คุณหนูใหญ่ลู่ได้ยินก็หัวเราะเยาะในใจ
ตระกูลหลี่ยังคงไม่มีคนที่ได้เรื่องสักคนจริงๆ
ถูกคุณหนูสามตระกูลซือตบหน้าแบบนี้ ยังกลัวว่าจะล่วงเกินนาง มิน่าเล่าตระกูลหลี่พุ่งขึ้นมาได้เร็วขนาดนี้ คิดว่าจะต้องเกี่ยวข้องกับการแสดงละครว่าไม่ล่วงเกินคนทุกเรื่องของพวกเขาอย่างแน่นอน
คิดถึงตรงนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบาๆ ในใจ
มารดาของนางบอกนางหลายครั้งแล้วว่า ให้นางอย่าเจออะไรก็หุนหันพลันแล่นตลอด เหมือนบิดาของนาง ใจดีก็ล่วงหน้าเกินคนเหมือนกัน จนแม้แต่ตำแหน่งอาจารย์ก็ไม่มั่นคง
ความจริงแล้วหลายวันก่อนบิดาของนางล่วงเกินใต้เท้าจวงผู้ช่วยขวาของผู้ว่าราชการมณฑลซานซี นางกับมารดามาถึงจวนสกุลหลี่แต่เช้า เพราะอยากคุยกับท่านหญิง ให้นางหรือฮูหยินติงขอให้ฮูหยินจวงออกหน้าช่วยพูด ขอโทษใต้เท้าจวง เรื่องนี้ก็ถือว่าปล่อยไปแล้วกัน
คุณหนูใหญ่ลู่นึกถึงสายตาที่ดื้อรั้นและเสียใจของบิดาตอนที่มา แล้วสายตาของนางก็มืดมน และรู้สึกหดหู่ จนไม่มีกะจิตกะใจจะเอาชนะคุณหนูสามตระกูลซืออีกแล้ว
“เช่นนั้นก็ต้องดูว่าถึงเวลานั้นจะมีวาสนาหรือไม่แล้ว!” นางตอบเหอถงเหนียง แล้วจูงน้องสาวที่ยังไม่ค่อยรู้ความตามหลังหลี่ตงจื้อ โดยไม่พูดอะไรอีก
แต่คุณหนูสามตระกูลซือกลับไม่ยอมปล่อยคุณหนูใหญ่ตระกูลลู่ไป นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ทำไมพี่ลู่จะต้องทำอะไรอ้อมค้อมด้วย? ข้าคิดว่าร้านขายเครื่องประดับเงินทองหย่งเฟิงของซานซีของพวกเราดีมากทีเดียว เครื่องประดับตอนวันเกิดของพี่ติงคราวก่อนก็ทำที่นั่นไม่ใช่หรือ? และข้าได้ยินว่า ช่างของร้านขายเครื่องประดับเงินทองหย่งเฟิงนั้นจ่ายราคาสูงซื้อตัวมาจากเมืองหลวง เครื่องประดับที่ทำให้คนตื่นตะลึงหลายรุ่นของร้านขายเครื่องประดับเงินทองหย่งเฟิงในช่วงหลายปีนี้ล้วนเป็นฝีมือของช่าง…”
ติงหวั่นได้ยินก็ยิ้มเล็กน้อย ทว่าในใจกลับไม่พอใจสิ่งที่คุณหนูสามตระกูลซือทำมาก
เหอถงเหนียงเป็นญาติที่ท่านหญิงเจียหนานยอมรับ แถมยังให้นางออกหน้าเข้าสังคมเป็นเพื่อนหลี่ตงจื้อที่ยังอายุน้อย แสดงว่าชอบเหอถงเหนียงมาก ต่อไปพวกนางเลี่ยงไม่ได้ที่จะเจอกันบ่อยๆ แต่คุณหนูสามตระกูลซือกลับเหมือนเป็นบ้า เห็นเหอถงเหนียงก็ไม่ถูกชะตา แถมยังทะเลาะกับคุณหนูใหญ่ตระกูลลู่อีก
ทว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลลู่ก็ใจร้อนเกินไปหน่อยเช่นกัน พอคุยกันไม่ถูกคอก็ไม่ไว้หน้า จำเป็นต้องทำแบบนี้ด้วยหรือ?
เวลานี้คุณหนูสามตระกูลซือลากนางเข้าไปพัวพันอีก
คิดจะอาศัยชื่อของนางกดศีรษะเหอถงเหนียง
นางไม่ยอมเป็นดาบในมือของคุณหนูตระกูลซือหรอก
“ข่าวลือนี้ข้าก็เคยได้ยินเช่นกัน” ติงหวั่นเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “แต่ไม่เคยเห็นด้วยตาตนเอง…วันเกิดข้าครั้งก่อนคนที่ทำเครื่องประดับให้ข้า คือช่างหลิวที่ทำเครื่องประดับให้ท่านแม่มาตลอด ข้าคิดว่าฝีมือของเขาก็ดีมากเหมือนกัน”
กู้หน้าให้คุณหนูใหญ่ลู่เล็กน้อย
คุณหนูใหญ่ลู่มองติงหวั่นอย่างซาบซึ้ง
แต่คุณหนูสามตระกูลซือกลับไม่พอใจแล้ว
ทว่านางกล้าเหยียบคุณหนูใหญ่ตระกูลลู่ กลับไม่กล้าเหยียบติงหวั่น
คนทั้งกลุ่มเข้าไปในโถงบุปผาอย่างเงียบๆ
สี่มุมของโถงบุปผาล้วนกองภูเขาน้ำแข็งเอาไว้ อากาศเย็นมาปะทะหน้า ทำให้ทุกคนอดไม่ได้ที่จะร่าเริงขึ้นมา
“ใช้เงินไปมากจริงๆ!” ดวงตาสามเหลี่ยมของฮูหยินจวงหรี่ลงเล็กน้อย พลางแอบเอ่ยในใจว่า เสียดายที่มาช้าเกินไป
เจียงเซี่ยนดูแลให้ทุกคนนั่งลงตามลำดับความสำคัญ แล้วให้คนถือรายการงิ้วเข้ามา นางถึงจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มอย่างเยือกเย็นว่า “จู่ๆ ก็แต่งมาไท่หยวน ข้าก็คิดไม่ถึงเช่นกัน ในบ้านจึงวุ่นวายเล็กน้อยอย่างเลี่ยงไม่ได้ ฮูหยินทุกท่านมาอวยพร ก็ไม่ได้ต้อนรับอย่างดี ท่านแม่กับข้าต่างก็รู้สึกละอายใจเป็นอย่างมาก วันนี้จึงจัดงานเลี้ยงในบ้าน เชิญฮูหยินทุกท่านมาดื่มเหล้าอีกถ้วย ถือว่าขอโทษฮูหยินทุกท่านแล้ว” แล้วก็ตั้งใจขอบคุณฮูหยินหลี่เป็นพิเศษ “…ไปกลับไท่หยวนกับต้าถงหลายครั้ง หากไม่มีท่าน งานแต่งงานนี้ก็คงจะไม่ราบรื่นแบบนี้เช่นกัน อีกสักครู่ข้าอยากคารวะเหล้าฮูหยินสักถ้วย ฮูหยินห้ามบอกปัดเชียว!”
ทุกคนพากันยิ้มและเอ่ยว่าเจียงเซี่ยนเกรงใจเกินไปแล้ว
ฮูหยินติงเอ่ยกับเจียงเซี่ยนแทนทุกคนว่า “บำเพ็ญตบะร้อยปีถึงจะได้นั่งเรือลำเดียวกัน สามีของพวกเรากับเจ้าเมืองหลี่เป็นคนเจียงซีเหมือนกัน แต่ฮูหยินหวังเป็นคนส่านซี ฮูหยินจวงเป็นคนเจียงหนาน ท่านหญิงก็มาจากเมืองหลวง เวลานี้ทุกคนได้นั่งคุยอยู่ในห้องเดียวกัน หาได้ยากว่าการนั่งเรือลำเดียวกันอีกไม่ใช่หรือ?”
“ก็จริง ก็จริง” ฮูหยินซือเอ่ยอย่างประจบประแจงว่า “ฮูหยินติงเป็นคนดีที่มีชื่อเสียง งานเย็บปักถักร้อยก็มีความสามารถโดดเด่นเหนือใคร ปีนั้นหลังจากคุณหนูใหญ่ตระกูลติงแต่งไปตระกูลสยง งานเย็บปักถักร้อยที่เอาออกมาตอนที่ญาติของทั้งสองฝ่ายพบกันเป็นครั้งแรกก็สั่นสะเทือนเมืองหลวง ว่ากันว่ายังได้รับคำชมจากไทฮองไทเฮา และเก็บไว้ในวังด้วย”
เจียงเซี่ยนฝืนอดทนไว้ ถึงไม่แสดงสีหน้าแปลกๆ ออกมา
ฮูหยินซือเห็นนางเป็นหญิงสาวชนบทใช่หรือไม่?
ไม่อย่างนั้นจะพูดออกมาแบบนี้ได้อย่างไร
ได้รับคำชมจากใครไม่ได้ ต้องได้รับคำชมจากไทฮองไทเฮา…นางปรนนิบัติรับใช้ไทฮองไทเฮาทั้งวัน เรื่องที่เกิดขึ้นข้างกายไทฮองไทเฮานางจะไม่รู้ได้อย่างนั้นหรือ?
เจียงเซี่ยนจึงมองฮูหยินติงครั้งหนึ่ง และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง! งานเย็บปักถักร้อยของข้าไม่ได้เรื่อง ตอนที่อยู่ในวังมักจะโดดเรียน สุดท้ายจะแต่งงานแล้ว แม้แต่ผ้าเช็ดหน้าก็ปักไม่สวย ก่อนออกเรือนยังเคยถูกท่านป้าสะใภ้ใหญ่พูดถึงอยู่ตลอดเวลา วันไหนหากมีเวลาว่าง ต้องขอให้ฮูหยินติงสอนข้าแล้ว”
งานเย็บปักถักร้อยของคุณหนูใหญ่ตระกูลติงดี เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ตระกูลติงโม้ออกมาอย่างสิ้นเชิง
เพราะคุณหนูใหญ่ตระกูลติงชอบแต่เรียนหนังสือและไม่ชอบงานเย็บปักถักร้อยมาตั้งแต่เด็ก กำลังจะแต่งงานแล้ว ชื่อเสียงเรื่องเก่งการเขียนบทความของนางโด่งดังกว่าชื่อเสียงที่ดีเสียอีก ตระกูลติงคิดว่าเรื่องนี้ไม่เป็นไร ทว่าฮูหยินติงกลับกังวลว่าหลังจากนางแต่งไปตระกูลสยงจะไม่ได้รับความโปรดปรานจากพ่อแม่สามีและสามี จึงตั้งใจจัดคนไปคุยโวโอ้อวดงานเย็บปักถักร้อยของคุณหนูใหญ่ตระกูลติงโดยเฉพาะ ใครจะรู้ว่าทุกคนต่างก็แย่งกันประจบติงหลิว จนเรื่องนี้ยิ่งโม้ก็ยิ่งไปกันใหญ่ และกลายเป็นอย่างที่ฮูหยินซือเอ่ย
ดังนั้นพอฮูหยินติงได้ยินฮูหยินซือเอ่ยถึงเรื่องนี้ นางก็แทบอยากจะหยิบเข็มมาเย็บปากของฮูหยินซือ
ทว่านางก็ไม่อาจโต้แย้งได้ แล้วก็ไม่อาจแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาได้…จึงเก็บความโกรธไว้ในใจอย่างยากลำบากแบบนี้
ฮูหยินหลี่รู้ความจริง
นางอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบาๆ ในใจ
ยังดีที่คุณชายรองตระกูลสยงก็เป็นคนธรรมดาที่ชอบเรียนหนังสือเหมือนกัน แต่งงานกับภรรยาที่ทำงานเย็บปักถักร้อยไม่เป็นแบบนี้ ไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกเสียดาย ทว่ากลับรู้สึกปลื้มใจเป็นเท่าตัวเพราะภรรยาสามารถเรียนหนังสือและเขียนหนังสือกับเขาได้ ทั้งสองคนขับร้องบทกวีและเพลงด้วยกัน เคารพกันและกัน ไม่มีจุดที่ไม่ดีแม้แต่นิดเดียว เหมือนสามีภรรยาที่รักใคร่ปรองดองกัน ไม่อย่างนั้นได้ยินฮูหยินซือเอ่ยเช่นนี้ ก็คงจะต้องกระอักเลือดแล้ว
ฮูหยินหลี่รีบยิ้มและเปลี่ยนเรื่อง โดยเอ่ยว่า “ท่านหญิง ได้ยินท่านเอ่ยเช่นนี้ ข้ากลับอยากรู้ขึ้นมาว่า ปกติท่านเรียนอะไรบ้างหรือ? ได้ยินว่าของว่างที่ทำในวังอร่อยมาก? เป็นความจริงหรือไม่?”
เจียงเซี่ยนไม่คิดที่จะทำให้ฮูหยินติงลำบากใจ จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ตอนที่ข้าอยู่ในวังก็ไม่มีอะไรแตกต่างกับคุณหนูจากตระกูลขุนนางทั่วไปเช่นกัน ต้องเรียนอ่านและเขียนหนังสือ ต้องทำงานเย็บปักถักร้อยเป็น และยังต้องเรียนรู้งานต่างๆ สำหรับดูแลบ้าน เพียงแต่ข้าขี้เกียจจนเคยตัว ไทฮองไทเฮาก็ไม่มีกะจิตกะใจจะคุมข้า ดังนั้นจึงเรียนไม่เก่งสักอย่าง ส่วนที่เอ่ยถึงของว่างที่ทำในวังนั้น อาจจะเพราะข้ากินในวังบ่อย จึงไม่ได้รู้สึกมีอะไรไม่เหมือนกัน แต่หากทุกคนสนใจ ไว้อากาศเย็นหน่อย ข้าจะให้ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ฝากของมา ทุกคนก็ลองชิมดูว่าถูกปากหรือไม่” แล้วเอ่ยถึงเรื่องที่จวนเจิ้นกั๋วกงส่งพวกเหล้าจินหวากับน้ำเชื่อมสาลี่มา “…ของมีไม่มาก ให้ทุกคนชิมรสชาติ”
ทุกคนยิ้มพลางขอบคุณ และเอ่ยถึงเรื่องแสดงงิ้ว “เห็นว่าเคยเข้าวังไปอวยพรวันเกิดไทเฮา เป็นความจริงหรือไม่?”
“เป็นความจริง!” เจียงเซี่ยนเป็นคนชอบช่วยเหลือคน จึงยิ้มพลางเล่าบรรยากาศอันคึกคักที่เฉาไทเฮาฉลองวันเกิดในตอนนั้น และเอ่ยว่า “มีคณะงิ้วมากขนาดนี้ คณะสื่อเจียถูกเลือกมาได้ หาได้ยากมาก!”
ทุกคนก้มหน้าและเริ่มพิจารณารายการงิ้ว
เจียงเซี่ยนมองแต่ละคนที่ดูแลตนเองอย่างดีมากขึ้นเรื่อยๆ ตรงหน้า ทว่าไม่ว่าอย่างไรก็ยากที่จะปิดบังใบหน้าที่อายุล่วงเลยไปแล้วได้ และเหม่อลอยเล็กน้อย