ตอนที่ 318 ระเบิดใหญ่
สำนักอาวุธเกิดเหตุระเบิดจากเตาหลอมเหล็ก มีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสจำนวนมาก
ไม่เพียงสำนักอาวุธที่ถูกระเบิดจนเป็นผุยผง ช่างฝีมือด้านในก็แทบจะไม่มีผู้รอดชีวิต เรือนของประชาชนใกล้เตียงก็พังทลาย คนถูกฝังอยู่ภายใน
เปลวเพลิงลุกไหม้ ไม่เพียงต้องการเผาสำนักอาวุธ อีกทั้งยังคิดจะเผาเมืองหลวง
สถานการณ์คับขัน ฮ่องเต้องค์ใหม่ เซียวเฉิงอี้ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว ให้องครักษ์ซิ่วอีไปดับเพลิง ให้องครักษ์จินอู่สำรวจเส้นทาง รับรองความเป็นระเบียบของเมืองหลวง
ไม่อนุญาตให้ผู้ใดฉวยโอกาสพังทลายรากฐานของแผ่นดินต้าเว้ยในเวลาดีเป็นอันขาด
ในเวลาเดียวกันก็ให้ราชองครักษ์จำนวนหนึ่งเข้าร่วมขบวนการดับเพลิง
“สืบ! ไปสืบมาให้ข้า สืบให้ละเอียด อย่าได้ปล่อยผ่านร่องรอยแม้แต่น้อย”
การประชุมท้องพระโรงจบสิ้นลง ฮ่องเต้องค์ใหม่เซียวเฉิงอี้เรียกหัวหน้าองครักษ์จินอู่เจิ้งกังเข้าพบในตำหนักเจิ้งหยาง
เวลานี้ ขุนนางในราชสำนักไม่มีผู้ใดถูกโยกย้าย ทุกอย่างยังคงเป็นเหมือนตอนที่ฮ่องเต้องค์ก่อนยังทรงมีชีวิตอยู่
ดูเหมือนจะสงบ แต่ทุกคนต่างรู้ดีแก่ใจ สถานการณ์นี้คงอยู่ได้ไม่นานนัก
รอถึงปีหน้าก็คือปีไท่หนิงที่หนึ่งแล้ว
ปีใหม่ย่อมต้องมีสิ่งใหม่ เมื่อถึงเวลานั้น ขุนนางในราชสำนักคงต้องมีการปรับเปลี่ยน
หัวหน้าองครักษ์จินอู่เจิ้งกังเตรียมตัวที่จะถูกโยกย้ายทุกเวลาแล้ว
แต่ไม่คิดว่า ฮ่องเต้องค์ใหม่เซียวเฉิงอี้ยังคิดจะใช้งานเขา ให้เขาดูแลคดีระเบิดสำนักอาวุธ
เขาตื่นเต้นอย่างมาก สองแก้มแดงเรื่อ แต่เนื่องจากผิวดำ คนอื่นจึงมองไม่ออก
เขาโน้มตัวรับคำสั่ง พลันพูดเสียงดัง “กระหม่อมน้อมรับคำสั่ง! กระหม่อมจะตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวด ไม่ปล่อยผู้ใดไปเด็ดขาด”
“ดีมาก! เจ้าต้องสืบให้พบสาเหตุโดยเร็ว อย่าได้ทำให้สานการณ์ที่ดีของราชสำนักเสียหาย”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
หัวหน้าองครักษ์จินอู่เจิ้งกังรับคำสั่งจากไป
ฮ่องเต้องค์ใหม่ เซียวเฉิงอี้มองออกไปด้านนอกประตูตำหนัก ท้องฟ้าราวกับถูกเผาจนเป็นสีแดงทำให้คนอึดอัด
เขาถามขันทีคนสนิทหลัวเสี่ยวเหนียน “ความเสียหายในวังหลวงเป็นอย่างไรบ้าง ทางพระพันปีและฮองเฮาตกใจหรือไม่”
หลัวเสี่ยวเหนียนรีบพูด “ทูลฝ่าบาท ทางพระพันปีและฮองเฮาทรงปลอดภัยดี ไม่ได้รับความตื่นตระหนกแต่อย่างใด ฝ่าบาททรงไม่ต้องกังวล ในวังยังมีพระตำหนักหลายแห่งพังทลาย นอกจากนางในนางหนึ่งได้รับบาดเจ็บแล้ว ไม่มีผู้ได้รับความเสียหายอีก กระหม่อมสั่งให้คนเตรียมซ่อมแซมพระตำหนักแล้ว”
“ไม่ต้องซ่อม!” ฮ่อเต้องค์ใหม่เซียวเฉิงอี้ออกคำสั่ง “ซ่อมหลังคาใหดี รับรองว่าน้ำไม่รั่ว ที่อื่นไม่ต้องซ่อม”
หลัวเสี่ยวเหนียนตกใจ “ฝ่าบาททรงหมายความว่าให้ปล่อยตำหนักหลายแห่งนั้นพังอยู่ตรงนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ได้หรือ เวลานี้ราชสำนักกำลังเผชิญกับภัยจากภายในและภายนอก สำนักอาวุธได้รับความเสียหายหนัก คนที่ตายล้วนเป็นราษฎรของข้า ข้าต้องการชดเชนให้พวกเขา ต้องใช้เงินทุกที่ ประหยัดเงินที่ใช้ซ่อมแซมตำหนักมาช่วยเหลือผู้ประสบภัยดีกว่า”
หลัวเสี่ยวเหนียนซาบซึ้งอย่างมาก ดวงตาแดงก่ำ เขาพูด “ฝ่าบาททรงรักใคร่ราษฎรเหมือนดุจ ทรงยินดีให้ตำหนักพังทลายเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย กระหม่อม…”
“หุบปากเถิดเจ้า ข้าไม่ขาดการเยินยอของเจ้า จัดการเรื่องที่ข้าสั่งให้ดี เจ้าก็เป็นขุนนางที่จงรักภักดีแล้ว”
“กระหม่อมย่อมเป็นขุนนางที่จงรักภักดีอย่างแน่นอน ในเมื่อพระองค์ทรงมอบหมายเรื่องใหญ่นี้ให้กระหม่อม กระหม่อมจะทำผลงานออกมา ไม่ขายหน้าฝ่าบาท”
“เช่นนี้ย่อมดี!”
ฮ่องเต้องค์ใหม่ เซียวเฉิงอี้ไม่ทำตามแบบแผน มอบหมายภารกิจการช่วยเหลือผู้ประสบภัยให้แก่ขันที หากไม่ใช่ขุนนางราชสำนัก
เขาทำเช่นนี้ก็เพื่อลดการโกงให้ได้มากที่สุด
อีกทั้งยังเพื่อครอบครองข่าวสารอันดับแรก
หลัวเสี่ยวเหนียนเป็นคนของเขา แม้จะกล้าฉ้อโกง แต่เขาก็มีขอบเขน
หากมอบหมายเรื่องการช่วยเหลือประสบภัยให้ขุนนางราชสำนัก ปริมาณการฉ้อโกงคงยากเกินจะนับ
เมื่อเทียบกับการต้องปะทะกับขุนนางราชสำนัก อีกทั้งยังประหารไม่ได้ อย่างมากก็ทำได้เพียงถอนตำแหน่ง สู้ให้ขุนนางฝ่ายในของวังหลวงไปจัดการเสียดีกว่า
มือของผู้ใดกล้ายื่นไปทางเงินและเสบียงสำหรับบรรเทาภัยพิบัติล้วนต้องถูกประหาร ไม่ต้องผ่านการหารือ
ความคิดดีงามมาก แต่ขุนนางราชสำนักไม่ยอม
เรื่องใหญ่เกี่ยวกับประชาชน จะให้ขันทีแทรกแซงได้อย่างไร
มันคือหน้าที่ของขุนนางในเดิมที แต่ฮ่องเต้กลับทรงมอบหมายเรื่องสำคัญนี้ให้ขันที อีกทั้งยังไม่บอกกล่าวล่วงหน้า รังแกกันเกินไปแล้ว
ขุนนางราชสำนักไม่พอใจจึงแสดงออกมา
ฎีการ้องเรียนลอยว่อนเข้ามาในวังหลายตะกร้าในแต่ละวัน
ตอนหารือในท้องพระโรง บรรดาขุนนางต่างพ่นน้ำลายใส่ฮ่องเต้องค์ใหม่ เซียวเฉิงอี้อย่างพร้อมเพียง
ต่อว่าเขาใช้งานขันที ช่างเหลวไหลยิ่งนัก
เหลือแค่บอกว่าเขาไม่คู่ควกับบัลลังก์ เป็นฮ่องเต้ที่ไม่มีความสามารถ สมควรตาย!
นี่คือแรงกดดันที่ใหญ่ที่สุดนับแต่เซียวเฉิงอี้ขึ้นครองราชย์ อีกทั้งยังเป็นวิกฤตแรกที่เขาเผชิญ
เมื่อเห็นบรรดาขุนนางน้ำลายกระเซ็น ด่าคนโดยไม่มีคำหยาบ แต่กลับเสียดสีเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า เซียวเฉิงอี้ก็อยากโกรธอย่างมาก เขาอยากจะประหารขุนนางเหล่านี้ในทันที
ในเวลาเดียวกัน เขาก็รับมือเกือบไม่ไหว เขาเกือบจะยอมจำนน อยากจะจบสิ้นเรื่องนี้อย่างเงียบๆ เรียกบรรดาขุนนางฝ่ายในกลับมาให้หมด?
ไม่!
ไม่ได้!
เขาจดจำคำสอนของฮ่องเต้องค์ก่อน อย่าได้ยอมจำนนต่อขุนนางราชสำนักอย่างง่ายดาย
ตราบใดที่เริ่มต้นการยอมจำนน มีครั้งแรกย่อมจะมีครั้งที่สอง
บรรดาขุนนางที่ได้ลิ้มรสความหวานแล้ว นับจากนี้ต่อไป หากมีเรื่องใดขึ้นอีก พวกเขาก็จะใช้วิธีคล้ายคลึงกันบีบบังคับให้เขายอมจำนนครั้งแล้วครั้งเล่า
นับจากนี้ต่อไป เขาจะไม่ใช่ฮ่องเต้ แต่เป็นหุ่นเชิด
เขาไม่กล้าบอกว่าจะเป็นกษัตริย์ที่ปรีชา แต่เขาก็ไม่ยอมเป็นหุ่นเชิดเด็ดขาด
ดังนั้นเขายืนหยัดในความคิดของตนเอง ไม่ยอมจำนนเด็ดขาด
“เรื่องนี้ข้าตัดสินใจแล้ว พวกท่านอย่าได้พูดอีก เรื่องสงครามทางตะวันตกเฉียงเหนือ…”
“ฝ่าบาททรงให้ขันทีออกหน้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง! จะต้องเกิดหายนะในไม่ช้า”
“หายนะใด เจ้าบอกข้ามาว่าหายนะใด”
เซียวเฉิงอี้ถามอย่างเย็นชา
“เหตุใดราชวงศ์ก่อนจึงล่มสลาย ฝ่าบาททรงลืมไปแล้วหรือ เพราะว่าขันทีแทรกแซงราชสำนัก ราษฎรอยู่ลำบากจึงต้องเกิดการเปลี่ยนแปลง”
ฮ่องเต้องค์ใหม่ เซียวเฉิงอี้โกรธจัด “เหลวไหล! ขันทีมีแค่กี่คน อีกทั้งยังไม่สามารถออกจากเมืองหลวงได้แม้แต่ก้าวเดียว พวกเขาต้องมีความสามารถมากเพียงใดจึงจะทำให้แผ่นดินเกิดหายนะได้ คนที่ทำให้แผ่นดินวุ่นวายไม่ใช่ขันที แต่เป็นเจ้า เป็นเจ้า แล้วก็เจ้า…ทุกคนที่อยู่ที่นี่
หากราษฎรมีข้าวกิน มีพื้นดินของตนเอง ผู้ใดจะก่อกบฏ พื้นดินของราษฎรไปไหน มันเข้าไปในกระเป๋าของขันทีหรือ พวกเจ้าคิดว่าข้าโง่ ยอมให้พวกเจ้าหลอกหรือ”
“ขอฝ่าบาทโปรดทรงระวังคำพูด!”
“ขอฝ่าบาทโปรดทรงระวังคำพูด!” บรรดาขุนนางต่างพูดอย่างพร้อมเพรียง
ฮ่องเต้องค์ใหม่เกือบจะฉีกกระดาษชั้นสุดท้ายออก เหลือแค่บอกว่าขุนนางที่อยู่ตรงนี้รวมทั้งตระกูลที่อยู่เบื้องหลังเป็นต้นเหตุที่ทำให้แผ่นดินวุ่นวาย เป็นขุนนางที่ชั่วช้า
แม้แต่ฮ่องเต้องค์ก่อนก็ไม่เคยพูดจาตรงไปตรงมาเช่นนี้
ฮ่องเต้องค์ใหม่ทรงมีความกล้าและความมั่นใจจากที่ใด กล้าพูดเช่นนี้
“ฝ่าบาทจะทรงแก้ตัวให้ขันทีราชวงศ์ก่อน ประหารพวกข้าหรือ”
“การกระทำของฝ่าบาทนี้ทรงผิดมหันต์ น่ากลัวยิ่งนัก”
“ฝ่าบาททรงศึกษาภาษานักปราชญ์ เหตุใดจึงทรงพูดเรื่องที่น่ากลัวเช่นนี้ ช่างน่าประหลาดใจเสียจริง”
“หรือว่าฝ่าบาททรงเสียสติไปแล้ว”
บรรดาขุนนางบีบต้อนฮ่องเต้องค์ใหม่ เซียวเฉิงอี้ให้จนมุมทีละก้าว
“พอแล้ว!”
ให้พวกเขาพูดต่อไปอีกไม่ได้
หากพูดต่อไปอีก เขาจะกลายเป็นฮ่องเต้ที่โง่เขลาที่สุดในแผ่นดิน
ฮ่องเต้ที่สติไม่ดีไม่มีคุณสมบัตินั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร
ขุนนางเหล่านี้เจตนาชั่วร้าย!
พวกเขาคิดจะใช้อำนาจในการพูดที่ครอบครองอยู่ในมือขึงเขาไว้บนกำแพงของกษัตริย์โง่เขลา
ต่อมาคิดจะปลดเขา เปลี่ยนคนที่เชื่อฟังยิ่งกว่ามานั่งบนบัลลังก์มังกรใช่หรือไม่
ฮ่องเต้องค์ใหม่ เซียวเฉิงอี้หน้าซีดเผือด เขาเกิดความตระหนกขึ้นในใจเป็นครั้งแรก
อีกทั้งยังเป็นครั้งแรกที่รับรู้ถึงความโหดร้ายและโหดเหี้ยมของขุนนางกลุ่มนี้
มิน่าฮ่องเต้องค์ก่อนจึงปะทะกับขุนนางกลุ่มนี้อย่างหน้ามืดตามัว สุดท้ายจำเป็นต้องยอมจำนน
พวกเขาไม่ใช่ขุนนางที่ช่วยฮ่องเต้คลายความกังวลใจ หากแต่เป็นหมาป่าที่หิวโหย
ทำอย่างไรดี
สายตาของเขามองไปทางเชื้อพระวงศ์
แต่ไม่มีผู้ใดยืนออกมา
ความคิดของเชื้อพระวงศ์ไม่แน่นอน
เขาจะต้องสะบัดแขนเสื้อจากไป ประกาศให้เลิกหารือหรือ
ไม่!
เขายอมแพ้ไม่ได้!
หากเลิกหารือ เรื่องจะยิ่งแย่กว่าเดิม
บนหน้าผากของเซียวเฉิงอี้ปรากฏหยาดเหงื่อ เขาต้องอดทนเอาไว้
เขาจะตอบโต้ขุนนางที่หยิ่งยโสเหล่านี้อย่างไร
“พระพันปีเสด็จ!”
เสียงตะโกนหนึ่งช่วยคลี่คลายสถานการณ์ของฮ่องเต้องค์ใหม่ เซียวเฉิงอี้ทันที
เขาดีใจอย่างมาก เสด็จแม่มาแล้ว!
มีเสด็จแม่สนับสนุนเขา คราวนี้เขาต้องไม่แพ้
พระพันปีเถาเดินเข้าตำหนักใหญ่ด้วยบารมีที่ติดตัวมา
บรรดาขุนนางโน้มตัวถวายบังคม
ขุนนางฝ่ายในยกเก้าอี้มา ลังเลว่าจะวางไว้ที่ใด
เซียวเฉิงอี้ถลึงตา ขุนนางฝ่ายในเข้าใจ เขาวางเก้าอี้ไว้ข้างบัลลังก์มังกรทันที
พระพันปีเถานั่งลงไป มีบารมีอย่างมาก “พวกท่านลุกขึ้น!”
“ขอบพระทัยพระพันปี!”
“เรื่องเป็นมาอย่างไร ข้าพอจะรู้แล้ว ฝ่าบาททรงให้ขุนนางฝ่ายในช่วยเหลือผู้ประสบภัย ไม่เหมาะสมนัก แต่เห็นแก่ที่ฝ่าบาททรงรีบร้อนในการช่วยเหลือราษฎร หัวใจที่รักใคร่ราษฎร พวกท่านทั้งหลายก็ควรเห็นใจบ้าง เหตุใดจึงไล่ต้อนกันเช่นนี้”
“พระพันปีทรงพูดผิดแล้ว! มอบหมายหน้าที่ให้ขันทีมันเป็นทางที่ก่อให้เกิดหายนะ!”
“ท่านพูดเกินไปแล้ว! เพียงแค่ช่วยเหลือผู้ประสบภัย เหตุใดจึงกลายเป็นทางที่ก่อให้เกิดหายนะได้ สิ่งที่ท่าพูดมานั้นมีผลต่อการหลอกลวงผู้คน ท่านคงยกยอกขันทีเกินไป คิดว่าพวกเขาเป็นคนที่ทำได้ทุกสิ่ง ขันทีกลายเป็นผู้ทีทำได้ทุกสิ่งตั้งแต่เมื่อใด เหตุใดข้าจึงไม่รู้ คิดว่าราชองครักษ์เป็นเครื่องประดับ กองทัพเหนือเป็นเครื่องประดับจริงหรือ”
พระพันปีเถาโจมตีกลับ ทำให้บรรดาขุนนางจำเป็นต้องไตร่ตรองปัญหานี้ใหม่
แน่นอนว่าไม่ได้ไตร่ตรองจุดยืนของตนเอง หากแต่เป็นจุดยืนของพระพันปีเถา
“ฮองเฮาทรงหมายความว่าพระองค์สนับสนุนให้ฝ่าบาทมอบหมายภารกิจให้ขันทีหรือ”
พระพันปีเถาเม้มปากยิ้ม “มอบหมายภารกิจที่สมควรเป็นหน้าที่ของขุนนางให้ขันทีไม่เหมาะสมก็จริง เพราะมันกำลังแย่งงานของพวกท่านทั้งหลาย มิน่าพวกท่านถึงได้โกรธเช่นนี้”
คำพูดนี้กำลังเสียดสีคนอยู่
พวกเขาต้องแย่งงานกับขันที ล้อเล่นหรือ
เรื่องที่น่าโมโหยิ่งกว่าคือ พระพันปีเถาทำให้เรื่องที่ฮ่องเต้ทรงไร้ความสามารถ ไม่คู่ควรกับการเป็นกษัตริย์กลายเป็นแค่เรื่องการแย่งงาน
การแย่งงานกับฮ่องเต้ทรงไร้ความสามารถ เรื่องใดหนักเรื่องใดเบา
การแย่งงานคือการแข่งขันระหว่างขุนนาง ไม่เกี่ยวกับฮ่องเต้
เพียงเพราะพวกเจ้าใจแคบ เห็นคนอื่นดีกว่าไม่ได้เท่านั้น
เพียงชั่วพริบตาก็ทำลายแผนการที่จะกล่าวหาฮ่องเต้ว่าไร้ความสามารถให้พังทลายลง
น่าแค้นหรือไม่
ดูถูกพระพันปีเถาไม่ได้!
“เอาอย่างนี้…” พระพันปีเถาไม่ให้พื้นที่บรรดาขุนนางได้แสดงความสามารถ “เรื่องช่วยเหลือผู้ประสบภัยมอบหมายให้สำนักเส้าฝู่ พวกท่านคัดค้านหรือไม่”