ตอนที่ 324 ท่านไม่สงสารข้า?
“ปลดหน้าที่ ส่งคืนอำนาจทางการทหาร ข้าเตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว ไม่ได้รู้สึกไม่เป็นธรรมแต่อย่างใด แต่ข้ารู้สึกไม่เป็นธรรมแทนท่านพี่เสียมากกว่า”
เซียวอี้แสดงสีหน้าจริงใจอย่างเต็มเปี่ยม
หลิงฉางจื้อประหลาดใจ “รู้สึกไม่เป็นธรรมแทนข้า? เพราะเหตุใด ข้าเองยังไม่รู้สึกไม่เป็นธรรม”
เซียวอี้พูดด้วยความจริงจัง “ก่อนหน้านี้ข้ากวาดตามองคนข้างตัวท่านพี่ หากข้าจำไม่ผิด คนหนึ่งในนั้นคงจะเป็นรองแม่ทัพเซวียจากราชองครักษ์ หากไม่มีข้อผิดพลาด รองแม่ทัพเซวียคงจะมารับหน้าที่ดูแลกองทัพใต้แทนข้า
เพียงแค่เขาสามารถนั่งบนตำแหน่งนี้อย่างมั่นคง วันอื่นฝ่าบาทจะทรงออกพระราชโองการมอบหมายให้เขาเป็นแม่ทัพกองทัพใต้ ราชสำนักสามารถเรียกคืนกองทัพใต้ได้อย่างราบรื่นล้วนเป็นเพราะท่านพี่ หากไม่เห็นแก่ท่านพี่ ข้าก็คงไม่ยอมส่งคืนอำนาจทางการทหารอย่างง่ายดาย ท่านพี่ออกแรง แต่รองแม่ทัพเซวียกลับได้รับผลประโยชน์ ท่านไม่น้อยใจหรือ”
หลิงฉางจื้อย่อมไม่หลงกลง่ายๆ เขาพูดด้วยท่าทางจริงจัง “ขุนนางแต่ละคนต่างมีหน้าที่ของตนเอง ข้าเป็นขุนนางฝ่ายราชการ จะทำงานของแม่ทัพได้อย่างไร”
เซียวอี้เลิกคิ้วยิ้ม “คำพูดของท่านพี่อาจหลอกคนนอกได้ งานของแม่ทัพ พี่ใหญ่ก็ทำมาไม่น้อยตั้งแต่เด็กจนโต เหตุใดเวลานี้จึงถ่อมตนขึ้นมา”
หลิงฉางจื้อหัวเราะร่า “ขอบใจน้องชายที่รู้สึกไม่เป็นธรรมแทนข้า ข้าในฐานะขุนนางราชสำนัก ย่อมต้องปฏิบัติตามรับสั่ง ฝ่าบาททรงคิดว่าข้าไม่สามารถทำงานหลายหน้าที่ได้ ข้าก็เข้าใจได้ เพราะไม่ว่าอย่างไร ข้าไม่สามารถอยู่ในค่ายทหารระยะยาว ทางนั้นยังมีเรื่องสำคัญกว่ารอข้าอยู่ ดังนั้นน้องชายเจ้ากังวลเสียเปล่า! เหมือนตอนนั้นที่เจ้าชอบคิดไปเรื่อยเปื่อย ทำให้คนเข้าใจเจ้าผิดเสียเปล่า”
“อ้อ! ท่านพี่เข้าใจข้าผิดเรื่องใดหรือ” เซียวอี้ถามด้วยสีหน้าสงสัย
หลิงฉางจื้อยิ้มอย่างรู้ทัน “ทางท่านลุง เจ้าเจรจาไว้อย่างไร”
เขาตอบไม่ตรงคำถาม สีหน้ามั่นใจราวกับรู้เรื่องราวทุกอย่างแล้ว
เซียวอี้ทำท่าทางอยากรู้เป็นอย่างมาก “หากพูดเช่นนี้ เหตุการณ์สำนักอาวุธระเบิด ท่านพี่ก็รู้เรื่องหรือ รีบบอกข้ามา ผู้ใดอยู่เบื้องหลังกันแน่”
หลิงฉางจื้อถามเขากลับ “ไม่ใช่ฝีมือเจ้า?”
เซียวอี้รู้สึกไม่เป็นธรรมอย่างมาก “ท่านคิดว่าข้ามีความสามารถปะปนเข้าไปในสำนักอาวุธ ทำให้สำนักอาวุธระเบิด? ท่านพี่ยกยอข้าเกินไปแล้ว ท่านให้ข้าไปฆ่าคน ข้ายังทำได้ แต่ให้ข้าสร้างระเบิด ข้าคงทำไม่ได้ ก่อนหน้านี้ข้ายังคิดว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของตระกูลขุนนางอย่างพวกท่าน เพราะอย่างไรก็ตาม เรื่องประเภทนี้พวกท่านเคยทำมาไม่น้อย”
“เจ้าอย่าพูดเหลวไหล! ตระกูลขุนนางล้วนมีแต่ขุนนางที่จงรักภักดี ทำงานถวายตัวให้ราชสำนัก น้องชายจะพูดจาใส่ร้ายเช่นนี้ได้อย่างไร”
หลิงฉางจื้อพูดด้วยสีหน้าและวาจาที่จริงจังอย่างมาก
ราวกับไม่พอใจอย่างมากที่ได้ยินคนใส่ร้ายเขาและตระกูลขุนนาง
เซียวอี้ทำท่าตกใจ “ไม่ใช่ฝีมือของท่านพี่และตระกูลขุนนางกลุ่มนั้นจริงหรือ แล้วจะเป็นหผู้ใดกัน ข้าอยู่ด้านนอกได้ยินมาว่า สาเหตุที่ฮ่องเต้องค์ก่อนสวรรคตเร็วปานนั้น ล้วนเป็นความดีความชอบของตระกูลขุนนางย่างพวกท่าน”
“น้องชาย ข้าวกินมั่วซั่วได้ แต่คำพูดนั้นทำไม่ได้” หลิงฉางจื้อทำหน้าจริงจัง “ผู้คนต่างรู้ว่าฝ่าบาททรงสวรรคตเพราะกองทัพเหนือ”
เซียวอี้เปล่งเสียงหัวเราะ “ฮ่าๆ…คำพูดนี้หลอกเด็กสามขวบยังพอได้ ต่อหน้าข้า เหตุใดท่านพี่จึงต้องพูดเช่นนี้ หากไม่ใช่ตระกูลขุนนางอย่างพวกท่านจงใจเป็นปรกปักษ์กับฮ่องเต้องค์ก่อน ฮ่องเต้องค์ก่อนไม่มีทางชราลงอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาหนึ่งปี เฮ้อ น่าเศร้ายิ่งนัก! โดยเฉพาะจุดยืนของข้า ช่างน่ากระอักกระอ่วน
ข้าเป็นขุนนางราชสำนัก ข้าย่อมคัดค้านการติดสินใจที่เหลวไหลของฮ่องเต้องค์ก่อน แต่ในเวลาเดียวกัน ข้าก็ซาเซียว เป็นสมาชิกคนหนึ่งในตระกูลเซียว เมื่อเห็นตระกูลขุนนางอย่างพวกท่านทำกลอุบาย ข้าก็ไม่สบายใจนัก!”
หลิงฉางจื้อเลิกคิ้ว มองเขาขึ้นลง “น้องชายพูดมามากเช่นนี้ มีจุดประสงค์อันใด”
เซียวอี้โบกมือไปมา “ท่านพี่วางใจ ข้าจะส่งคืนอำนาจทางการทหารของกองทัพใต้ตามาสัญญา การพูดคุยย่อมพูดถึงตรงไหนก็คุยถึงตรงนั้น พูดกลับมาเรื่องสำนักอาวุธ ท่านพี่ไม่รู้เรื่องจริงหรือ”
หลิงฉางจื้อสะบัดแขนเสื้อ ปฏิเสธอย่างจริงจังอีกครั้ง “ย่อมไม่รู้! เรื่องนี้ข้าก็ฉงนเช่นเดียวกัน ไม่มีเบาะแสแม้แต่น้อย ข้ายังคิดว่าน้องชายแอบให้คนก่อความวุ่นวายในเมืองหลวงเสียอีก”
เซียวอี้มองเขาด้วยรอยยิ้ม เขาชี้หน้าของตนเอง “ท่านพี่มองข้าดีๆ ข้าไร้สาระเพียงนั้นเชียวหรือ”
หลิงฉางจื้อมองซ้ายมองขวา “เรื่องแบบนี้เจ้าย่อมทำได้ หรืออาจบอกได้ว่า ไม่ว่าเจ้าจะทำเรื่องที่บ้าคลั่งเพียงใด ล้วนไม่ทำให้คนประหลาดใจ”
“ขอบพระคุณท่านพี่ที่ยกยอข้าเช่นนี้ แต่ข้าก็ต้องตอบท่านอย่างจริงจัง คดีระเบิดสำนักอาวุธไม่เกี่ยวข้องกับข้าแม้แต่น้อย หากเป็นฝีมือข้า ข้าไม่มีทางปฏิเสธ แต่หากไม่ใช่ฝีมือข้า ท่านพี่ก็อย่าคิดจะกล่าวโทษข้าอย่างไม่มีหลักฐาน”
หลิงฉางจื้อกดเสียงต่ำถาม “ไม่เกี่ยวกับเจ้าจริงหรือ”
เซียวอี้พยักหน้า “ย่อมไม่เกี่ยว หากข้ามีความสามารถนี้ ข้าคงระเบิดตระกูลเถาและวังหลวงไปนานแล้ว”
ขณะนี้ หลิงฉางจื้อเชื่อว่าเซียวอี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดของสำนักอาวุธ
เขาประหลาดใจอย่างมาก “ไม่ใช่ฝีมือเจ้า อีกทั้งยังไม่ใช่ฝีมือข้า จะเป็นฝีมือของผู้ใดกัน”
เซียวอี้ยิ้มอย่างมีนัย “ท่านพี่ควรไปถามบรรดาขุนนางตระกูลใหญ่ ไม่แน่ว่าอาจมีคนรู้เรื่อง”
หลิงฉางจื้อหัวเราะ “ไม่ต้องให้เจ้าเตือน ข้าถามพวกเขามาแล้ว ไม่มีผู้ใดยอมรับว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับตัวเอง ข้ามั่นใจว่าพวกเขาไม่ได้โกหก คดีระเบิดสำนักอาวุธคราวนี้ ไม่เกี่ยวกับเจ้าและข้า ตระกูลขุนนางหรือแม่ทัพ”
“เป็นอุบัติเหตุจริงอย่างนั้นหรือ” เซียวอี้ไม่อยากเชื่อ
หลิงฉางจื้อส่ายหน้า “ไม่ใช่อุบัติเหตุ! องครักษ์จินอู่สืบหาเบาะแสได้เล็กน้อยแล้ว ก่อนสำนักอาวุธเกิดเรื่อง มีคนจำนวนหนึ่งเสียชีวิตไป อีกทั้งยังเป็นคนในตำแหน่งสำคัญ เห็นได้ชัดว่ายังมีอำนาจกลุ่มหนึ่งล่องลอยอยู่ในมุมมืด เพียงแต่พวกเรายังไม่เห็นเท่านั้น”
“คงไม่ได้เป็นฝีมือของคนโง่อย่างเซียวเฉิงเย่ใช่หรือไม่” เซียวอี้พูดขึ้นมา
หลิงฉางจื้อตะลึง ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่ใช่เซียวเฉิงเย่ หากเขามีความคิดนี้ก็คงไม่พ่ายแพ้อย่างราบคาบ”
เซียวอี้ยกแก้วชาขึ้นดื่ม “ดูท่าทางหากอยากรู้ความจริงคดีระเบิดสำนักอาวุธก็ทำได้เพียงรอข่าวจากทางองครักษ์จินอู่เท่านั้น เซียวเฉิงอี้ขึ้นครองราชย์ เขาได้กลั่นแกล้งท่านพี่บ้างหรือไม่”
หัวข้อสนทนาเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน
หลิงฉางจื้อหัวเราะ “ขอบใจน้องชายที่กังวล ข้าสบายดี ฮ่องเต้องค์ใหม่นอกจากดื้อรั้นในบางครั้ง โดยทั่วไปแล้วก็คือว่าผ่านเกณฑ์”
“เพียงแค่ผ่านเกณฑ์หรือ เซียวเฉิงอี้มอบหมายงานให้ขันที ขุนนางตระกูลชั้นสูงอย่างพวกท่านเกรงว่าจะโกรธมากไม่ใช่หรือ!”
สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นบนราชสำนัก เซียวอี้เรียกได้ว่ารู้ดีอย่างมาก
หลิงฉางจื้อเม้มปากยิ้ม “บทเรียนเมื่อร้อยปีก่อนยังไม่ยาวนานนัก ในฐานะขุนนางราชสำนัก มีหน้าที่จับตาดูฝ่าบาท ไม่อาจให้ขันทีแทรกแซงราชสำนักได้อีก”
เซียวอี้กลับหัวเราะขึ้นมา “ถึงแม้การมอบหมายงานให้ขันทีจะไม่ดีนัก แต่ก็สามารถบั่นทอนบารดีของขุนนางราชสำนักอย่างพวกท่านได้ เชื้อพระวงศ์จัดการพวกท่านไม่ได้ แม่ทัพร่วมมือกับพวกท่าน มีเพียงขันทีที่จะต่อกรกับพวกท่านได้ ดังนั้นพวกเขาจึงไร้ความเกรงกลัว
พวกท่านกลัวใช่หรือไม่ กลัวว่าตราบใดที่ขันทีครอบครองอำนาจ จะส่งผลเสียต่อพวกท่าน ดังนั้นเมื่อมีแววเรื่องนี้ พวกท่านจึงกระโดดออกมาข่มขี่อย่างหนัก เกรงว่าเซียวเฉิงอี้คงจะโกรธพวกท่านอย่างมาก”
หลิงฉางจื้อไม่ปฏิเสธ “บนจุดยืนของข้า การข่มขี่ขันที ยับยั้งการกระทำที่เหลวไหลของฮ่องเต้องค์ใหม่นั้นเป็นหน้าที่ของข้า ข้าไม่อาจปฏิเสธได้!”
เซียวอี้ยกมือ “พวกท่านมีความสามารถ ราชสำนักถูกพวกท่านควบคุม แผ่นดินก็ถูกพวกท่านควบคุม เพียงแต่ข้ายังอยากเตือนท่านอีกเสียหน่อย ระวังไฟจะเผาตัว โจรกบฏเกิดขึ้นจากฝีมือของพวกท่าน รีบหาทางปราบปรามโจรกบฏเสียเถิด! มิฉะนั้นแผ่นดินนี้จะโกลาหลในท้ายสุด”
หลิงฉางจื้อรู้สึกตลก “โจรกบฏย่อมจะถูกปราบปรามในไม่ช้า น้องชายกังวลเรื่องบ้านเมือง ช่างทำให้คนซาบซึ้งเสียจริง”
“ไม่ต้องพูดเหลวไหล!” เซียวอี้ยิ้มเสียดสี “ข้าแซ่เซียว ท่านมีจุดยืนของท่าน ข้าก็มีจุดยืนของข้า”
“หากเจ้าต่อสู้เพื่อตระกูลจริง ตอนนั้นเจ้าก็จะไม่ปลงพระชนม์เหล่าท่านอ๋องแทนฮ่องเต้องค์ก่อน” หลิงฉางจื้อใช้เพียงประโยคเดียวก็โจมตีถูกจุดสำคัญ
เซียวอี้ส่ายหน้า “คนที่ต้องรับผิดชอบการปลงพระชนม์เหล่าท่านอ๋องไม่ใช่ข้า หากแต่เป็นซือถูจิ้น หากไม่ใช่ขุนนางอย่างพวกท่านยุยง หากซือถูจิ้นไม่ได้ทูลใส่ร้ายต่อฮ่องเต้ บรรดาท่านอ๋องจะถูกปลงพระชนม์ได้อย่างไร ท่านพี่ต้องพูดจาแยกแยะเรื่องหลักและเรื่องรอง ข้าไม่เป็นแพะรับบาป”
“ซือถูจิ้นถูกฮ่องเต้องค์ก่อนประหารไปแล้ว เรื่องนี้จบสิ้นลงแล้ว! พูดคุยมานานเพียงนี้ น้องชายก็ควรจะส่งตราพยัคฆ์และตราประทับออกมาได้แล้ว ถึงเวลาที่ข้าต้องกลับไปรายงานตัวที่เมืองหลวงแล้ว”
หลิงฉางจื้อไม่อยากยืดเยื้อกับเซียวอี้ต่อไป
ทั้งสองคนล้วนมีจิตใจที่ละเอียดลอบคอบ ล้วนเต็มไปด้วยแผนการมากมาย
หากยืดเยื้อต่อไปมีแต่จะเสียเวลา
เซียวอี้ไม่รีบ
“นานๆ ทีจะได้พบกับท่านพี่ เหตุใดจึงรีบร้อนจากไป ท่านพี่นั่งอยู่ต่ออีกหน่อย ท่านอย่ารังเกียจข้า! ข้าถูกคนรังเกียจแต่เล็ก โอย ข้าช่างมีชีวิตที่ยากลำบากเสียจริง!”
เชื่อก็บ้าแล้ว!
หลิงฉางจื้อพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เรื่องที่ควรคุยก็คุยแล้ว เวลานี้เจ้าตัวคนเดียว ไม่มีเรื่องอื่นให้คุย”
“เพราะว่าข้าตัวคนเดียวจึงยิ่งมีเรื่องให้คุย ท่านพี่ดูข้า อายุมากเพียงนี้ยังไม่มีคู่ครอง ท่านไม่สงสาร? ท่านวางใจได้? ท่านไม่เห็นใจข้า?”
เซียวอี้ทำท่าทาง
มุมปากของหลิงฉางจื้อกระตุก เขาไม่เห็นความน่าสงสาร เห็นแต่ความน่าหมั่นไส้
เขานวดคลึงขมับ “เรื่องคู่ครองของเจ้า ข้าช่วยไม่ได้ เจ้าไปหาเซียวกั้ว พี่ใหญ่เจ้า ให้เขาหาทางช่วยเจ้า”
“ท่านพี่เกรงใจเกินไป! ท่านรู้ได้อย่างไรว่าท่านช่วยข้าไม่ได้ กุลสตรีตระกูลใหญ่มากมายเพียงนั้น ท่านแนะนำให้ข้าสักคน ข้ารับรองว่าไม่รังเกียจ” เซียวอี้ทำหน้าจริงจัง
หลิงฉางจื้อเลิกคิ้ว พลันอ้าปากพูด “เจ้าไม่รังเกียจ แต่ไม่อาจรับรองได้ว่าผู้อื่นจะไม่รังเกียจเจ้า เจ้าตัวคนเดียว อีกทั้งยังถูกท่านพ่อของเจ้าขับไล่ออกจากวงศ์ตระกูล เจ้าลองบอกมาว่ากุลสตรีตระกูลใดจะตาบอดชอบเจ้า บิดามารดาใดจะยอมให้บุตรสาวของตนเองแต่งงานกับชายหนุ่มที่ไร้ที่พึ่ง มันคือความไม่รับผิดชอบ!”
“พูดเช่นนี้ไม่ได้ ข้าตัวคนเดียวก็จริง แต่ข้าก็ไม่มีเรื่องที่ต้องกังวล! ไม่ว่าหญิงสาวคนใดแต่งงานกับข้า เข้าประตูมาก็สามารถเป็นใหญ่ในจวนได้”
“ผู้ใดอยากเป็นใหญ่ในเรือนของเจ้ากัน ไม่ต้องพูดถึงสมบัติของเจ้า กุลสตรีตระกูลชนชั้นสูงล้วนไม่ต้องการ เพราะพวกนางไม่ขาดแคลนสมบัติเพียงเท่านั้น สินสอดของพวกนางเพียงพอที่จะให้ความมั่นใจแก่พวกนาง เจ้าลองบอกมาว่าเจ้าจะสู่ขออย่างไร อีกทั้งเวลานี้เจ้าไม่มีงานแล้ว ยังทำให้พระพันปีเถาทรงขุ่นเคือง ผู้ใดจะไร้ความเกรงกลัวยอมลำบากกับเจ้า ต้องอกสั่นขวัญแขวนอยู่ตลอดเวลา”