เหอซวี่หยางหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง พลางชี้นิ้วไปที่หลี่โม่อย่างดูถูก
หลี่โม่ถูข้อมือของตัวเอง พูดด้วยท่าทางดูถูกว่า ” ก็มาสิ ฉันจะนั่งสู้กับแกนี่แหล่ะ ถ้าแกทำให้ฉันขยับก้นได้สักนิดล่ะก็ งั้นก็ถือซะว่าฉันแพ้ได้เลย ฉันว่าพวกแกทั้งสี่คนเข้ามารวดเดียวเลยเหอะ วิธีนี้ช่วยฉันประหยัดเวลาดี”
เฉินเสี่ยวถงถึงกับรู้สึกว่าตัวเองหูฝาดไปรึเปล่า?
คนพวกนี้ ดูปุ๊บก็รู้ว่าเป็นพวกที่ไม่น่าไปหาเรื่องอย่างมาก หลี่โม่กลับสั่งให้ทั้งสี่คนรุมเข้ามาพร้อมกัน ไม่ว่าทักษะการต่อสู้จะสูงแค่ไหน ก็ยังต้องกลัวมีดไม้อาวุธอยู่ดี นับประสาอะไรกับคนจำนวนมากแบบนี้ด้วย ในใจหลี่โม่ไม่รู้สึกกลัวเลยซักนิดจริง ๆน่ะเหรอ?
ใบหน้าของเหอซวี่หยางดำคล้ำทะมึน รู้สึกว่าหลี่โม่กำลังทำให้ตัวเองอับอาย จึงพูดว่า: “ไม่จำเป็นต้องรุมหรอกโว้ย ถ้าแกสามารถเอาชนะฉันได้ ถือว่าพวกเราแพ้ไปเลย”
จ้าวหมิงหยางคิดจะหยุดเหอซวี่หยาง แต่เมื่อคิดว่าหลี่โม่จงใจพูดว่าจะนั่งสู้ ถ้าขยับตัวแม้แต่นิดเดียวให้ถือว่าแพ้ จึงไม่พูดในสิ่งที่อยากจะพูดเพื่อหยุดเหอซวี่หยาง แต่แอบเปลี่ยนคำพูดตัวเองไปเงียบ ๆ
“หลี่โม่! คำพูดของแกชักจะเหิมเกริมเกินไปหน่อยแล้วนะโว้ย ยังมีหน้ามาพูดว่าจะนั่งสู้กับพวกเรา ความร้ายกาจของเหอซวี่หยางน่ะ แกไม่มีทางจะนึกถึงแน่ รอรับความพ่ายแพ้จนต้องคุกเข่าร้องขอชีวิตซะเถอะ อย่าคิดนะว่าเอาชนะพวกยอดฝืมือที่ใช้วรยุทธแบบแมวสามขาได้แค่สองสามคนจะถือว่าตัวเองแน่ สิ่งที่พวกเราถนัดคือเทคนิคการฆ่าคนโว้ย!”
อีกสองคนที่เหลือ แค่ประสานมือไว้ข้างหน้าตัวเอง ดูมีท่าทีเหมือนว่าพวกเขากำลังดูละครสนุก ๆ ซักเรื่อง ในสายตาของสองคนนี้ แค่เหอซวี่หยางลงมือ ก็สามารถเอาชนะหลี่โม่แบบ KO ได้แล้ว
“เหอซวี่หยาง รีบจัดการไอ้เด็กเวรนี่เร็ว ๆ เหอะ พวกเราจะได้พาน้องสาวแสนสวยคนนี้ไปสนุกสุดมันส์กันซะที นับว่าคุ้มค่าพวกเราที่ครั้งนี้อุตส่าห์ถ่อมาตั้งไกลจนถึงเมืองฮ่านเลยนะเว้ย!”
“เฮะๆๆ จริงด้วย ถ้าได้อึ๊บน้องสาวคนนี้ ก็นับว่าคุ้มค่าตั๋วเดินทางขากลับของพวกเราแล้วโว้ย นี่ต้องยกประโยชน์ให้จ้าวหมิงหยางแล้วว่ะ นับว่าสายตาดีใช้ได้ที่ไปต้องตาผู้หญิงดี ๆ แบบนี้ ผู้หญิงของเราทางโน้นแต่ละคนแข็งแรงกำยำกว่าผู้ชายซะอีก แม่งเล่นโคตรยาก”
ที่มุมปากของเหอซวี่หยางปรากฏรอยยิ้มที่เย็นชา สาวเท้าก้าวตรงไปหาหลี่โม่ แล้วเหวี่ยงหมัดขวาออกไป เกิดเสียงลมหวีดหวิวในอากาศ ขณะต่อยเข้าที่ลำคอของหลี่โม่
หมัดนั้นทั้งรุนแรงและหนักหน่วง บวกกับผลของแหวนติดหนาม ถ้าเปลี่ยนเป็นคนธรรมดาทั่ว ๆ ไป น่ากลัวว่าอาจจะถูกต่อยจนคอหักไปเลยตรง ๆ ก็เป็นได้
“ว้าย ระวัง!” เฉินเสี่ยวถงร้องอุทานพลางหลับตาแน่น เธอไม่มีความกล้าที่จะดูภาพฉากอะไรแบบนี้จริง ๆ
ถ้าได้เห็นหลี่โม่ที่บาดเจ็บสาหัส หรือถ้าได้เห็นหลี่โม่ที่เลือดไหลอาบร่าง หรือถ้า … มีภาพฉากมากมายเหลือเกินที่เธอไม่กล้าคิดต่อหรือลืมตามองดูมัน
การแสดงออกของหลี่โม่ยังคงสงบนิ่ง เหมือนว่าที่เขาเผชิญอยู่ มันไม่ใช่หมัดหนัก ๆ ที่เสริมแหวนติดหนามอันแหลมคม แต่เป็นแค่แมลงวันที่ส่งเสียงดังหึ่ง ๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น
“หมัดนี้ของแก มันก็แค่ดูแข็งแกร่งไปงั้นเอง แต่เอาเข้าจริงประสิทธิภาพห่วยแตกสิ้นดี เดี๋ยวฉันจะให้แกได้เห็น ว่าเพลงหมัดที่แท้จริงน่ะมันเป็นยังไง”
หลี่โม่พูดอย่างราบเรียบ ใช้มือซ้ายต่อยเข้าที่ด้านข้างของหมัดขวาของเหอซวี่หยางที่ต่อยมา
เหอซวี่หยางหรี่ตา คิดคำนวณในใจ เร่งความเร็วของหมัด ตั้งใจว่าจะหักคอหลี่โม่ให้ได้ก่อนที่หมัดซ้ายของหลี่โม่จะต่อยมาถึง
“อาศัยแค่หมัดง่อย ๆ ของแกก็ยังอยากจะต่อยเพลงหมัดที่แท้จริง! กูนี่แหล่ะคือของจริงที่สุด….เป็นไปได้ยังไงวะ! อ้าก!”
เปรี้ยง! กร๊อบ!
ชั่วขณะที่หมัดขวาเร่งความเร็วของเหอซวี่หยาง อยู่ห่างจากคอของหลี่โม่แค่ไม่กี่เซนติเมตร ก็ถูกหมัดซ้ายของหลี่โม่กระแทกอย่างแรง ซึ่งเหนือความคาดหมายของเหอซวี่หยางที่ประเมินสถานการณ์การต่อสู้ไว้ไปไกลมาก
เสียงกระทบกันอย่างรุนแรงของหมัดผสานโลหะดังสะท้านสะเทือนเลื่อนลั่น แหวนติดหนามโลหะที่มีรูปร่างเดิมเป็นทรงกลมล้วนบิดเบี้ยว มีสภาพถูกบีบอัดจนไปรวมกันจนเป็นก้อนเดียวกัน ส่งผลให้กระดูกนิ้วทั้งสี่ของเหอซวี่หยาง ถูกบดขยี้จนแตกละเอียดไปเลยตรง ๆ
เหอซวี่หยางจ้องมองทั้งสี่นิ้วที่บิดเบี้ยวเละเทะอย่างหวาดกลัว รวมถึงแหวนติดหนามที่เวลานี้ดูไม่ออกโดยสมบูรณ์แล้วว่าสภาพเดิมมันเป็นแบบไหน
“มันเป็นไปได้ยังไงวะ! แกมีพลังมากมายขนาดนี้ได้ยังไง! นี่คือสนับมือหนามทองดำ ที่มีความแข็งถึงระดับเก้าเลยนะโว้ย เป็นไปไม่ได้ที่จะถูกทำลายด้วยพลังของกำปั้นที่เป็นเนื้อหนัง แกทำได้ยังไงวะเนี่ย?”
ในใจของเหอซวี่หยางหวาดหวั่นพรั่นพรึง ร่างกายเป็นไปตามสัญชาตญาณการต่อสู้ ค่อย ๆ ค้อมตัวถอยหลังไปช้า ๆ มีเพียงถอยกลับไปหาเพื่อนร่วมทีมได้เท่านั้น ถึงจะช่วยให้เหอซวี่หยางเกิดความรู้สึกปลอดภัยได้
เหอซวี่หยางถูกทำให้ตกใจกลัวจริง ๆ แล้ว นี่เป็นฉากที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ถึงขั้นเรียกได้ว่ากระทั่งนึกถึงก็ยังไม่เคยนึกถึงมาก่อนในชีวิต
อุปกรณ์ทองดำถือเป็นอุปกรณ์ที่ทำลายได้ยากที่สุด แม้ว่าจะเป็นผู้ที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี แต่ก็ยากที่จะทำลายอุปกรณ์ทองดำได้โดยปราศจากเครื่องมือช่วย
แต่ทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า ล้มล้างการรับรู้ของเหอซวี่หยางไปจนหมด สนับมือหนามทองดำของเขาถูกหมัดเดียวของหลี่โม่ต่อยจนทำให้ผิดรูป ทั้งยังผิดรูปไปหมดโดยสิ้นเชิงอีกด้วย นี่ไม่ใช่เรื่องที่มนุษย์ธรรมดาจะสามารถทำได้
พวกจ้าวหมิงหยางทั้งสามถึงกับตาเบิกโพลง คลื่นความหนาวเย็นโจมตีในใจไม่หยุด รู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าล้วนไม่เป็นความจริง ราวกับว่าพวกเขาได้เห็นผีก็ไม่ปาน
“เหอซวี่หมิง มือของแก! นี่คือสนับมือหนามทองดำ นะ มันเป็นไปได้ยังไง…..”
“ไอ้หมอนี่ดูมีอะไรแปลก ๆ เตรียมอาวุธให้พร้อม พวกเราต้องโจมตีพร้อมกัน ถ้าสู้แบบตัวต่อตัวกับมัน พวกเราไม่มีทางเอาชนะได้แน่นอน”
อีกสองคนหยิบอาวุธออกมา คนหนึ่งในมือถือมีดสั้นไว้ ส่วนอีกคนหนึ่งถือโล่อันเล็ก ๆ
จ้าวหมิงหยางก็ดึงกริชออกมาด้วย แต่น่องของเขามีอาการสั่นเล็กน้อย
หมัดที่หลี่โม่ต่อยเข้าใส่จ้าวหมิงหยางเมื่อกี้ ทำให้หัวใจของจ้าวหมิงหยางที่เดิมทีก็เต็มไปด้วยเงาแผลอยู่แล้ว ยิ่งทิ้งรอยแผลไว้ลึกกว่าเดิมขึ้นไปอีก
ตอนแรกยังคิดว่าถ้าให้เหอซวี่หยางลงมือ จะสามารถคว้าชัยชนะแบบนอนมาแน่ ๆ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ทุกอย่างจะกลับตารปัตรไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
เหอซวี่หยางฝืนอดทนต่อความเจ็บปวดที่มือ กัดฟันไม่ยอมหลุดเสียงที่แสดงความเจ็บปวดออกไปแม้แต่นิดเดียว สายตาจ้องเขม็งไปที่หลี่โม่แล้วถามว่า “หมัดเมื่อกี้ของแกหมัดนั้น แกทำได้ยังไง?”
“ก็บอกแล้วไงว่าวิชาที่พวกแกฝึกกัน มันก็แค่วิชาหมัดเท้าปักบุปผา ( เป็นคำอุปมาถึงวิชาต่อสู้ที่มีท่าทางสวยงาม แต่พอใช้งานจริงกลับไร้ประโยชน์) แถมอาวุธพวกแกก็ดูคุ้นตาไปหน่อย แต่แค่จำไม่ได้แล้วว่าพวกแกมาจากไหน? ” หลี่โม่ลูบ ๆ ที่คางพลางพูดอย่างครุ่นคิด
เฉินเสี่ยวถงลืมตา จ้องไปที่ใบหน้าของหลี่โม่ แล้วกระซิบพูดขึ้นว่า: “คุณชนะแล้วเหรอ? ไม่ได้รับบาดเจ็บใช่ไหม?”
“ยังไงก็ต้องชนะสิ พออยู่ต่อหน้าฉัน พวกนี้ยังเป็นไม่ได้แม้แต่ตัวตลกด้วยซ้ำ ฉันเดาได้เลยว่าไอ้คนที่เป็นระดับคิงของฐานฝึกขี้หมานั่น พอมาอยู่ต่อหน้าฉัน คงไม่มีปัญญาจะเดินเข้ามาได้ถึงสามกระบวนท่าด้วยซ้ำมั้ง?”
ความเย่อหยิ่งบนใบหน้าหลี่โม่ส่องประกายเจิดจ้ามากพอแล้ว แต่หลี่โม่ก็มีต้นทุนให้หยิ่งผยองได้จริง ๆ นั่นแหล่ะ
เปลือกตาของจ้าวหมิงหยางถึงกับสั่นกระตุก แม้ว่าในใจเขาจะไม่ค่อยอยากยอมรับ แต่ก็รู้สึกว่าสิ่งที่หลี่โม่พูดอาจเป็นความจริง ในกลุ่มพวกเขา เหอซวี่หยางเป็นหนึ่งในคนที่สามารถเข้าไปติดอันดับท็อปเท็นของตารางได้ แต่เมื่อกี้แค่กระบวนท่าเดียว เหอซวี่หยางก็แพ้ราบคาบแล้ว ทำได้แค่ยืนเซ่ออยู่ตรงหน้าหลี่โม่ ไม่มีเรี่ยวแรงจะต่อสู้กลับโดยสิ้นเชิง
“เหอซวี่หยาง แกว่าตอนนี้พวกเราควรทำยังไงกันดีวะ?” ในใจของจ้าวหมิงหยางถึงกับมีความคิดลั่นกลองถอยทัพแล้ว
เหอซวี่หยางถ่มน้ำลายลงบนพื้นอย่างดุเดือด จ้องหลี่โม่ตาเขม็ง แล้วพูดว่า “ขุนเขานภาไม่เปลี่ยนแปลง สายธารายังคงหลากไหล แล้วพบกันใหม่โอกาสหน้า!”
“คิดจะไปแล้ว? ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่คิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไปได้ตามใจหรอกนะ พวกเรายังมีเรื่องที่ต้องพูดกันให้มันชัดเจน”
“พูดให้ชัด ๆ ส้นตีนอะไรวะ เชี่ยแม่งเอ๊ย! กูจะไปซะอย่าง! มึงหยุดกูได้รึไงวะ”
จ้าวหมิงหยางพยายามแสร้งทำเป็นเข้มแข็ง ใช้ท่าทางหยิ่งผยอง กับคำพูดที่สกปรกต่ำตมมาปกปิดความกลัวในใจของตัวเอง
ตอนนี้เลือดที่เดิมทีเคยอุ่นกลับเย็นเฉียบไปหมดแล้ว สิ่งที่จ้าวหมิงหยางคิดไว้ในใจก็คือ เป็นการดีที่สุด ที่ทุกคนจะรีบชิ่งหนีออกไปให้ไวที่สุดแบบไม่ต้องให้เห็นฝุ่น ไม่งั้นถ้าเกิดได้ตกไปอยู่ในเงื้อมมือของหลี่โม่แล้วล่ะก็ คงได้เจอความทุกข์ทรมานแบบโดนแล่เนื้อเถือหนังทั้งเป็นกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่ ๆ
1ใน 36 กลยุทธ์ [ รู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหาง ] ถือเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุดในตอนนี้ หลังจากออกไปแล้วก็ยังหาทางกลับมาฆ่ามันได้ ขอแค่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ยังมีโอกาสที่จะได้แก้แค้น