ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 168 จะดูแลเจ้า

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 168 จะดูแลเจ้า

แน่นอนว่าเว่ยหานไม่สามารถทำอะไรเด็กสาวสีหน้าเรียบเฉยที่ยืนอยู่บนบันไดหินได้

เขาก็แค่ลูกค้าประจำของหอสุรา ไม่ว่าเจ้าของหอสุราจะเลี้ยงนายบำเรอหรือดูก้นของเด็กหนุ่ม แล้วเกี่ยวอะไรกับเขาเล่า

เขาก็แค่รู้สึกตะลึงเท่านั้น

เด็กหนุ่มที่ชื่อเสี่ยวชีคนนั้นเป็นโจรป่า แถมยังดำ…

ลั่วเซิงเดินลงมา ทักทายเว่ยหาน “เหตุใดท่านอ๋องจึงมาที่ด้านหลังเล่าเจ้าคะ”

“ข้ามาล้างมือ”

สือเยี่ยนมองนายท่านของตนอย่างตกตะลึง

นายท่านจะใช้ห้องส้วมมิใช่หรือ เหตุใดเปลี่ยนไปล้างมือเล่า

เมื่อหางตาเหลือบเห็นลั่วเซิง สือเยี่ยนจึงกระจ่าง

ก็ใช่ ต่อหน้าสตรีจะพูดว่าใช้ห้องส้วมได้อย่างไร

ลั่วเซิงได้ยินดังนั้นกลับหัวเราะ “ท่านอ๋องจับงูมาด้วยหรือเจ้าคะ”

เว่ยหานมองนางด้วยสายตาจนใจเล็กน้อย ไม่ได้สนใจคำหยอกล้อของนาง

“สือเยี่ยน เจ้าพาท่านอ๋องไปล้างมือเถอะ” ลั่วเซิงสั่ง ยอบกายให้เว่ยหานเล็กน้อยเพื่อกล่าวลาแล้วจึงก้าวเท้าเดินเข้าไปในห้องครัว

เห็นเว่ยหานเดินตามสือเยี่ยนไป ชายมีหนวดก็รีบเดินไปข้างหน้าลั่วเซิงขวางนางไว้ “ช้าก่อนเถ้าแก่”

ลั่วเซิงหยุด มองเขาเงียบๆ

เมื่อต้องมองดวงตาที่สงบดุจสายน้ำ ชายมีหนวดก็ตกอยู่ในภวังค์ครู่หนึ่ง

สตรีสูงส่งดูมิอาจเอื้อมถึงได้ง่ายๆ เช่นนี้ เหตุใดจึงมีงานอดิเรกอย่างการดูก้นผู้อื่นนะ

แต่เสี่ยวชีเป็นเด็กซื่อตรง แต่ไรมาเขาเล่าทุกอย่างให้ตนฟังเสมอ ไม่เคยโกหก

ชายมีหนวดสงบอารมณ์ พูดเสียงขรึมว่า “เถ้าแก่ ข้ามีเรื่องเกี่ยวกับเสี่ยวชีอยากถามท่านขอรับ”

ลั่วเซิงครุ่นคิดก่อนจะพยักหน้า “ได้ เช่นนั้นเจ้าตามข้าเข้าห้องเถอะ”

“พี่ใหญ่…” เสี่ยวชีดึงแขนเสื้อของชายมีหนวดอย่างกังวล

เข้าห้องไม่ได้นะ เข้าห้องอันตรายมาก!

ชายมีหนวดเข้าใจสิ่งที่เสี่ยวชีต้องการจะสื่อในทันใด

ใบหน้าที่ผ่านโลกมาโชกโชนแดงทันที

คงไม่ดูของเขาด้วยหรอกนะ นี่มันน่าอายจะตาย…

“ไหนบอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วยมิใช่หรือ” ลั่วเซิงถามเสียงราบเรียบ

ใบหน้านางสงบนิ่งดังเดิม ในดวงตากลับมีกระแสน้ำไหลเชี่ยว หากคนที่รู้จักนิสัยของนางดีจะรู้ว่าบัดนี้นางอารมณ์ไม่ดีนัก

เพียงแต่ว่าเสียดายที่ชายมีหนวดดูไม่ออก

หลังจากลังเลครู่หนึ่ง ชายมีหนวดก็จับมือของเสี่ยวชีไว้ “ไป”

ลั่วเซิงพาทั้งสองกลับไปที่ห้องพักผ่อนของนางอีกครั้ง

ครานี้เว่ยหานล้างมือแล้ว เขาหยุดอยู่ในสวน มองไปที่ประตูห้องครู่หนึ่ง

“นายท่าน…” สือเยี่ยนไม่รู้จะพูดอะไรดี ได้แต่ขานเรียกเขา

เว่ยหานไม่ได้สนใจเขา หันเดินไปทางห้องโถง

แสงในห้องสว่างไสว ลั่วเซิงนั่งลงบนเก้าอี้เอ่ยด้วยเสียงราบเรียบว่า “ว่ามาเถอะ”

เสี่ยวชีหดมือลงด้วยสัญชาติญาณ

ชายมีหนวดระเบิดอารมณ์ทันทีที่เห็นปฏิกิริยานี้ “เถ้าแก่ เสี่ยวชีเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง!”

“แล้วอย่างไร”

“แล้ว…” ชายมีหนวดชะงักไปเล็กน้อย ราวกับจะตัดสินใจได้ “หากท่านคิดเกินเลยกับเสี่ยวชี ข้าจะพาเสี่ยวชีไปจากหอสุรา!”

เสี่ยวชีได้ยินดังนั้นก็ตระหนก กอดแขนของชายมีหนวดร้องว่า “พี่ใหญ่ ข้าไม่ไป ข้าจะเป็นนักสู้ของหอสุรา”

จะไปได้อย่างไรเล่า ไปแล้วจะได้กินอาหารอร่อยๆ เหล่านั้นอีกหรือ

อีกอย่างงานนี้เขาเป็นคนแลกมาด้วยตนเอง หากไปเขาก็ขาดทุนสิ

“เสี่ยวชี เจ้าปล่อยมือ!” ชายมีหนวดแกะมือที่เกาะแน่นของเสี่ยวชีออก

เสี่ยวชีกอดแขนของเขาไม่ยอมปล่อย “ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ไป พี่ใหญ่สัญญากับข้าก่อนว่าจะไม่ไป ข้าจะปล่อยมือ”

ชายมีหนวดโมโหจนถลึงตาใส่

เขายอมสละงานล้างจานในหอสุราอย่างเจ็บปวดเพราะเจ้าหมอนี่แล้ว เขายังทำตัวเป็นภาระอีก

ยังมีศักดิ์ศรีของโจรป่าหรือไม่!

“พี่ตู้ เข้าใจผิดแล้ว ข้าแค่ตรวจสอบดูว่าเสี่ยวชีใช่หลานชายของอาซิ่วหรือไม่”

เนื่องจากทั้งสามมีที่มาไม่ชัดเจนจึงไม่เรียกชื่อจริงในหอสุรา

“ตรวจสอบหรือ” ชายมีหนวดชะงัก “มีจักจั่นหยกแล้วมิใช่หรือ”

“จักจั่นหยกไม่ได้งอกบนตัว ข้าได้ยินอาซิ่วบอกว่าบั้นท้ายของหลานชายนางมีปานจึงลองดูให้นาง”

“เหตุใดท่านอาไม่ดูเองเล่าขอรับ” ชายมีหนวดโพล่งถาม พูดคำว่า ‘ท่านอา’ อย่างคล่องปาก

ลั่วเซิงมองเขา พูดหน้านิ่งว่า “อาซิ่วหน้าบาง”

ชายมีหนวดพูดไม่ออก

เถ้าแก่พูดถูก หากท่านอาหน้าไม่บางก็คงไม่มีหลานชายตัวใหญ่โผล่มาถึงสองคน

เสี่ยวชีได้ยินดังนั้นกลับเคร่งเครียดขึ้นมา

“ที่นั่นของขะ ข้า…”

“มีรอยแผลเป็น” ลั่วเซิงตอบอย่างสงบ

มันคือเหตุผลที่หลังจากนางเห็นแล้วรู้สึกหนักอึ้ง

บังเอิญตรงกับตำแหน่งปานของเป่าเอ๋อร์พอดี

ไม่รู้ว่าใช้รอยแผลเป็นเพื่อปกปิดปานหรือไม่มีปานแต่แรกจึงใช้รอยแผลเป็นเพื่อปกปิดกันแน่

ความเป็นไปได้ทั้งสองนี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิงสำหรับนางและจวนเจิ้นหนานอ๋อง

แต่ว่าคืนนั้นซิ่วเย่ว์เป็นคนเห็นกับตาว่าคู่หมั้นนางอย่างหยางจุ่นพาเป่าเอ๋อร์ไป หยางจุ่นยังมอบจักจั่นหยกให้เสี่ยวชี รอยแผลเป็นนั้นน่าจะเป็นแผลเป็นปกปิดปาน

ถึงอย่างไรเพื่อปกปิดตัวตนแล้วหยางจุ่นถึงกับเปลี่ยนชื่อแซ่ บอกกับทุกคนในค่ายเฮยเฟิงว่าเขาแซ่อวี๋

คนละเอียดรอบคอบเช่นนี้ มีความเป็นไปได้มากว่าเขาจะทำลายปานเพื่อปกปิดตัวตนของเป่าเอ๋อร์

เมื่อเป็นเช่นนี้ เสี่ยวชีคงจะเป็นน้องชายของนางเป่าเอ๋อร์ไม่มีผิดแน่แล้ว

“พี่ใหญ่ ตรงนั้นของข้ามีรอยแผลเป็น…” เสี่ยวชีมองชายมีหนวดอย่างตื่นตระหนก

เถ้าแก่หมายความว่าอย่างไร หมายความว่าท่านอาไม่ใช่อาของเขาหรือ

เขาไร้พ่อไร้แม้ มีเพียงท่านลุงอวี๋ หลังจากที่ลุงอวี๋ตายไป คนที่เขาใกล้ชิดที่สุดก็คงเป็นพี่ใหญ่แล้ว

บัดนี้ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีอาคนหนึ่งซึ่งเป็นอาแท้ๆ เขาไม่อยากเสียท่านอาไปอีกคน…

ชายมีหนวดตบไหล่เสี่ยวชีเบาๆ พูดกับลั่วเซิงว่า “ข้ารู้เรื่องรอยแผลเป็นบนก้นของเสี่ยวชี มันมีตั้งแต่ตอนที่ลุงอวี๋พาเขามาหมู่บ้านของเราแล้ว เห็นลุงอวี๋บอกว่าเพราะเขาดูแลเด็กไม่เป็น ไม่ระวังไปโดนแท่งไฟเข้า…”

ลั่วเซิงฟังชายมีหนวดเล่าจนจบเงียบๆ นางลุกขึ้นเดินไปตรงหน้าเสี่ยวชี

“เถ้าแก่…” เสี่ยวชีเอ่ยเรียกอย่างเขินอาย

เขาคิดว่าเถ้าแก่อยากให้เขาเป็นนายบำเรอเสียอีก คิดไม่ถึงว่าเป็นเพราะเหตุนี้

ลั่วเซิงยกมือขึ้น ลูบศีรษะเด็กหนุ่มเบาๆ “หลายปีมานี้ลำบากเจ้าแล้ว อาซิ่วจะดูแลเจ้าอย่างดีเอง”

นางเองก็เช่นกัน

เพียงแต่ว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลานับญาติ

“เอาล่ะ พวกเจ้าออกไปเถอะ เสี่ยวชีเริ่มเรียนทักษะการต่อสู้กับสือเยี่ยนตั้งแต่วันพรุ่งนี้ ต่อไปก็จะเป็นคนที่เก่งทั้งบู๊และบุ๋น”

เสี่ยวชีรีบตบหน้าอกของตนเองรับรองว่า “เถ้าแก่วางใจขอรับ ข้าจะต้องเป็นนักสู้ที่เก่งทั้งบุ๋นและบู๊แน่นอน”

ชายมีหนวดอดพูดไม่ได้ว่า “เถ้าแก่ วิชาการต่อสู้ของเสี่ยวชีให้ข้าเป็นคนสอนก็ได้ขอรับ”

เขาเองก็เป็นลูกพี่ใหญ่ในค่ายเฮยเฟิง

“สือเยี่ยนเป็นองครักษ์ประจำตัวของไคหยางอ๋อง”

ชายมีหนวดประสานมือ “เช่นนั้นก็รบกวนเขาแล้ว”

“ออกไปเถอะ”

เมื่อทั้งสองจากไป ลั่วเซิงก็นั่งอยู่ในห้องคนเดียวพักหนึ่งก่อนจะก้าวเท้าออกไปยังโถงใหญ่

ในโถงใหญ่ แขกสองสามโต๊ะกลับกันแล้ว เหลือเพียงร่างในชุดสีแดงเข้มร่างหนึ่งนั่งดื่มสุราคนเดียว

ข้างหน้าเขามีเพียงเนื้อตุ๋นจานหนึ่งและสุราสามกา

ลั่วเซิงยกถาดเดินเข้าไปนั่งลงตรงข้าม

เว่ยหานเงยหน้าขึ้นมองนาง

อาจจะเป็นเพราะเขาเริ่มมึนเมา ดวงตาที่ชัดเจนของเขาจึงขุ่นมัวเล็กน้อย

“คุณหนูลั่ว” เขาเรียกเบาๆ

ลั่วเซิงนำอาหารจานน้อยบนถาดวางลงบนโต๊ะทีละจาน

“อาหารอภินันทนาการของท่านอ๋องเจ้าค่ะ”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท