ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – บทที่ 361 การสืบสวนร่วม

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 361 การสืบสวนร่วม

เพียงผอ.ฉีได้พูดจบลง ผู้อาวุโสสำนักเต๋าดาวตกเฉิงยี่ที่ยืนอยู่ข้างเจิ้งฮูเชิงก็ได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงดูแคลน “ผอ.ฉี ท่านมาที่นี่ด้วยตัวเองเพียงเรื่องแค่นี้เนี่ยนะ”

“กับอีแค่ศิษย์นอกสองคนของสำนักหายตัวไปถึงกับทำให้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสสูงสุดต้องออกมาเคลื่อนไหวด้วยตัวเองเลยรึ”

“ความจริงไอ้เรื่องกระทบกระทั่งระหว่างศิษย์สองสำนักมันก็มีมาโดยตลอดโดยเฉพาะกับศิษย์นอก ต่อให้พวกนั้นบาดเจ็บกันไปบ้างแต่มันก็ไม่เคยเกินเลยกว่านั้นไม่ใช่รึไง”

“ข้าล่ะไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมเจ้าสำนักเช่นท่านถึงต้องมาถึงนี่ด้วยเรื่องนี้”

“หรือท่านจะบอกว่าศิษย์สองคนนี้แม้จะเป็นศิษย์นอกแต่ก็สำคัญมากรึไงกัน”

“กับอีแค่ศิษย์นอกนี่ยังไม่ถือว่าเป็นศิษย์สำนักด้วยซ้ำไม่ใช่รึไงกัน”

“อ้อ”

“หรือเป็นเพราะการที่สำนักของท่านไปมีเรื่องกับผู้อาวุโสวิหารศักดิ์สิทธิ์ในครั้งนั้นจึงทำให้พวกท่านหวั่นไหวจนกลัวแม้กระทั่งศิษย์ภายนอกจะได้รับบาดเจ็บเช่นนั้นหรือ”

เฉิงยี่ที่เป็นผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักเต๋าดาวตกนั้นมีสถานะเทียบเท่ากับหลิวฉิงหยุนแห่งสำนักเต๋าใต้บาดาล

แต่คำพูดของเฉิงยี่แสดงออกมาถึงความน่ารังเกียจยิ่งกว่า

เพียงแค่การพูดในครั้งเดียว นอกจากจะเป็นการสาปส่งว่าต่อให้ศิษย์ภายนอกของสำนักเต๋าใต้บาดาลจะเป็นรึจะตายเขาก็ไม่สน แถมยังขยี้ปมในใจของหลิวฉิงหยุนในคราเดียว

นี่ทำให้อย่าว่าแต่หลิวฉิงหยุนเลย แม้แต่ผอ.ฉีเองก็ยังรู้สึกเหลืออดเหลือทน

เฉินเฉียงที่เป็นตัวต้นเรื่องเองนั้นทำตัวประดุจนักบวชมากพรรษาที่ไม่สะทกสะท้านเมื่อได้ยินในเรื่องนี้ แม้แต่หยางเสวี่ยเองก็ยังทำตัวราวกับเอาหูไปนาเอาตาไปไร่

“เฉิงยี่ ไอ้แก่ระยำ สำนักเต๋าดาวตกของเจ้านั้นมีสิทธิ์จะดูแคลนความเป็นตายของศิษย์ของพวกแกได้ แต่สำนักเต๋าใต้บาดาลของพวกเรานั้นไม่ได้ใจสวะเหมือนของเจ้าหรอกเว้ย”

“ลองใช้หัวสมองน้อยๆของเจ้าคิดดูสิว่าหากหลี่เฟิงของเจ้าที่บ่มเพาะหุ่นเชิดโลหิตพบเจอศิษย์ของพวกข้า เจ้าคิดหรือว่าไอ้คนอย่างนั้นมันจะปล่อยให้ศิษย์ของพวกข้าให้มีชีวิตรอดอยู่ได้น่ะ ห้ะ”

เมื่อสิ้นคำก่นด่าของหลิวฉิงหยุน เฉิงยี่กลับตอบกลับด้วยสายตาที่ดูแคลน

“ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้ามาที่นี่ก็เพื่อกล่าวโทษพวกเราที่ศิษย์นอกเจ้ากระจอกว่างั้น”

“ถ้านับจากการปะทะในทุกๆครั้งของศิษย์ของพวกเราแล้ว ข้าแนะนำว่าให้พวกเจ้าซ่อนศิษย์ของเจ้าเอาไว้ในสำนักให้เป็นเต่าหดหัวไปอย่างนั้นเสียดีกว่านะ จะได้ไม่ต้องพบเจอเรื่องแบบนี้”

ทุกคำพูดของเฉิงยี่ที่ไม่ได้มีความปรานีเลยสักนิดนี่ทำให้ผอ.ฉีเริ่มรู้สึกอับอาย

นึกไม่ถึงว่าในตอนนี้แม้แต่เจิ้งฮูเชิงก็ยังพูดออกมา

“ฮี่ฮี่ฮี่ ผู้อาวุโสเฉิง พอแล้วน่า”

“ในเมื่อพี่ฉีกับผู้อาวุโสหลิวสละเวลามาถึงนี้แล้ว ก็เป็นไปได้ว่าไอ้พวกศิษย์ที่หายตัวไปอาจจะมาจากตระกูลที่ทรงพลังก็ได้นา”

“เอาอย่างนี้ ท่านไปดูให้ข้าหน่อยว่าหลี่เฟิงจากแผนกศิษย์นอกของพวกเรานั้นอยู่ที่ใด ไปเรียกเขามาเล่าแจ้งเรื่องราวให้พี่ฉีและผู้อาวุโสหลี่ให้เข้าใจในเรื่องราวที่เกิดขึ้นซะ”

เฉิงยี่พยักหน้ารับ ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างขบขันแล้วจากไป

เฉินเฉียงและหยานเสวี่ยได้มองหน้ากันอยู่พักหนึ่งโดยไม่พูดอะไรออกมา แต่แน่นอนว่าทั้งสองพูดคุยกันผ่านเสียงทางจิตวิญญาณ

-เฉินเฉียง ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะเกินมือพวกเราแล้วนะ หากพวกเขาทำการสืบสวนล่ะ-

-ก็ไม่เห็นต้องกังวลอะไรนี่นา ยังไงซะไอ้พวกนั้นก็ตายกันจนหมดแล้ว แถมยังไม่เหลือร่องรอยอะไรอีก-

-ยิ่งไปกว่านั้นก็คือมันไม่ได้มีปัญหาแต่อย่างใด อย่างมากพวกเราก็แค่เปลี่ยนที่อยู่ของเราแล้วหาวิธีอื่นในการสืบเรื่องของวิหารศักดิ์สิทธิ์ ตราบใดที่ยังไปถึงเป้าหมายได้เหมือนเดิม วิธีการไหนก็ไม่แตกต่างกัน-

ด้วยคำพูดของเฉินเฉียงนี้ทำให้หยานเสวี่ยรู้สึกผ่อนคลายลง

คนเฉกเช่นเธอและเฉินเฉียงนั้นเรียกได้ว่ามีสถานะที่สูงล้ำเมื่อมาอยู่ที่นี่ ในหลายเรื่องๆที่คนที่โลกปีศาจแห่งนี้เป็นกังวล แต่กับทั้งสองคนนั้นกลับไม่นับเป็นสิ่งใด

ในสายตาของทั้งคู่นั้น ผอ.สำนักเต๋าทั้งสองนี้ไม่ใช่สิ่งที่ต้องคิดเป็นจริงเป็นจังแต่อย่างใด พวกเขาสามารถชนะได้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มสู้เลยด้วยซ้ำ

ตราบใดที่พวกเขาสามารถเข้าไปในวิหารศักดิ์สิทธิ์ได้ ไม่ว่าด้วยวิธีการไหนย่อมไม่แตกต่างกัน

หลังจากผ่านไปสิบห้านาที เฉิงยี่เดินกลับมาพร้อมศิษย์ที่ท่าทางเก้งก้างคนหนึ่ง

เฉินเฉียงเห็นก็จดจำได้ในทันที คนคนนี้คือหลี่ฉิงที่เขาเคยเห็นมาก่อนหน้า

เมื่อหลี่ฉิงเดินเข้ามา เฉินเฉียงก็รับรู้ได้แล้วว่าการตายของหลี่เฟิงนั้นคงไม่ได้ถูกปิดซ่อนไว้อีกต่อไป

อย่างที่เขาคิดว่า หลี่ฉิงแสดงออกมาด้วยใบหน้ากระอักกระอ่วนในตอนที่เดินเข้ามาในห้องนี้

เจิ้งฮูเชิงนั้นย่อมจดจำหลี่ฉิงได้เป็นอย่างดี

นั่นก็เพราะเขาคือชายหนุ่มที่มีระดับการบ่มเพาะเพียงระดับนักรับขั้นสูง แต่กลับมีความสามารถบนเส้นหุ่นเชิดโลหิตที่เหนือล้ำกว่าใครจนยากหาใครเทียบ

และนี่เองก็ทำให้เขาเข้าใจได้ว่าทั้งสองมีสานสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเพราะถูกเลี้ยงดูด้วยกันมาตั้งแต่เล็ก

“ศิษย์หลี่ฉิงทำความเคารพท่านผู้อาวุโส”

เมื่อหลี่ฉิงเข้าห้อง เขาทำความเคารพเจิ้งฮูเชิงอย่างเคารพเลื่อมใส

นี่ทำให้เจิ้งฮูเชิงเผยรอยยิ้มและพยักหน้ารับออกมาอย่างพึงพอใจ “หลี่ฉิง ข้าจำได้ว่าเจ้านั้นเป็นผู้พี่ของศิษย์ที่ถูกกล่าวถึง”

“แต่ผู้อาวุโสเฉิง ข้าให้เจ้าไปตามคนน้องมาไม่ใช่รึ แล้วเจ้าไปตามคนพี่มาทำไมกัน”

ก่อนที่เฉิงยี่จะได้ตอบ หลี่ฉิงก็ได้รีบพูดแทรกออกมา “เรียนเจ้าสำนัก ศิษย์นอกคนที่ท่านกล่าวถึงหรือก็คือหลี่เฟิงน้องชายของข้านั้น”

“เมื่อไม่กี่วันก่อน เขาได้บอกศิษย์มาว่าต้องการเข้าเขาม่อกั๋นเพื่อทำภารกิจล่าค่าหัวที่นั่น”

“แต่นี่ก็เกือบสัปดาห์แล้ว น้องชายของข้าก็ยังไม่กลับมาแต่อย่างใด”

“และเป็นตอนนี้ที่ท่านอาจารย์ได้เข้ามาหาข้าแล้วบอกว่ามีศิษย์สำนักใต้บาดาลได้พบเจอกับน้องชายข้ามาก่อน ข้าจึงรีบมาที่นี่ในทันที”

หลังจากหลี่ฉิงได้พูดจบ เฉิงยี่ที่ยืนอยู่ข้างๆก็ได้ก้าวขึ้นหน้ามาแล้วพูดต่อ “เจ้าสำนักเจิ้ง ถึงแม้ว่าหลี่เฟิงนั้นจะเป็นเพียงศิษย์นอก แต่ด้วยการที่เขาเป็นผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิต ต่อให้พบเจออันตราย ถึงแม้เขาจะมีระดับการบ่มเพาะอยู่ในระดับนักรบขั้นกลางแต่เขาก็ควรจะสามารถเอาตัวรอดได้”

“แต่นี่หลี่เฟิงยังไม่ได้กลับมา ข้าเกรงว่าเขานั้นจะตกตายไปแล้ว”

เมื่อพูดมาถึงจุดนี่ เฉิงยี่ได้มองไปที่ผอ.ฉีและคนอื่นๆอีกสามคนด้วยท่าทางกระด้างกระเดื่อง

ผอ.ฉีและหลิวฉิงหยุนเองก็ไม่ได้คาดถึงเรื่องนี้เหมือนกัน นั่นก็เพราะแต่เดิม ทั้งสองมาที่นี่เพื่อมาทวงความยุติธรรมให้กับสำนักตนเพราะคิดว่าคนของสำนักดาวตกเป็นต้นเหตุให้ศิษย์ของตนต้องให้หายไป แต่กลับกลายเป็นว่าศิษย์สำนักเต๋าดาวตกก็หายไปด้วย

และเมื่อเห็นสายตาของเฉิงยี่ในตอนนี้ทำให้หลิวฉิงหยุนอดไม่ไหวปลดปล่อยความเดือดดาลออกมา

“ไอ้สกุลเฉิง มองอย่างนี้แกหมายความว่ายังไง”

“แกคิดว่าศิษย์สำนักของข้าฆ่าศิษย์ของเจ้ารึไงกัน”

“แกก็พึ่งจะพูดอยู่กลับปากว่าศิษย์ของแกมันเป็นผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตย่อมเอาชีวิตรอดได้ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่นักรบกระจอกงอกง่อยก็ตาม เทียบกับศิษย์ข้าที่หายไปเป็นถึงระดับนายพลขั้นสูง แถมยังเป็นศิษย์แผนกปรุงยาที่มีความสามารถสูงล้ำนะเว้ย พวกเขาคงจะมีความสามารถที่จะจัดการไอ้ศิษย์ของแกได้อยู่หรอก”

เฉิงยี่ที่ได้ยินก็พูดออกมาด้วยท่าทางที่ไม่พอใจ “ไอ้แก่หลิว ข้าไม่ได้บอกว่าหลี่เฟิงถูกฆ่าโดยคนของเจ้า”

“แถมแกพูดออกมาจากปากถึงขนาดนี้ ข้าก็ยิ่งเชื่อว่าคนของแกไม่มีปัญญา”

เมื่อเห็นว่าทั้งสองกำลังฮึ่มฮั่มใส่กัน เจิ้งฮูเชิงได้ยกมือขึ้นห้ามปราม “เอาล่ะ ผู้อาวุโสเฉิง เรื่องที่แล้วก็ให้มันแล้วๆไป”

“แถมในตอนนี้เรื่องราวยังไม่กระจ่าง ดังนั้นเราจะด่วนสรุปอะไรไม่ได้ทั้งนั้น”

เมื่อพูดจบ เจิ้งฮูเชิงได้หันไปหาผอ.ฉีแล้วพูดออกมา “พี่ฉี ในเมื่อตอนนี้ศิษย์ของสองสำนักเรานั้นได้หายไปกันทั้งคู่ แล้วก็เป็นอย่างที่ผู้อาวุโสหลิวว่าไว้ก่อนหน้า ต่อให้พวกเขาเป็นเพียงศิษย์นอก แต่ในฐานะผู้อาวุโสสำนักก็ไม่อาจที่จะปล่อยผ่านเรื่องแบบนี เอาอย่างนี้แล้วกัน ทำไมเราไม่ไปที่เขาม่อกั๋นด้วยกันเพื่อดูเรื่องนี้กันล่ะ”

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท