เจียงเซี่ยนพาลโกรธ และเอ่ยว่า “เรื่องที่ข้าถามเจ้าครั้งก่อนเป็นอย่างไรบ้าง? เปิดโรงหมอที่ไท่หยวน รักษาแม่ทัพกับทหารของฐานที่มั่น เป็นคนดังในเมืองไท่หยวน…”
แต่ฉางเหริ่นตงกลับวางตัวแข็งแกร่งและไม่ยอมศิโรราบ พลางเอ่ยว่า “ท่านลุงบอกแล้วว่า ท่านหญิงมาจากตระกูลสูงศักดิ์ หากข้าจะตรวจ ก็ต้องตรวจให้ท่านหญิงคนเดียว หากมีคนทำงานเยอะ แล้วเวชระเบียนของท่านหญิงหายไปจะทำอย่างไร? ข้ารู้สึกว่าท่านลุงพูดมีเหตุผลทีเดียว ดังนั้นพวกเรื่องชื่อเสียงและผลประโยชน์นั้น ข้าก็ไม่คิดแล้วขอรับ!”
เจียงเซี่ยนโกรธจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
ทว่าจู่ๆ ฉางเหริ่นตงกลับยิ้มออกมา และเอ่ยว่า “แต่ถึงข้าจะเป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์และสุจริต ทว่าก็ช่วยไม่ได้ที่พี่น้องในตระกูลของข้าเยอะ อย่างไรก็หวังแต่พวกงานของบรรพบุรุษในตระกูลไม่ได้ หากออกมาหาประสบการณ์ได้ ก็ออกมาหาประสบการณ์ดีกว่า ดังนั้นพี่ชายอีกคนของข้าจึงบอกว่า ข้าไม่เหมาะที่จะเปิดโรงหมอ แต่เขาเหมาะ! ข้าจึงเขียนจดหมายไปให้เขาแล้ว เขาสามารถมาถึงไท่หยวนได้อย่างช้าที่สุดก็กลางเดือน ถึงเวลานั้นยังต้องขอให้ท่านหญิงจัดสรรเงินให้สักหน่อย และให้แม่ทัพหลี่เขียนแผ่นป้ายที่แขวนอยู่เหนือประตูให้ร้านขายยา ทำให้คนอื่นรู้ด้วยว่าเบื้องหลังร้านขายยานี้มีท่านแม่ทัพสนับสนุนอยู่”
เจตนาเดิมที่เจียงเซี่ยนเปิดร้านขายยาคืออยากดึงคนอื่นมาเป็นพวก ฉางเหริ่นตงเอ่ยเจตนาของนางออกมาด้วยน้ำเสียงยั่วเย้า เจียงเซี่ยนรู้สึกว่าคนๆ นี้ถือว่ารู้เบื้องหลังดีทีเดียว ความโกรธในใจจึงหายไปไม่น้อย และเอ่ยว่า “พี่น้องของเจ้าคนนั้นใช้ได้หรือไม่? เขาถนัดอะไรบ้าง?”
“พวกต่อกระดูกกับนวดถนัดหมด” ฉางเหริ่นตงเอ่ยพลางรับผ้าเช็ดหน้าที่ไป่เจี๋ยยื่นมาไปเช็ดมือ และเอ่ยอย่างสบายมากว่า “อาการเจ็บป่วยเล็กน้อยก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแล้ว ถึงอย่างไรก็สามารถปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของเมืองไท่หยวนได้ และไม่สิ้นเปลืองเงินของท่านหญิงอย่างแน่นอน”
“เช่นนั้นก็ได้!” เจียงเซี่ยนเถียงกับฉางเหริ่นตงต่อว่า “ต้องการเงินเท่าไรได้หมด แต่จะใช้เงินนี้อย่างไร เจ้าต้องคิดหาทางให้ข้า”
“ท่านวางใจ ใช้เงินของท่านไม่เท่าไรหรอก” ฉางเหริ่นตงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านมีสินเดิมมากขนาดนั้น แทนที่จะวางไว้ในห้องเก็บของให้ขึ้นรา สู้ให้ข้าสักหน่อยดีกว่า ก็ถือว่าทำการกุศลด้วย”
เจียงเซี่ยนเห็นฉางเหริ่นตงทำตัวเล่นๆ นัยน์ตาลุ่มลึก
เขากำลังเตือนนางว่า แทนที่จะเปิดร้านขายยาเพียงอย่างเดียว สู้ใช้โอกาสที่เปิดร้านขายยาบริจาคยาบริจาคเงินทำการกุศล สะสมชื่อเสียงให้นางหรือตระกูลหลี่ทีละเล็กทีละน้อยดีกว่า
ฉางเหริ่นตงผู้นี้ เป็นอย่างที่หมอหลวงเถียนบอกว่า เป็นเพียงหลานชายของตระกูลที่คบหากันมาหลายชั่วอายุคน และเป็นหมอธรรมดาที่ไม่ยอมเข้าสำนักหมอหลวงจริงๆ หรือ?
ทว่าฉางเหริ่นตงกลับเหมือนไม่สังเกตเห็นความผิดปกติของเจียงเซี่ยน เขายิ้มพลางขอบคุณไป่เจี๋ยที่นำชามาให้เขา จิบชาอึกหนึ่งอย่างพอเป็นพิธี ก็ลุกขึ้นบอกลา
เจียงเซี่ยนสั่งให้ไป่เจี๋ยไปส่งเขา
พอเลิกม่านขึ้น ฉางเหริ่นตงก็เจอหลี่เชียนที่เพิ่งกลับมาพอดี
หลี่เชียนยิ้มพลางเอ่ยว่า “ท่านหมอฉางจะกลับแล้วหรือ? ร่างกายของท่านหญิงเป็นอย่างไรบ้าง? สบายดีหรือไม่?”
ฉางเหริ่นตงคารวะหลี่เชียนอย่างนอบน้อม และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านหญิงสบายดีทุกอย่างขอรับ ดีขึ้นกว่าตอนที่ข้าเพิ่งมาถึงเสียอีก”
“เช่นนั้นก็ดี!” หลี่เชียนยิ้มออกมาอย่างปลื้มใจ และคุยกับฉางเหริ่นตงอีกสองสามคำ ถึงจะเข้าห้อง
ตอนที่เจียงเซี่ยนได้ยินเสียงเขาก็เหยียบส้นรองเท้าและลงจากเตียงอุ่นแล้ว ตอนที่เห็นหลี่เชียนมองไปก็เห็นเขาท่าทางเหน็ดเหนื่อย จึงอดไม่ได้ที่จะกดเสียงให้เบาลงและเอ่ยว่า “เจ้าไปไหนมา?”
หลี่เชียนยิ้มพลางส่งสายตาให้นาง และเอ่ยว่า “ข้าออกไปนอกเมืองมา!”
เจียงเซี่ยนไม่ถามอะไรเพิ่มอีก
แต่หลี่เชียนกลับอยากให้เจียงเซี่ยนช่วยเขาเปลี่ยนเสื้อผ้า
เจียงเซี่ยนยังไม่เคยทำเรื่องนี้มาก่อน
ทว่านางชอบตามใจหลี่เชียนแบบนี้มาก
นางถามฉิงเค่อว่าควรทำอย่างไร
ฉิงเค่อคอยบอกนางอยู่ข้างๆ
เจียงเซี่ยนยิ้มพลางปลดสายคาดเอวให้หลี่เชียน
หลี่เชียนยิ้มและมองเจียงเซี่ยน พอก้มศีรษะก็ได้กลิ่นหอมอย่างเบาบางจากบนผมของนาง
เขามองฉิงเค่อที่รับใช้เขากับเจียงเซี่ยนอยู่ในห้องครั้งหนึ่ง
ฉิงเค่อก้มหน้านิ่ง เหมือนไม่รู้อย่างสิ้นเชิงว่าสายตานั้นของหลี่เชียนหมายความว่าอย่างไร
หลี่เชียนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจในใจ
ผู้หญิงที่ออกมาจากในวังไม่เหมือนกัน
จะบอกว่านางมีไหวพริบ เวลาสำคัญนางก็ไม่เข้าใจอะไรเลย จะบอกว่านางไม่มีไหวพริบ ไหวพริบในการยกชารินน้ำนั้น คนอื่นก็ตามไม่ทันอย่างสิ้นเชิง
หลี่เชียนมองนิ้วมือที่ขาวมากของเจียงเซี่ยนที่วางอยู่บนเสื้อด้านหน้าของตนเอง แล้วก็สงสารเจียงเซี่ยนขึ้นมา จึงเอ่ยว่า “ข้าทำเองดีกว่า เจ้านั่งดูอยู่ข้างๆ ก็พอ”
“สักวันหนึ่งข้าต้องช่วยเจ้าเปลี่ยนเสื้อผ้า ตอนนี้ได้เรียนรู้พอดี” เจียงเซี่ยนยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ
หลี่เชียนถอนหายใจ และเอ่ยกับฉิงเค่ออย่างตรงไปตรงมามากว่า “พวกเจ้าออกไปก่อนเถอะ ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่านหญิง”
ฉิงเค่อมองเจียงเซี่ยน
เจียงเซี่ยนพยักหน้า นางถึงจะพาคนรับใช้ในห้องออกไป เจียงเซี่ยนยิ้มพลางถามหลี่เชียนว่า “เจ้ามีเรื่องอะไรจะคุยกับข้าหรือ?”
หลี่เชียนเอ่ยว่า “ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า แต่ก็ไม่อาจสั่งสาวใช้ของเจ้าได้ ถึงได้บอกให้เจ้าช่วยข้าเปลี่ยนเสื้อผ้า ใครจะรู้ว่าสาวใช้ของเจ้าฟังไม่ออกแม้แต่นิดเดียว แถมยังบอกให้เจ้าช่วยข้าเปลี่ยนเสื้อผ้า…” แลดูแค้นมาก
เจียงเซี่ยนหัวเราะเสียงดัง
หลี่เชียนทั้งร้อนใจทั้งโกรธ จึงเอ่ยว่า “เจ้ายังหัวเราะอีก เจ้ายังหัวเราะอีก!” ทว่ากลับอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเองเช่นกัน แล้วก็คิดว่าจะปล่อยเจียงเซี่ยนไปแบบนี้ไม่ได้ จึงยื่นมือไปจั๊กจี้เจียงเซี่ยน
เจียงเซี่ยนหัวเราะและจะไปหลบที่ห้องพักผ่อน
แต่กลับถูกหลี่เชียนบีบไปหน้าเตียงอุ่นหลังใหญ่ใกล้หน้าต่าง
เจียงเซี่ยนหัวเราะและคิดจะอ้อมข้างตัวของหลี่เชียนไป ทว่ากลับถูกหลี่เชียนกอดเอวไว้ และเอ่ยว่า “ข้าจะดูว่าเจ้าจะหนีไปไหน?”
นางยกสองมือยอมแพ้
หลี่เชียนหัวเราะ พลางมองแก้มชมพู ดวงตาโตที่งดงามมีชีวิตชีวา และริมฝีปากแดงของเจียงเซี่ยน แล้วก็อดไม่ได้ที่จะก้มตัวลงไปครอบครองริมฝีปากที่ละเอียดเหมือนกลีบดอกไม้และเย็นลื่นเหมือนเต้าหู้
เจียงเซี่ยนเบิกตาโต
หลี่เชียนใช้มือปิดตาของนาง
ขนตายาวของนางก็สั่นอยู่ในฝ่ามือของเขา เหมือนขนนกจั๊กจี้หัวใจเขา
“เป่าหนิง หลับตา” เขาเอ่ยเบาๆ ลมหายใจที่ร้อนแผดเผาเหมือนเปลวไฟ จุดไฟบนหน้าของนางอย่างเร็วมาก ทำให้นางรู้สึกร้อนผะผ่าว ดวงตาก็ร้อนจนลืมไม่ค่อยขึ้น
นางทำตามใจ หลับตาลง…
นอกห้อง อิ้นไฉ่เอ่ยอย่างกังวลเล็กน้อยว่า “ทำไมถึงไม่มีเสียงแล้ว?”
ฉิงเค่อมองอิ้นไฉ่ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
อิ้นไฉ่หัวเราะเบาๆ และไปยืนข้างๆ
เหล่าเด็กสาวก็ยืนรออยู่ตรงนั้นอย่างเบื่อมาก
ทว่ารอจนพระจันทร์ขึ้น ก็ไม่เห็นความเคลื่อนไหว
ในห้อง เจียงเซี่ยนหลับตา กึ่งซบอยู่บนตัวหลี่เชียน ปล่อยให้หลี่เชียนลูบหลังของนางเป็นระยะๆ สบายจนไม่อยากลืมตา และฟังหลี่เชียนคุยกับนาง “สินค้าชุดนั้นออกจากด่านอวี๋หลินแล้ว ครั้งนี้ข้าไม่ได้ปะทะกับพวกเขา แต่ทำตามกฎของพวกเขา เก็บสี่ในสิบ และเอาของออกไปนอกด่านแล้ว”
เจียงเซี่ยนทำเสียงไม่เชื่อและเอ่ยว่า “ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะซื่อสัตย์ขนาดนั้น!”
หลี่เชียนหัวเราะ จนหน้าอกสั่น และก้มหน้าลงมาจูบบนศีรษะของเจียงเซี่ยนทีหนึ่ง “ดังนั้นหลังจากนั้นหนึ่งชั่วยามจึงหันกลับไปโจมตีอย่างกะทันหัน และชิงค่าผ่านทางที่พวกเขาได้รับทั้งหมดมาแล้ว”
เจียงเซี่ยนลุกขึ้นนั่งทันที และอ้าปากกว้างพลางมองหลี่เชียนอย่างไม่รู้จะพูดอะไรดีแล้ว
“ทำไม? อึ้งไปเลยหรือ?” เขาลูบศีรษะของเจียงเซี่ยน แล้วแนบหน้าผากกับเจียงเซี่ยน และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าบอกว่าข้าไม่มีทางที่จะซื่อสัตย์ขนาดนั้นไม่ใช่หรือ? สุดท้ายข้าเป็นอย่างที่เจ้าเอ่ย ปล้นเซ่ารุ่ยแล้ว เจ้าก็ทำหน้าแบบนี้อีก ที่แท้ที่ดีใจกับข้าเมื่อครู่นั้นเสแสร้งหมดเลยหรือ?”
เจียงเซี่ยนทำเสียงไม่พอใจ และเอ่ยว่า “เจ้าก็โหดเกินไปหน่อยแล้วเช่นกัน ระวังเซ่ารุ่ยจะจนตรอกจนทำได้ทุกสิ่งทุกอย่าง เวลานี้เจ้ายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา”