะไรคุณหนูลั่วได้เล่า…

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท