เซี่ยหยวนซีมองตั๋วเงินที่หนามากในมือเจียงเซี่ยน โดยไม่พูดอะไรนานมาก แล้วคารวะเจียงเซี่ยนอย่างเคารพนบนอบ และเอ่ยด้วยเสียงทุ้มว่า “ขอบคุณฮูหยินมาก หลายวันนี้ท่านแม่ทัพออกเช้ากลับดึก เพราะอยากติดต่อกับกัวหย่งกู้ผู้ว่าราชการมณฑลเสฉวนขอรับ”
“กัวหย่งกู้?!” เจียงเซี่ยนตกใจ
จิ้งจอกเฒ่าผู้นี้เป็นผู้ว่าราชการมณฑลที่เสฉวนมายี่สิบปีแล้ว ตอนที่นางเป็นไทเฮาอยากย้ายเขาเข้าเมืองหลวงเข้าสำนักราชเลขาธิการหลายครั้งก็ถูกเขาปฏิเสธอย่างอ้อมค้อมด้วยเหตุผลต่างๆ นานา เพื่อที่จะอยู่เสฉวนและเป็นผู้ว่าราชการมณฑลของเขาต่อไป เขาถึงกับไปติดสินบนเฉาเซวียน ตอนนั้นนางยังไม่เข้าใจเรื่องราวในราชสำนัก กัวหย่งกู้อยู่เสฉวนก็ทำได้ดีมาก นอกจากเรื่องที่ไม่อยากเข้าเมืองหลวงแล้ว เรื่องอื่นก็ล้วนรับผิดชอบได้ดี และนางก็ไม่มีตัวเลือกที่เหมาะสมจะแทนที่กัวหย่งกู้จริงๆ เรื่องนี้จึงถูกหยุดไว้แบบนั้น
ในใจนาง กัวหย่งกู้เป็นคนที่จัดการความสัมพันธ์ระหว่างคนเก่งมาก จะล่วงเกินหลี่เชียนได้อย่างไร?
พอคิดขึ้นมา นางก็อดที่จะหัวเราะเยาะไม่ได้
ตอนนี้นางไม่ใช่ไทเฮา และหลี่เชียนก็ไม่ใช่อ๋องหลินถง เจอเรื่องราวกับผู้คนก็ย่อมไม่เหมือนกันแล้วเช่นกัน
พอคิดถึงตรงนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะเสียดายเล็กน้อย ที่ชาติก่อนไม่ได้รู้จักกัวหย่งกู้อย่างละเอียดสักหน่อย ภาพจำที่มีต่อกัวหย่งกู้ยังหยุดอยู่ที่ภาพลักษณ์ที่อ่อนน้อมถ่อมตน อ่อนโยน และจัดการอย่างว่องไวของเขา
“เขาไม่ยอมเจอหลี่เชียนหรือ?” เจียงเซี่ยนถาม
เซี่ยหยวนซีพยักหน้า และเอ่ยว่า “ใต้เท้ากัวนั้นเฉาไทเฮาช่วยเป็นคนกลางให้ขอรับ ตอนฤดูใบไม้ผลิปีนี้ท่านแม่ทัพเคยแอบไปเสฉวนรอบหนึ่ง ตอนนั้นใต้เท้ากัวรับปากเป็นอย่างดี แต่ครั้งนี้ตอนที่ท่านแม่ทัพอยากเข้าเสฉวนอีกครั้ง กลับติดต่อเขาไม่ได้เลย บ่อเกลือของเสฉวนล้วนพูดง่าย ไหวเป่ยกับไหวหนานก็ผลิตเกลือเช่นกัน และพ่อค้าเกลือของไหวเป่ยกับไหวหนานก็เยอะ อย่างมากก็แค่จ่ายเงินเพิ่มนิดหน่อย ทว่าเหล็กกลับพูดยาก ประการแรกหากต้องการน้อย จะสะดุดตาเกินไป ประการที่สองอ่อนไหวเกินไป สืบว่าเหล็กพวกนี้ไปที่ไหนได้ง่ายมาก แล้วก็ช่างหลอมเหล็กที่ดี ส่วนใหญ่อยู่พื้นที่ห่างไกล ที่พวกเรารู้จักตอนนี้ คนหนึ่งอยู่เสฉวน อีกคนอยู่เหลียวตง เหลียวตงเป็นสถานที่ของอ๋องเหลียว ตอนนี้พวกเราไม่มีทั้งกำลังคนและเส้นสายที่สามารถทำอาวุธจากเหลียวตงได้…”
เจียงเซี่ยนเข้าใจแล้ว
หลี่เชียนอยากทำอาวุธชุดหนึ่ง เวลานี้มีเพียงสองแห่งที่มี ที่หนึ่งคือเสฉวน อีกที่คือเหลียวตง เหลียวตงนั้นเพราะอ๋องเหลียวตั้งมั่นรักษาการณ์ จึงทำไม่ได้อย่างสิ้นเชิง เช่นนั้นก็ต้องเล็งไปที่เสฉวน ทว่าเวลานี้กัวหย่งกู้ผู้ว่าราชการมณฑลของเสฉวนกลับไม่ยอมพบพวกเขา เทียบกับรบกวนอ๋องเหลียวแล้ว พวกเขายอมคิดหาทางติดต่อกับกัวหย่งกู้มากกว่า
นางนึกถึงที่หลี่เชียนไปหาเรื่องเซ่ารุ่ย พลางครุ่นคิดว่าน่าจะเพราะการสู้รบไม่ค่อยเป็นไปอย่างที่คิด และต่อให้การสู้รบเป็นไปอย่างที่คิด ก็อาจจะบาดเจ็บและเสียชีวิตมากมายเช่นกัน เขาน่าจะต้องการอาวุธชุดนี้อย่างเร่งด่วนเพื่อเสริมพลังในการป้องกันและโจมตีของพวกอวิ๋นหลิน
เจียงเซี่ยนส่งเซี่ยหยวนซีกลับไป และนั่งลงบนเตียงอุ่นหลังใหญ่ใกล้หน้าต่างพลางพยายามหวนคิดถึงพวกคนที่ช่วยขอร้องให้กัวหย่งกู้ในตอนนั้นอย่างสุดกำลัง…ตอนแรกสุดคนที่ช่วยกัวหย่งกู้ดำเนินการ ต่อให้ไม่ใช่เพื่อนสนิทของเขาก็เป็นคนที่สนิทกับเขา หากนางจำไม่ผิดล่ะก็ กัวหย่งกู้เป็นจิ้นซื่อในปีหย่งซิ่งที่สิบสาม ปีนั้นยังมีใครสอบผ่านและได้เป็นจิ้นซื่ออีก...
นางกำลังคิดอยู่ จู่ๆ ก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ในทันใด
จั่วอี่หมิง
ยังมีจั่วอี่หมิงที่เป็นจิ้นซื่อในปีหย่งซิ่งที่สิบสาม
เพียงแต่หลังจากจ้าวอี้ว่าราชการด้วยตนเองไม่ถึงสองปีจั่วอี่หมิงก็ลาออกและกลับบ้านเกิด
นางเคยออกหน้ารั้งไว้ จั่วอี่หมิงไม่เพียงแต่ไม่ตกลง ทว่ายังเคยเอ่ยกับนางว่า ‘ฮ่องเต้คือฮ่องเต้ ขุนนางคือขุนนาง ฮองเฮาจิตใจบริสุทธิ์งดงาม แต่ต้องจำไว้ว่า สิ่งที่ฝ่าบาทตัดสินพระทัยแล้ว ต่อให้ท่านเป็นคนที่เล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็กและเติบโตในวังด้วยกันกับฝ่าบาท ก็ไม่อาจคัดค้านตามใจชอบได้เช่นกัน’
ตอนนั้นนางโง่ ไม่เข้าใจ
เวลานี้คิดดูแล้ว จริงๆ แล้วจั่วอี่หมิงกำลังเตือนนางว่า จ้าวอี้เปลี่ยนไปแล้ว ให้นางอย่าจินตนาการถึงจ้าวอี้มากเกินไป…
ตอนหลังนางเป็นไทเฮา เคยส่งคนไปถามสารทุกข์สุกดิบจั่วอี่หมิง และถามจั่วอี่หมิงว่าอยากกลับมาเมืองหลวงอีกครั้งหรือไม่ ทว่ากลับถูกจั่วอี่หมิงบอกปัดอย่างอ้อมค้อม
นางยังจำคำพูดที่เขาพูดกับทูตได้ ‘ข้าเป็นขุนนางจ้าว ได้รับความคุ้มครองจากราชวงศ์จ้าว การจงรักภักดีอย่างถึงที่สุดตอบแทนแคว้นเป็นหน้าที่ของข้า เพียงแต่ข้าไม่อยากให้ลูกหลานของข้าเกี่ยวข้องกับวงการราชการจ้าวอีก ข้าจึงจำเป็นต้องอยู่ห่างจากราชสำนัก และสอนหนังสือผู้คนในชนบท’
เจียงเซี่ยนรู้สึกว่าคำพูดนี้แปลกประหลาดมาก ตอนหลังส่งคนไปคารวะจั่วอี่หมิงที่เจียงหนานหลายครั้ง ถึงแม้จั่วอี่หมิงจะมีท่าทีอ่อนลงทุกครั้ง ทว่านางยังไม่ทันได้โน้มน้าวจั่วอี่หมิง ก็ถูกจ้าวสี่วางยาพิษ
เจียงหนาน!
ทันใดนั้นเจียงเซี่ยนก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้อีก
นางลืมไปได้อย่างไร
จั่วอี่หมิงเป็นคนจินหวาเจ้อเจียง
เช่นนั้นกัวหย่งกู้ก็เป็นคนจินหวาเจ้อเจียงเหมือนกัน
ชาติก่อน พวกเขานั้นคนหนึ่งอยู่ทางใต้อีกคนอยู่ทางตะวันตก ต่างก็ไม่ยอมเข้าเมืองหลวง เป็นเพราะรู้สึกว่าราชวงศ์จ้าวไม่ไหวแล้ว พวกเขาจึงไม่อยากเข้าไปพัวพันกับเรื่องนี้หรือเปล่า?
ต้องเป็นแบบนี้อย่างแน่นอน!
เจียงเซี่ยนคิด
ตระกูลกัวเหมือนเป็นเพียงตระกูลธรรมดาที่พอจะมอบบัณฑิตให้ได้คนหนึ่ง แต่ตระกูลจั่วกลับเป็นตระกูลที่มีประวัติความเป็นมายาวนานและมีชื่อเสียงมากของเจียงหนาน จั่วอี่หมิงสามารถเพิกเฉยต่อความเป็นความตายของตนเองได้ ทว่ากลับไม่อาจเพิกเฉยต่อความเป็นความตายของตระกูลได้
หากสกุลจ้าวพังพินาศ ด้วยวิธีทำของบัณฑิตเหล่านั้น ตนเองตายตอบแทนแคว้น เหลือลูกหลานในตระกูลไว้กบดานผ่านช่วงที่สองราชวงศ์แทนที่กัน ถือว่าตอบแทนบุญคุณของราชวงศ์ก่อนแล้ว หมดความจงรักภักดีต่อราชวงศ์ก่อนแล้ว ก็สามารถเข้าร่วมการสอบขุนนางได้ตามปกติ ชิงตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีให้สำเร็จแล้ว
ถึงเวลานี้เจียงเซี่ยนถึงจะมีความรู้สึกที่เข้าใจทันที
จั่วอี่หมิงพูดชัดเจนมากตั้งนานแล้ว
ต้องโทษที่นางไม่เข้าใจ
นางนึกถึงตอนเด็กๆ อยู่ที่วังฉือหนิง จั่วอี่หมิงถูกเฉาไทเฮากับไทฮองไทเฮาทำจนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก และทำได้เพียงยืนฝืนยิ้มอยู่ใต้ต้นไป่ต้นใหญ่ตรงห้องข้างตะวันตกหลังตำหนักอู่อิง แต่ตอนที่เจอนางจะบอกนางว่าจับพู่กันอย่างไรอย่างอดทนและอ่อนโยนมาก ตอนที่นางไม่ยอมฝึกคัดตัวอักษรก็จะใช้กระดาษพับเป็นนกกระเรียนให้นางเล่น
เกรงว่าจั่วอี่หมิงจะไม่มีความอดทนแบบนี้กับลูกชายของตนเองด้วยซ้ำ
นี่ก็เหมือนจะเป็นสิ่งที่จั่วอี่หมิงเคยพูดเช่นกัน
ไม่รู้ว่าผลงานของเหล่าลูกชายของเขาเป็นอย่างไรบ้าง?
หลังจากนั้นตระกูลจั่วก็ไม่มีใครเข้าร่วมการสอบขุนนางอีกเลย นางก็คิดไม่ถึงเช่นกัน
เจียงเซี่ยนแอบเสียดาย แล้วก็อุ่นใจมาก รู้สึกอบอุ่น
นางเรียกเซียงเอ๋อร์เข้ามาฝนหมึกและเขียนจดหมายให้จั่วอี่หมิงฉบับหนึ่ง โดยเล่าความลำบากของหลี่เชียนให้เขาฟังทั้งหมด
เจียงเซี่ยนคิดว่าในเมื่อจั่วอี่หมิงสามารถมองออกได้ว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้ว ก็ย่อมสามารถคาดเดาแนวโน้มของหลี่เชียนผ่านพวกสิ่งที่หลี่เชียนทำได้เช่นกัน
คุยกับคนฉลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุยกับพวกคนที่มีความสามารถและสติปัญญาโดดเด่นและในใจเปลี่ยนทิศทางตลอดจนไม่รู้ว่ามีแผนการกี่แผนแบบนี้ การปิดบังและข้ออ้างมีแต่จะทำให้พวกเขาเกลียด กระทั่งรู้สึกว่าเจ้าดูถูกเขา
เจียงเซี่ยนบอกให้จั่วอี่หมิงช่วยนางในจดหมายโดยตรง
ต้องโน้มน้าวกัวหย่งกู้ให้ขาย ‘ เหล็ก’ ให้หลี่เชียนให้ได้
ไม่อย่างนั้นจะไปฟ้องต่อหน้าไทฮองไทเฮาและเฉาไทเฮา ให้สตรีที่ฐานะสูงสุดในวังสองคนย้ายเขาไปสอนจ้าวสี่ ถึงอย่างไรข้างกายจ้าวอี้มีสยงจวิ้นหรงคนหนึ่งแล้ว ต่อให้บางครั้งนึกถึงเขา เขาก็ไม่เคยคิดจะแย่งสยงจวิ้นหรงเพื่อให้ได้รับภารกิจสำคัญจากจ้าวอี้เช่นกัน คิดว่าจ้าวอี้จะต้องไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน
พอเขียนถึงตรงนี้ นางก็หัวเราะออกมาเอง
หากเขาถูกส่งไปเป็นอาจารย์คนแรกให้ลูกชายคนแรกที่เกิดจากสนมของฮ่องเต้ซึ่งฐานะคลุมเครืออย่างจ้าวสี่ ชื่อเสียงอันโดดเด่นชั่วชีวิตถูกทำลายจนหมดสิ้น เกรงว่าจะยอมลาออกและกลับบ้านเกิดดีกว่า!
แล้วนางก็นึกถึงเรื่องที่จ้าวอี้อยากตั้งนางในในวังที่อายุเกินสามสิบคนหนึ่งเป็นสนม ทว่ากลัวว่าตระกูลเจียงกับสำนักราชเลขาธิการจะไม่ตกลง จึงมอบเงินหนึ่งร้อยตำลึงให้ลุงของนางและราชเลขาธิการทุกคนของสำนักราชเลขาธิการ…
นางตัดสินใจมอบภาพวาดโบราณให้จั่วอี่หมิง