ตอนที่ 358 ลิขิตฟ้า
“สงครามนี้ไปต่อไม่ได้แล้ว ข้าจะถอนทัพ!”
เยียนโส่วจ้านโมโห ตะโกนว่าตะถอนทัพ
กุนซือตู้ซินแสรีบเกลี้ยกล่อม “ท่านโหวระมัดระวังคำพูด! คำบัญชาการทหารดุจดั่งภูผา หากท่านโหวถอยทัพเองโดยพลการ ราชสำนักก็จะมีเหตุผลลงโทษท่านโหว ท่านโหวอย่าลืม กองทัพเหนืออยู่ห่างออกไปแค่ไม่กี่ร้อยลี้ ทันทีที่พระราชโองการออกมา กองทัพเหนือก็จะจู่โจมทันที เมื่อถึงเวลานั้นคงรับมือไม่ไหว”
เยียนโส่วจ้านถลึงตาด้วยความโกรธ “เจ้าหมายความว่าให้ข้าเฝ้าอยู่ที่นี่ มองผู้ใต้บังคับบัญชาตายไปต่อหน้าหรือ ข้าทำไม่ได้! สงครามไม่ได้ทำเช่นนี้ กองทัพเหนือรักในศักดิ์ศรี ต้องการกอบกู้เกียรติยศที่สูญเสียไปกลับมา แต่ข้าจะไม่เล่นกับพวกเขา หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป รอจนสงครามจบสิ้น คนก็จะตายกันหมด
อู๋ฝ่าเทียนก็แค่มือสมัตรเล่น เขาไม่รู้วิธรการทำสงครามขนาดใหญ่ที่มีคนนับแสน เขาทำได้เพียงสงครามขนาดเล็กที่มีตนไม่กี่หมื่น ฮ่องเต้องค์ก่อนทรงเหลวไหล ให้อู๋ฝ่าเทียนมาจำกัดพวกข้า ทำให้พวกข้าต้องเสียหายเพียงนี้
อู๋ฝ่าเทียนเป็นคนบาป เขาสมควรตายเพื่อไถ่บาป เจ้ายื่นฎีกาต่อราชสำนัก ข้าจะฟ้องอู๋ฝ่าเทียน ไม่เปลี่ยนตัวเขาก็ต้องเปลี่ยนผู้นำในสงครามครั้งนี้!”
อู๋ฝ่าเทียนในปากของเยียนโส่วจ้านก็คือแม่ทัพกองทัพเหนือ
อู๋ฝ่าเทียนมีชาติกำเนิดจากตระกูลแม่ทัพธรรมดา ไม่ถือว่าเป็นบุตรหลานชนชั้นสูง
ฮ่องเต้องค์ก่อนขุดค้นเขา อีกทั้งยังสนับสนุนเขา มอบหมายภารกิจสำคัญให้
ก่อนสวรรคตยังออกพระราชโองการ ให้อู๋ฝ่าเทียนคสบคุมกองกำลังทุกฝ่าย เป็นผู้บัญชาสงครามทางเหนือ
อู๋ฝ่าเทียนรู้ว่าสถานะของตนเองไม่เพียงพอ ไม่อาจเทียบได้แม้แต่กับแม่ทัพที่ปักหลักอยู่ที่ชายแดนตลอดปีอย่างเยียนโส่วจ้าน
เพื่อเป็นการควบคุมอย่างเข้มงวด บัญชากองทัพใหญ่ของราชสำนักนี้อย่างแท้จริง อู๋ฝ่าเทียนบังคับใช้กฎหมายทหารที่รุนแรงอย่างเข้มงวด
หากผู้ใดไม่ปฏิบัติตามบัญชา หากผู้ใดหนีกลางคัน ล้วนประหารทิ้งทั้งหมด!
เพื่อเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู อู๋ฝ่าเทียนประหารแม่ทัพไปหลายคนแล้ว
แน่นอน เขาไม่กล้าบังคับใช้กฎทหารกับขุนศึกที่แท้จริงอย่างเยียนโส่วจ้าน
แต่เขาสามารถใช้อำนาจในมือ กีดขวางการส่งเสบียงและอาวุธให้เยียนโส่วจ้าน
หรือแม้แต่กีดขวางการส่งกองกำลังหลักก็ย่อมได้
มันจะทำให้คนอึดอัด
ทำสงคราม หากไม่มีเสบียง ยังจะทำต่อไปอย่างไร
ไม่มีกองกำลังเสริมมาทดแทน รบจนสุดท้ายเหลือเขาแค่คนเดียว ตายไปก็แล้วไป
เยียนโส่วจ้านไม่อาจระบายความทุกข์และความขมขื่นออกมาได้
ดังนั้นจึงเต็มไปด้วยความไม่พอใจ สงครามนี้ เขาไม่อยากทำมานานแล้ว
หากเผชิญหน้ากับอู๋ฝ่าเทียน เขาอยากจะเอามีดแทงอีกฝ่ายให้ตายเสียจริง
ยิ่งน่าโมโหกว่านั้นคือ อู๋ฝ่าเทียนไม่อนุญาตให้เขาถอยแนวป้องกัน ให้เขารักษาแนวป้องกันเอาไว้อย่างเข้มงวด
อีกทั้งยังหวังให้เขาขยับแนวป้องกันไปด้านหน้าห้าลี้
เยียนโส่วจ้านโกรธจนแทบเสียสติ
เขาพูดอย่างโหดเหี้ยม “เขาอยากให้ข้าตาย! เขาจงใจอยากให้ข้าตาย สงครามนี้ไม่อาจทำเช่นนี้ได้! ข้าไม่อาจถูกเขาบงการต่อไปได้”
“ท่านโหวคิดจะทำอย่างไร”
เยียนโส่วจ้านยิ้มเย็น “เขามีวิธีการของเขา ข้าก็มีวิธีการของข้า กองทัพเหลียงโจวและกองทัพอวี้โจวย่อมมีความไม่พอใจอย่างล้นหลามต่ออู๋ฝ่าเทียนเหมือนข้า อย่างมากพวกเราก็แค่ร่วมมือกัน บีบบังคับให้เปลี่ยนตัวแม่ทัพ! อู๋ฝ่าเทียนไม่มีคุณสมบัติบัญชาการกองทัพจากแต่ละฝ่าย สงครามครั้งนี้ตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายเช่นนี้ เขาเป็นคนบาป!”
เยียนโส่วจ้านตัดสินใจจะกบฏอู๋ฝ่าเทียนแม่ทัพกองทัพเหนือ
กองกำลังเหลียงโจวและกองกำลังอวี้โจวก็มีความคิดนี้เช่นเดียวกัน
ทั้งสามฝ่ายมีความเห็นตรงกัน เตรียมก่อการจลาจลทางทหาร
ท้ายที่สุดแล้ว ฮ่องเต้องค์ก่อนทรงให้อู๋ฝ่าเทียนควบคุมทุกฝ่าย หนึ่งเพราะไม่รู้เรื่องกองทัพ เพราะเขาไม่เคยทำสงครามมาก่อน
สองเพราะเขาไม่เชื่อใจกองกำลังท้องถิ่น
แต่ละคนล้วนมีพลทหารที่แข็งแกร่ง มีกองกำลังส่วนตัว ย่อมไม่อาจเทียนอู๋ฝ่าเทียนที่จงรักภักดีได้
เรื่องเกี่ยวข้องกับสงครามใหญ่ของแผ่นดิน ย่อมต้องมอบหมายให้คนที่ไว้ใจได้
แต่แม่ทัพใหญ่ที่นำทัพนั้น ไม่เพียงต้องไว้ใจได้ อีกทั้งยังต้องทำสงครามได้ ทำสงครามเป็น
กองทัพเหนือไร้เทียมทาน เรื่องนี้ไม่มีข้อสงสัย
แต่มันเป็นเพราะหลายปีนี้คู่ต่อสู่ที่กองทัพเหนือเผชิญหน้า น้อยมีหลายพันคน มากมีหลายหมื่นคน
ด้วยกำลังการต่อสู้ของกองทัพเหนือ มันก็เหมือนกับการหั่นผัก เหยียบย่ำผ่านไปได้ง่ายๆ
แต่คราวนี้ ราชวงศ์อูเหิงรุกล้ำลงใต้ พลทหารมีกว่าสองสามแสนนาย อีกทั้งยังเป็นพลทหารที่มากประสบการณ์ นอกจากนี้ยังเป็นพลทหารม้าทั้งหมด
ทางต้าเว้ยก็รวบรวมพลทหารในจำนวนที่ไล่เลี่ยกัน
นอกจากนี้ยังมีประชาชนและนักโทษที่ลำเลียงเสบียง รวมแล้วก็เกือบสี่ห้าแสนคน
เท่ากับว่า แม่ทัพกองทัพเหนืออย่างอู๋ฝ่าเทียนที่เคยทำสงครามไม่กี่หมื่นคนได้รับคำสั่งให้ทำสงครามขนาดใหญ่ที่มีคนกว่าเจ็ดแปดแสนคนอย่างกะทันหัน
หากตัดกองทัพเหนือออกไป ในเวลาเดียวกันยังต้องควบคุมกองกำลังหลายฝ่าย
มันทดสอบการมองภาพรวม และความสามารถในการนำทัพของคนหนึ่งมากเกินไป…
อย่างไรก็ตาม แม่ทัพกองทัพเหนืออย่างอู๋ฝ่าเทียนที่เคยทำสงครามเพียงไม่กี่หมื่นคนถูกยกให้มาอยู่บนตำแหน่งนี้อย่างกะทันหัน เขาย่อต้องรู้สึกมตื่นตระหนกจนเกิดปัญหาออกคำสั่งไม่เหมาะสม วางแผนการทำสงครามไม่รอบคอบ
หากสามารถแก้ไขได้ทันท่วงที…
แต่ความภาคภูมิใจในฐานะแม่ทัพกองทัพเหนือ บนหลังแบกรับแรงกดดันที่ถูกฮ่องเต้องค์ก่อนทรงมอบหมายภารกิจสำคัญให้ แต่ละวันอู๋ฝ่าเทียนต้องเหน็ดเหนื่อยกับการหาวิธีทำสงคราม วิธีทำสงครามให้ชนะ ทำให้เขาละเลยรายละเอียดไปจำนวนมาก ละเลยความรู้ของบรรดาพลทหาร
เขานำกฎทหารที่เข้มงวดที่ใช้ในการบริหารกองทัพเหนือมาใช้กับกองกำลังฝ่ายมิตร ทำให้เกิดความไม่พอใจอย่างมาก
กฎทหารที่เข้มงวดที่เหมาะกับกองทัพเหนือเท่านั้น
พลทหารภายใต้แม่ทัพแต่ละคนต่างมีความพิเศษของตนเอง ไม่ใช่ผู้ใดก็จะยอมรับกฎทหารที่เข้มงวดของกองทัพเหนือได้
โดยเฉพาะอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่สงครามทั้งมากทั้งยากลำบาก บรรดาพลทหารชื่นชอบให้แม่ทัพใหญ่ด้านบนมีความเป็นมนุษย์มากกว่า หากไม่ใช่ปฏิบัติตามบัญชาอย่างไร้ความเป็นมนุษย์
…
สถานการณ์ความขัดแย้งในกองทัพตึงเครียด
แต่เมืองหลวงไม่รู้เรื่องนี้แม้แต่น้อย
คนที่ไม่รู้เรื่องยังคงจมอยู่กับความฝันอันงดงามอย่างสงครามราบรื่นอยู่
เมื่อข่าวการพ่ายแพ้ของแม่ทัพกองทัพเหนืออย่างอู๋ฝ่าเทียนถูกส่งมาถึงเมืองหลวงก็เป็นเวลาเดือนหกแล้ว อากาศร้อนอย่างมาก
ฮ่องเต้ไท่หนิง เซียวเฉิงอี้กระอักเลือดหมดสติไปต่อหน้าบรรดาขุนนาง
ราชสำนักตกตะลึง!
แผ่นดินตกตะลึง!
กองทัพเหนือพ่ายแพ้อีกครั้งแล้ว!
แต่คราวนี้พ่ายแพ้อย่างน่าเวทนายิ่งกว่า แม้แต่ชีวิตของแม่ทัพกองทัพเหนืออย่างอู๋ฝ่าเทียนก็ต้องเสียไป
เนื่องจากโจรกบฏมุ่งตรงมายังเมืองหลวง นครบาลวิกฤต อู๋ฝ่าเทียนรีบร้อนที่จะประสบความสำเร็จ เขาคิดจะแบ่งจำนวนพลออกมาช่วยบรรเทาสถานการณ์ในนครบาล
ดังนั้นในขณะที่สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย เขาตัดสินใจจู่โจมกลับครั้งใหญ่เพื่อตัดสินแพ้ชนะ จัดการราชวงศ์อูเหิงให้สิ้นซาก
เพื่อบรรลุเป้าหมาย เขายิ่งเข้มงวดต่อกองกำลังอื่นๆ
ฮ่องเต้ไท่หนิง เซียวเฉิงอี้ทรงเห็นด้วยกับแผนการจู่โจมกลับของอู๋ฝ่าเทียนผู้เป็นแม่ทัพกองทัพเหนือ ดังนั้นเมื่อเขาร้องขอสิ่งใดก็ให้สิ่งนั้น
เยียนโส่วจ้านและคนอื่นต่างถวายฎีกาทูลฟ้องอู๋ฝ่าเทียน แต่ล้วนถูกกดเอาไว้
อู๋ฝ่าเทียนได้รับการสนับสนุนจากราชสำนักอย่างเต็มกำลัง เขายิ่งดำเนินแผนการอย่างเต็มที่
เดือนห้า การจู่โจมกลับเริ่มต้นขึ้น
สถานการณ์สงครามเกิดการเปลี่ยนแปลงทุกชั่ววินาที
กองกำลังเหลียงโจวและกองกำลังอวี้โจวที่ควรร่วมมือกับกองทัพเหนือห้อมล้อมศัตรูเอาไว้ไม่ได้ปรากฏตัวทันเวลา
กองทัพเหนือทำสงครามตัวคนเดียวอยู่เจ็ดคืน สุดท้ายพ่ายแพ้สงครามเพราะเสบียงไม่เพียงพอ!
อู๋ฝ่าเทียน แม่ทัพกองทัพเหนือได้รับบากเจ็บจากคันธนู ไม่ยอมถอยทัพแม้ตาย สุดท้ายตายอยู่ในสนามรบ
กองทัพเหนือยพ่ายแพ้ อูเหิงได้รับชัยชนะ!
กองกำลังโยวโจวของเยียนโส่วจ้าน กองกำลังเหลียงโจวของตระกูลหลิว กองกำลังอวี้โจวของตระกูลสือ…ฉวยโอกาสถอยทัพ
พวกเขาถอยทัพไปกว่าสองร้อยลี้ จากนั้นตั้งแนวป้องกันขึ้นมาใหม่
ประชาชนในพื้นที่ชายแดนหนีกระเจิดกระเจิงเพื่อหลบหลีกกองทำอูเหิง
ส่วนพลทหารกองทัพเหนือที่หลงเหลือ ไม่มีผู้ใดสนใจ
นับตั้งแต่รู้ว่าอู๋ฝ่าเทียน แม่ทัพกองทัพเหนือตายในสนามรบจนกระทั่ง รู้ความเป็นมาทั้งหมดในการทำสงครามห่างกันเพียงหนึ่งวัน
เวลาหนึ่งวัน ข่าวโดยละเอียดที่เกี่ยวข้องกับสงครามทางเหนือปลิวว่อนเข้าพระราชวังราวกับหิมะ
ฮ่องเต้ไท่หนิง เซียวเฉิงอี้ทรงฟื้นขึ้นมาจากการหมดสติแล้ว
เมื่อเห็นรายงานสงครามที่ละเอียด เขาตะโกนด้วยความโกรธ “ข้าจะฆ่าพวกเขา ฆ่าพวกเขาให้หมด!”
เขาโศกเศร้า เจ็บปวดทุกข์ทรมาน…
ตกลงจะฆ่าอู๋ฝ่าเทียนที่ทำให้สงครามพ่ายแพ้ หรือว่าจะฆ่าตระกูลหลิวแห่งเหลียงโจว หรือตระกูลสือแห่งอวี้โจวที่ทำให้เสียโอกาสในการทำสงครามนั้น ยากที่จะแยกแยะ
สิ่งที่ตามรายงานการทำสงครามเหล่านี้เข้ามาถึงเมืองหลวง ยังมีฎีกาทูลขอบทลงโทษของแม่ทัพใหญ่ทั้งหลาย รวมทั้งฎีกาทูลฟ้อง
อู๋ฝ่าเทียนตายแล้ว แต่พวกเขายังคงต้องงการทูลฟ้องคนผู้นี้
เพราะคนผู้นี้ไม่สมควรเป็นแม่ทัพ เขาไม่มีความสามารถในการบัญชากองทัพใหญ่นับแสนคน
บัญชาการอย่างไม่มีหลักการ สนใจแต่แพ้ชนะเพียงบางส่วน ไม่สนใจภาพรวม….
ยึดมั่นในความคิดของตนเอง ไม่ฟังคำแนะนำของผู้อื่น…
คุณสมบัติไม่เหมาะสมกับตำแหน่ง ยโสโอหัง…
เข่นฆ่าพลทหารตามใจ หักลดเสบียงและอาวุธ…
แผนการทำสงครามมีแต่จุดบกพร่อง ไม่สนใจชีวิตผู้อื่น…
คนผู้นี้สมควรถูกเชือดเป็นพันครั้งก็ไม่เกินกว่าเหตุ
ส่วนเหตุใดกองทัพเหลียงโจวและกองทัพอวี้โจวไม่สามารถทำตามแผนการได้ทันเวลา ล้วนเป็นเพราะแผนการทำสงครามเป็นเรื่องตลกตั้งแต่แรก
ฤดูฝนใกล้เข้ามา สถานการณ์ในที่ราบมีการเปลี่ยนแปลงมาก
แผนการทำสงครามของอู๋ฝ่าเทียนกำหนดไว้ตายตัว รีบร้อนที่จะสร้างผลงาน ไม่ไตร่ตรองถึงปัจจัยทางสภาพอากาศแม้แต่น้อย
แต่ทันทีที่เกิดสงครามขึ้นนั้น ฝนก็ตกอย่างต่อเนื่องสามวัน
หนทางไม่เป็นหนทาง ที่ราบไม่มีหนทางแล้ว
มันนำมาซึ่งหายนะอันร้ายแรงแก่กองทัพ
เช่นนี้ กองทัพเหลียงโจวและกองทัพอวี้โจวยังคงอยู่ระหว่างทางในการทำสงคราม คนได้รับบาดเจ็บและล้มตายเป็นจำนวนมาก แต่ก็ไม่อาจฝืนชะตาฟ้าลิขิต ไม่อาจเดินทางไปถึงได้ทันเวลา
หากตอนที่กำหนดแผนการทำสงคราม สามารถไตร่ตรองให้มากขึ้นว่าถ้าแพ้จะทำอย่างไร เตรียมการรับมือไว้หลายรูปแบบ มันก็คงไม่เป็นเช่นนี้
อู๋ฝ่าเทียนเป็นแค่มือสมัครเล่น เพียงเพราะเขาคนเดียว พลทหารของต้าเว้ยจึงได้รับบาดเจ็บและล้มตายเป็นจำนวนมาก
สงครามครั้งนี้ สูญเสียพลทหารไปกว่าสองสามหมื่นคน ล้วนเป็นความรับผิดชอบของอู๋ฝ่าเทียน
ขอให้ฮ่องเต้ ราชสำนักประทานโทษประหารให้อู๋ฝ่าเทียน ประหารเก้าชั่วโคตรเพื่อบูชาดวงวิญญาณที่ตายไป
“อ้าก…”
ดวงตาของฮ่องเต้ไท่หนิง เซียวเฉิงอี้แดงก่ำ เขาตะโกนด้วยความโกรธ
เขามีความโกรธอยู่เต็มอก แต่ก็ไม่รู้ควรจะระบายต่อผู้ใด
ฎีกาทูลฟ้องแต่ละเล่ม หากจะบอกว่าทูลฟ้องอู๋ฝ่าเทียน สู้บอกว่าทูลฟ้องฮ่องเต้เสียดีกว่า
ฮ่องเต้มีตาหามีแววไม่ ปล่อยให้คนแบ่งพรรคแบ่งพวก ให้อู๋ฝ่าเทียนควบคุมกองกำลังแต่ละฝ่าย จึงได้มีสงครามที่พ่ายแพ้ในวันนี้
อู๋ฝ่าเทียนสมควรตาย ฮ่องเต้ก็ยากที่จะหนีความรับผิดชอบ
…
ห่างไกลนับพันลี้
เยียนโส่วจ้านยืนอยู่บนกำแพงเมือง มองไประยะไกล
แนวป้องกันใหม่กำลังสร้าง ในที่สุดผู้ใต้บังคับบัญชาก็มีเวลาได้หายใจ ไม่ต้องไปตายอย่างเสียเปล่า
เขาถอนหายใจ “ลิขิตฟ้า!”
ตู้ซินแสผู้เป็นกุนซือก็พูดออกมา “ผู้ใดจะคิดว่าอู๋ฝ่าเทียนจะตายในสนามรบ”
เยียนโส่วจ้านนัดกับกองกำลังอื่น วางแผนก่อการจลาจลในกองทัพ
เมื่อทุกอย่างเตรียมพร้อม สงครามใหญ่ใกล้เข้ามา
ยังไม่ทันได้เริ่มก่อจลาจล ไม่คิดว่าอู๋ฝ่าเทียนจะสู้รบจนตายก่อน
เมื่อเขารู้ข่าวเรื่องนี้ยังตกใจไม่น้อย
“ช่าวงเป็นลิขิตฟ้า! ข้าอยากให้เขาตาย ไม่คิดว่าเขาจะตายจริง”
กองกำลังเหลียงโจวและกองกำลังอวี้โจวอาจถ่วงเวลาระหว่างการเดินทางเล็กน้อย แต่ปัจจัยทางสภาพอากาศเป็นสาเหตุหลักที่พวกเขาไม่สามารถเดินทางไปได้ตามแผนการอย่างทันท่วงที
ที่ราบไม่มีเส้นทาง เมื่อฝนตกหนักยิ่งไม่มีเส้นทางให้เดิน
กองกำลังทั้งสองไม่ได้หลงทางก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว
เฮ้อ…
ลิขิตฟ้า!