จูเจียนเฉียงต่อสู้ดิ้นรนบิดร่างกายหนีอย่างสุดชีวิตไปพลาง ปากก็ร้องไห้อ้อนวอนขอความเมตตาจากหลี่โม่ไปพลาง
ในเวลานี้ จูเจียนเฉียงรู้จักคำว่ากลัวอย่างถ่องแท้แล้ว เขากลัวว่าหลี่โม่จะลงมือฆ่าเขาทิ้งแบบไม่แยแสอะไรทั้งนั้น
ตีขาแต่ละข้างให้หัก 5 ท่อน ขาข้างนั้นจะถูกตีจนมีสภาพเป็นยังไงล่ะ ? มันจะเจ็บปวดขนาดไหน? จูเจียนเฉียงไม่กล้าคิดเลยว่าถ้าตัวเองถูกทุบตีจนมีสภาพเป็นแบบนั้น ตัวเองจะต้องเจ็บจนมีสภาพร่อแร่ขนาดไหน
“รู้ว่าผิดงั้นเหรอ? ฮะ ๆ มารู้ตัวว่าผิดเอาตอนนี้ก็สายเกินไปแล้ว คำโบราณว่าไว้ มีครั้งที่หนึ่งก็ยังทำครั้งที่สอง ก็ไม่ควรเก็บไว้ให้มีครั้งที่สามที่สี่อีก ที่แกหาเรื่องฉันเหมือนว่าจะเกินสามครั้งไปแล้วนะ”
หลี่โม่ใช้สายตาที่เย็นชาสุดขีดจ้องมองจูเจียนเฉียง
จูเจียนเฉียงเหมือนพวกแมลงสาบตายยากไม่มีผิด เอาแต่หาเรื่องเดือดร้อนรำคาญใจให้หลี่โม่ไม่หยุดไม่หย่อน ถ้าตอนนี้ไม่จัดการสั่งสอนเขาให้รู้สำนึก น่ากลัวว่าจูเจียนเฉียงคงจะไม่รู้ซักทีว่าทำไมหม่าหวางเย่ (เทพม้าสามตา) ถึงได้มีสามตา (*สำนวนนี้มีความหมายภาษาไทยโดยรวมสื่อได้ว่า อย่าได้เที่ยวไปมีเรื่องกับผู้อื่น)
“ไม่! โปรดให้โอกาสฉันอีกซักครั้งเถอะ ถือว่าให้โอกาสฉันเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้ วันหลังฉันจะเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างแน่นอน! จะไม่มารังควานอะไรนายอีกแล้ว ฉันสาบานเลย!” จูเจียนเฉียงพูดอย่างหวาดกลัวลนลาน
“ไม่มีโอกาสอะไรแล้วทั้งนั้น ลงมือซะ” หลี่โม่พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
พลั๊วะ! กร๊อบ!
“อ๊าก!”
รปภ.คนหนึ่งฟาดกระบองเหล็กลงไป ทุบเข้าที่ท่อนขาของจูเจียนเฉียงอย่างโหดเหี้ยม กระดูกท่อนขาของจูเจียนเฉียงหักสะบั้นทันที
จากนั้น รปภ. อีกคนก็ฟาดกระบองเหล็กลงไปที่ต้นขาของจูเจียนเฉียงติด ๆ
พลั๊วะ! กร๊อบ!
“อ๊าก! ขาของชั้น! เจ็บจะตายแล้ว! หลี่โม่ ได้โปรดยกโทษให้ฉันด้วยเถอะ! ฉันไม่ไหวแล้ว ! เจ็บจนไม่ไหวแล้วจริง ๆ ถ้าตีอีกขาชั้นจะพิการแล้ว!”
จูเจียนเฉียงเจ็บจนใบหน้าบิดเบี้ยว น้ำตาก็ไหลอาบลงมาจนนองหน้า เหงื่อเย็น ๆ ไหลท่วมออกมาทั่วร่างเพราะความเจ็บปวด ไม่เพียงแต่ทำให้เสื้อผ้าเปียกชุ่มไปทั้งตัว แต่ยังก่อให้เกิดคราบน้ำรอยหนึ่งบนพื้นอีกด้วย
ชั่วขณะนี้ จูเจียนเฉียงรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งแล้ว เสียใจอย่างสุดซึ้งแล้วจริง ๆ ที่เมื่อกี้ทำตัวเย่อหยิ่งจองหองออกไปอย่างนั้น เขามันก็แค่ทองสัมฤทธิ์เก๊ ๆ ดันไปหาเรื่องเต้นแร้งเต้นกายั่วยุอยู่ตรงหน้าคนระดับราชาอย่างหลี่โม่ ครั้งนี้เท่ากับตัวเองรนหาที่ตายแล้วชัด ๆ
แต่ถึงอย่างนั้น รปภ.ก็ไม่ได้หยุดมือ พวกเขายังคงฟาดกระบองเหล็กลงไป ทุบหนัก ๆ เข้าที่ขาทั้งสองข้างของจูเจียนเฉียงเหมือนเดิม
เสียงฟาดกระทบ เสียงแตกหัก เสียงโหยหวนอันน่าสังเวช ผสมผสานเข้าด้วยกัน เหมือนกับกำลังแสดงละครเพลง Rhapsody of Destiny อย่างไรอย่างนั้น
หลังจากถูกฟาดไปสี่ครั้ง จูเจียนเฉียงก็หมดสติไปด้วยความเจ็บปวด
“สลบไปไม่น่าจะดีนะครับ คนที่กล้าทำให้คุณหลี่ขุ่นเคืองใจ ยังไง ๆ ก็ต้องให้รู้รสชาตการถูกทรมานซะบ้างถึงจะสาสม!”
หัวหน้าโสงเห็นว่าจูเจียนเฉียงหมดสติไป จึงสั่งให้ลูกน้องหยุดมือชั่วคราว
เมื่อหยิบเหล้าที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาแล้ว หัวหน้าโสงก็เทเครื่องดื่มเย็นเฉียบนั้น ลงไปบนใบหน้าของจูเจียนเฉียง
จูเจียนเฉียงที่ถูกเหล้าสาดหน้าจนตื่น รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แล่นปราดขึ้นมาจากขาทันทีที่ฟื้น เขาร้องขอความเมตตาอย่างอ่อนแรง: “อ้าก! มันเจ็บ! มันเจ็บ! เจ็บจนไม่ไหวแล้ว คุณลุงหลี่ ไม่! คุณปู่หลี่ ได้โปรดยกโทษให้ผมเถอะ ต่อจากนี้ไปคุณเป็นปู่ของผมเลยก็ได้ ตกลงมั้ย?”
“ไม่ล่ะ” หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา
ทั้งกู้หยุนหลันกับเฉินเสี่ยวถงหันหน้าหนีไปอีกทาง ไม่กล้าดูสภาพอันน่าสังเวชของจูเจียนเฉียง แต่ไปนั่งเบียดกันจนชิดแล้วกระซิบคุยกันด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
หัวหน้าโสงหัวเราะหึ ๆ ในลำคอ โบกมือให้สัญญาณ ทีม รปภ.ของเขาก็ทุบที่ขาของจูเจียนเฉียงต่อไป
พลั๊วะ พลั๊วะ พลั๊วะ!
กร๊อบ! กร๊อบ! กร๊อบ!
ความเจ็บปวดที่จุดแตกหักพุ่งทะยานขึ้นมาพร้อมกับเสียงฟาด ราวกับคลื่นอันรุนแรงที่สาดกระทบเข้าที่เส้นประสาททุกส่วนของจูเจียนเฉียง เจ็บปวดจนทำให้จูเจียนเฉียงที่เพิ่งตื่นขึ้นมา ถึงกับหมดสติไปอีกครั้ง
จูเจียนเฉียงสลบไปก็ถูกสาดให้ตื่น ตื่นมาก็ถูกฟาดต่อ ต้องใช้เวลาไปยาวนานพอสมควร กว่าจะหักขาของจูเจียนเฉียงออกเป็น 10 ท่อนได้สำเร็จ
ขาที่ถูกฟาดจนหักของจูเจียนเฉียง มีสภาพบิดงอเป็นรูปตัว S สองรูปบนพื้น เหงื่อเย็น ๆ ที่ไหลอาบได้ไปรวมตัวกันเป็นแอ่งน้ำแอ่งหนึ่งบนพื้นแล้ว
จูเจียนเฉียงที่มีสภาพนัยน์ตาไร้แวว สั่นเทิ้มไปทั้งตัว ปากก็ร้องครางด้วยความเจ็บปวดเป็นครั้งคราว แต่เนื่องจากเสียงของเขาแหบแห้งไปจากการกรีดร้องไปก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้นจึงไม่มีใครเข้าใจความหมายในน้ำเสียงที่เขาคร่ำครวญออกมา รู้แค่ว่าเขากำลังคร่ำครวญอะไรบางอย่างด้วยน้ำเสียงแหบแห้งไม่น่าฟังเท่านั้น
สาว ๆ บาร์เกิร์ลที่ยืนกินเผือกอยู่ด้านนอก ต่างก็หวาดกลัวจนหน้าไร้สีเลือดกันหมด แต่ละคน ยกมือขึ้นมาปิดปากแดงอิ่มราวผลเชอร์รี่ไว้แน่น เพราะกลัวว่าถ้าตัวเองเกิดส่งเสียงอะไรขึ้นมาแม้แต่นิดเดียวก็อาจจะถูกโกรธได้
แต่ในหมู่พวกเธอกลับไม่มีใครยอมจากไปแม้แต่คนเดียว ณ. เวลานี้ สภาวะทางจิตใจของบรรดาสาว ๆ บาร์เกิร์ลเหล่านี้ น่าจะเป็นเหมือนกับสภาวะจิตใจของคนที่ได้ดูหนังสยองขวัญแบบ 3 มิติ คือถึงแม้จะรู้สึกหวาดกลัว แต่ก็มีความตื่นเต้นเร้าใจ จนอยากดูต่อไปให้จบ
ผู้จัดการยืนอยู่ตรงมุมห้อง เบียดร่างกายแนบชิดกำแพงแบบสุดชีวิต เช็ดเหงื่อเย็น ๆ ที่ไหลมาจากหน้าผากไม่หยุด ในใจหวาดกลัวว่าคลื่นการโจมตีระลอกแล้วระลอกเล่าพวกนั้น มันจะกระทบมาถึงเส้นประสาทเขาด้วย
เจ้าหนุ่มคนนี้มีที่มายังไงกันแน่? ถึงกับทำให้หัวหน้าโสงยอมก้มหัวให้ รับคำสั่งอย่างอ่อนน้อมว่านอนสอนง่าย ทั้งยังไม่เกรงใจตระกูลจูได้ถึงขนาดนี้ แน่นอนว่าต้องเป็นคนที่มีภูมิหลังไม่ธรรมดา!
แต่เพราะเมื่อกี้ตัวเองไปช่วยจูเจียนเฉียง จนสร้างความขุ่นเคืองใจให้ผู้ทรงอิทธิพลท่านนี้ไปซะแล้ว รออีกเดี๋ยว ตัวเขาเองก็จะถูกลงโทษอะไรไปด้วยมั้ยล่ะนี่!
ผู้จัดการยิ่งคิดก็ยิ่งใจสั่นระทึก รู้สึกว่าร่างกายอ่อนแรงปวกเปียก ต่อให้เอาตัวแนบพิงกำแพงไว้ก็ยังยืนไม่อยู่ ร่างกายค่อย ๆ ลื่นไถลไปตามผนังแล้วทรุดตัวนั่งลงกับพื้น
กู้หยุนหลันกับเฉินเสี่ยวถง มองดูหลี่โม่ที่เวลานี้สายตามืดมนเย็นชาสุดขีด ต่างก็รับรู้ได้ว่าสภาวะอารมณ์ของหลี่โม่นั้นไม่ถูกต้อง
ทั้งสองคนใช้มือเล็ก ๆ ลูบหลังของหลี่โม่พร้อมกัน คิดอยากจะช่วยทำให้จิตใจของหลี่โม่สงบลงมาได้บ้าง
หัวหน้าโสง นับตำแหน่งขาที่ถูกตีจนหักของจูเจียนเฉียงอย่างละเอียด ลุกขึ้นแล้วเดินไปรายงานกับหลี่โม่ว่า : “ คุณหลี่ ขาทั้งสองข้างถูกตีจนหักไปข้างละห้าท่อน รวมทั้งหมดเป็นสิบท่อนครบถ้วนครับ”
“ทำได้ไม่เลว” หลี่โม่พูดด้วยรอยยิ้ม
หลี่โม่ลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปตรงหน้าของจูเจียนเฉียง ใช้เท้าเหยียบลงไปที่แก้มของจูเจียนเฉียงเต็มฝ่าเท้า
เดิมทีดวงตาของจูเจียนเฉียงยังทึ่มทื่อไร้แววอยู่ แต่เมื่อเห็นว่าหลี่โม่มายืนอยู่ตรงหน้าตัวเอง ร่างกายก็สั่นเทาอย่างรุนแรง พูดด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งไปเมื่อกี้ว่า: “ฉันผิดไปแล้ว! ยกโทษให้ฉันด้วยเถอะ! ยกโทษให้ฉันด้วย! ขอแค่นายละเว้นฉัน จะให้ฉันทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น ฉันยอมเป็นทาสรับใช้นายเลยก็ได้ จะให้เป็นวัวเป็นม้าก็ได้ทั้งนั้น!”
จูเจียนเฉียงรู้จักคำว่ากลัวแล้วจริง ๆ ลองเปลี่ยนเป็นคนอื่นที่ต้องได้รับการโจมตีแบบนี้ เกรงว่าคงต้องตกใจกลัวกันหัวหด จนรู้สึกเสียใจที่ได้เกิดมาในโลกใบนี้กันเลยทีเดียว
หลี่โม่ใช้พื้นรองเท้าบดขยี้บนใบหน้าของจูเจียนเฉียง: “อย่ากลัวไปน่า ฉันจะไว้ชีวิตแกอย่างแน่นอน คนที่แกเคยเชิญให้มาจัดการกับฉันเมื่อครั้งก่อน ดูเหมือนจะชื่อเจินจาหนานสินะ? แกสนิทคุ้นเคยกับมันมากใช่มั้ย? ”
“ฉันกับเขา แค่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันนิดหน่อย ไม่ถึงกับสนิทคุ้นเคย ฉันกลับไปแล้วจะรวบรวมข้อมูลของเขาให้ จะช่วยนายจับตัวเขามาระบายแค้นเอง ฉันจะเป็นคนที่คอยประสานอยู่ภายในกลุ่มข้าศึกให้เอง ตกลงมั้ย!?”
เพื่อความอยู่รอดและหวังว่าจะได้ไปจากที่นี่ให้เร็วขึ้นอีกนิด จูเจียนเฉียงจึงเริ่มขายเพื่อนร่วมทีมของตัวเองแล้ว
หลี่โม่ลูบ ๆ หัวของจูเจียนเฉียง เหมือนกับว่าเขากำลังลูบหัวสัตว์เลี้ยงยังไงยังงั้น : “แกคิดว่าฉันจะอยากให้แกเป็นคนคอยประสานอยู่ภายในกลุ่มข้าศึกงั้นเหรอ? น่าเสียดายนะ พอดีเมื่อไม่กี่วันก่อน ฉันเพิ่งจะจัดการเก็บกวาดเจินจาหนานไปซะด้วยสิ จุดจบของมันก็ไม่ได้ดีไปกว่าแกซักเท่าไหร่หรอกนะ”
หลังจากลูบหัวของจูเจียนเฉียงเสร็จ หลี่โม่ก็มองจูเจียนเฉียงที่นอนอยู่บนพื้นอย่างเย็นชา คิดในใจว่าควรถึงเวลาเก็บสำนักหลงเหมินกลับคืนมาซักทีได้แล้ว ต้องเปิดศึกกับราชินีและราชาใหญ่ของสำนักหลงเหมินซักครั้ง ถือเสียว่าการต่อสู้ได้เริ่มต้นขึ้นนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปก็แล้วกัน
หลี่โม่ที่ตัดสินใจได้เด็ดขาดแล้ว หันไปพูดกับหัวหน้าโสงด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า: “พวกนายไปคอยกำกับดูแลให้ดี ให้มันคลานออกจากป่ายเล่อฮุ่ยซะ”
“ ครับ คุณหลี่ ” ทันทีที่หัวหน้าโสงได้รับคำสั่ง ก็เอ่ยปากตอบรับอย่างรวดเร็ว
หัวหน้าโสงที่ได้รับคำสั่งจากหลี่โม่ เดินไปข้าง ๆ จูเจียนเฉียง แล้วพูดว่า : “ไอ้คนแซ่จู เริ่มคลานออกไปได้แล้ว อย่าให้พวกเราต้องใช้กำลังกับแก”