เจียงเซี่ยนคิดดูแล้ว ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
ปกติเวลาฉางเหริ่นตงมาตรวจชีพจรให้นางมักจะหยอกนางเล่นเสมอ แต่วันนี้กลับไม่มี
อาจจะเพราะอารมณ์ไม่ดีหรือเรื่องที่คุยวันนี้ค่อนข้างสำคัญกระมัง?
เจียงเซี่ยนเดา และไม่นานก็ลืมเรื่องนี้ไปจนหมดสิ้น
นางพาฉิงเค่อไปห้องครัวอย่างเบิกบานใจ “วันนี้อากาศร้อนกว่าเมื่อวาน ข้าจะทำบะหมี่เย็นให้หลี่เชียน ใส่น้ำส้มสายชูกับพริกแดงเยอะหน่อย แบบนี้เจริญอาหาร”
ฉิงเค่อหัวเราะ และรู้สึกว่าวันนี้ห้องครัวจะต้องวุ่นวายไปหมดอีกอย่างแน่นอน
ครั้งก่อนท่านหญิงจะทำบะหมี่ตั้นตั้น สุดท้ายรังเกียจที่ห้องครัวสกปรกเกินไป คนครัวใช้เวลาสามวันทำความสะอาดห้องครัว จู่ๆ บะหมี่ตั้นตั้นก็หายไปตั้งนานแล้ว
ทว่าถึงจะเป็นแบบนั้น ท่านแม่ทัพก็ยังชมท่านหญิงอย่างหนักว่าท่านหญิงใส่ใจชีวิตความเป็นอยู่ของเขามาก...แม้นางจะฟังอยู่ข้างๆ ก็จำเป็นต้องนับถือความสามารถในการพูดโกหกอย่างไร้ความเกรงกลัวของท่านแม่ทัพเช่นกัน
ฉิงเค่อไปห้องครัวเป็นเพื่อนเจียงเซี่ยน
——————————————————
ส่วนหลี่เชียนพบแขกอยู่ที่ห้องหนังสือของตนเอง
“เจ้าบอกว่าหลี่เน่อหมิ่นอยากชมภาพวาดที่มากับสินเดิมของท่านหญิงมากหรือ?” เขาเอ่ยด้วยสีหน้ามั่นใจและน้ำเสียงนิ่งเฉยว่า “เรื่องนี้ท่านหญิงรู้หรือไม่?”
เน่อหมิ่นเป็นชื่อของหลี่หนิงบุตรชายคนโตของเจ้าเมืองหลี่
เขาเป็นเจี่ยหยวนของการสอบขุนนางระดับเซียงซื่อที่จัดขึ้นในฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้วของซานซี
“ไม่…ไม่รู้” หลี่เชียนที่เป็นแบบนี้ เกาเมี่ยวหวาเพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก ในความทรงจำของเขา หลี่เชียนมักจะยิ้ม แล้ววางตัวเป็นมิตรและใจกว้างมาก เดิมทีเขาคิดต้นฉบับไว้ในใจเรียบร้อยแล้ว พอเจอหลี่เชียนที่เป็นแบบนี้ เขากลับพูดติดอ่าง และขี้ขลาดเล็กน้อย “ดังนั้นถึงมาขอจงเฉวียน จงเฉวียนกับท่านหญิงเป็นสามีภรรยากัน หากเจ้าเอ่ยปาก ท่านหญิงจะต้องอนุญาตอย่างแน่นอน”
หากเจียงเซี่ยนไม่อนุญาตล่ะ?
ไม่นานข้างนอกก็จะลือว่าท่านหญิงเจียหนานไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาด้วยซ้ำหรือเปล่า? หรือลือว่าท่านหญิงเจียหนานเป็นคนเย่อหยิ่งไร้มารยาท และไม่ใช่ภรรยาที่มีคุณธรรม?
เขาหัวเราะเยาะในใจ แต่กลับไม่แสดงออกทางสีหน้า และเอ่ยว่า “สินเดิมของท่านหญิงล้วนเป็นของล้ำค่า คิดว่าหลี่เน่อหมิ่นก็ต้องรู้เช่นกัน ในเมื่อเขาอยากดู ทำไมไม่มาหาข้าหรือขอพบท่านหญิงโดยตรง?”
อันที่จริงตอนที่เขากับเจียงเซี่ยนแต่งงานกัน หลี่เจี่ยหยวนก็มีความคิดนี้แล้ว
หลังจากนั้นเขายังเคยปรึกษาเรื่องนี้กับเจียงเซี่ยนด้วย
เจียงเซี่ยนคิดว่าหลี่เน่อหมิ่นเป็นลูกชายของเจ้าเมืองหลี่ แล้วก็ค่อนข้างมีชื่อเสียงในแวดวงปัญญาชน หากเขาเอ่ยว่าอยากชมสินเดิมของเจียงเซี่ยน ก็ให้เขาชมแล้วกัน ถึงอย่างไรก็ไม่ได้นำออกไปจากจวน หาสถานที่ให้เขาชมและวาดตามภาพเดิมสักพักก็ได้ จะได้ขยายชื่อเสียงของจวนสกุลหลี่ในแวดวงปัญญาชนด้วย
เวลานี้หลี่เน่อหมิ่นไม่มา แต่เกาเมี่ยวหวากลับโผล่มา
หลี่เชียนไม่ต้องเดาก็รู้เช่นกันว่านี่เป็นสิ่งที่เกาเมี่ยวหวาตั้งใจทำเพื่อโอ้อวดตนเอง
ซึ่งเกาเมี่ยวหวาก็ดึงมาไว้กับตัวเองเพื่อโอ้อวดต่อหน้าหลี่เจี่ยหยวนจริงๆ เช่นกัน
เพียงแต่เขาจะมีหน้าบอกหลี่เชียนได้อย่างไร
ถึงแม้เขากับหลี่เชียนจะเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ทว่าความสัมพันธ์กับหลี่เชียนกลับธรรมดามาก
ในความคิดของเขา ตระกูลหลี่มาจากตระกูลโจรท้องถิ่น จึงไม่ค่อยรู้หนังสือ แม้หลี่เชียนจะเฉลียวฉลาดหลักแหลม แต่กลับไม่สามารถสงบจิตใจเรียนหนังสือได้ พอได้ตำแหน่งซิ่วไฉก็ไม่ยอมแสวงหาความก้าวหน้าแล้ว และเริ่มหาช่องทางประจบประแจงผู้มีอำนาจเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ให้ตนเอง ลุ่มหลงในเส้นทางการเป็นขุนนาง
เขาดูถูกการเลือกของหลี่เชียน
แล้วกลับจิบเหล้าและดื่มชากับหลี่หลินที่นิสัยสุภาพและมีมารยาท เรียนประวัติศาสตร์และถกเถียงปัจจุบัน จึงเข้ากันได้มากกว่า
ดังนั้นเขามาขอร้องหลี่เชียน ก็รู้สึกขัดแย้งเล็กน้อย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่พวกเขารวมตัวกัน มักจะมีคนเอ่ยถึงหลี่เชียน บอกว่าหลี่เชียนโชคดีแล้ว ไม่เพียงแต่แต่งงานกับท่านหญิงเจียหนาน ยังได้ภาพวาดและของโบราณที่ราชวงศ์เก็บรักษาเอาไว้อย่างดีมากมายเป็นสินเดิมด้วย ทำให้ตระกูลหลี่จากตระกูลเล็กที่ยากจนและล้าหลังมากจนเกรงว่าในบ้านคงจะไม่มีแม้แต่ ‘บทกวีของพันปรมาจารย์’ สักเล่มด้วยซ้ำกลายเป็นตระกูลที่สืบทอดหนังสือที่เก็บสะสมไว้เกินสามพันเล่ม ทำให้บัณฑิตในใต้หล้าต่างอิจฉามาก ในใจเขาก็เหมือนถูกแมวข่วน และบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร
เขาถึงได้วู่วามไปชั่วขณะ
ตอนนี้เขาใจเย็นลงแล้วก็ยิ่งรู้สึกแย่
หากไม่ใช่เพราะเขาเคยสัญญาในสิ่งที่ตนเองทำไม่ได้ต่อหน้าเพื่อน เขาก็หันหลังกลับตั้งนานแล้ว
เพียงแต่…พอเขาคิดอีกที จู่ๆ ก็มีความคิดหนึ่งที่ทำให้เขาตื่นเต้นมาก
“ชายหญิงแตกต่างกัน!” เกาเมี่ยวหวาเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เดิมทีเน่อหมิ่นอยากเอ่ยปากกับท่านหญิงโดยตรง แต่ข้าคิดว่าเรื่องนี้บอกเจ้าสักหน่อยจะดีกว่า ด้วยมิตรภาพของพวกเรา เจ้าคงจะไม่รู้สึกว่าข้าจุ้นจ้านไปหน่อยใช่หรือไม่?”
หลี่เชียนรู้สึกว่าเขาจุ้นจ้านไปหน่อยจริงๆ ยิ่งกว่านั้นเกาเมี่ยวหวากินของของพวกเขาอยู่บ้านของพวกเขายังแอบวางท่าดูถูกเขาตลอดเวลา เขามองเกาเมี่ยวหวาก็ขัดตามากเช่นกัน จึงเอ่ยตรงๆ ว่า “ข้าคิดว่าเจ้ายังไม่ควรเข้าไปก้าวก่ายเรื่องนี้จริงๆ อย่าว่าแต่เจียหนานเป็นท่านหญิงเลย ต่อให้เป็นผู้หญิงธรรมดา อยากยืมภาพวาดในสินเดิมของนางชม นั่นก็ต้องบอกทุกคนที่วาดภาพสักหน่อยใช่หรือไม่? ใครจะบุ่มบ่ามบุกเข้ามาอย่างเจ้า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าภาพวาดเหล่านั้นล้วนมีมูลค่ามาก เจ้าก็หุนหันพลันแล่นเกินไปหน่อยเช่นกัน!”
คำพูดของเขาทำให้เกาเมี่ยวหวาโกรธมาก
หากหลี่เชียนไม่แต่งงานกับท่านหญิง จะมีสิทธิอะไรมาว่าเขา!
เขาสูดหายใจลึกสองสามครั้งถึงจะยับยั้งความโกรธในใจไว้ได้ และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เช่นนั้นก็ถือว่าข้าจุ้นจ้านแล้วกัน! ข้าขอตัวก่อน! ให้หลี่เจี่ยหยวนมาขอยืมจากเจ้าเองแล้วกัน” พอเอ่ยจบก็สะบัดแขนเสื้อจากไป
หลี่เชียนนั่งโกรธอยู่ตรงนั้นนานมาก จนกระทั่งหายโกรธพอสมควรแล้ว ถึงจะกลับห้องหลัก
เจียงเซี่ยนกำลังสั่งให้สาวใช้วางถ้วยกับตะเกียบอย่างร่าเริง พอเห็นเขากลับมา ก็เข้ามาหาอย่างดีใจ และเอ่ยว่า “วันนี้พวกเรากินบะหมี่เย็น! ข้าให้แม่ครัวใช้น้ำมันผัดพริกแดงแล้วถึงจะราดลงไปในบะหมี่ ต้องอร่อยมากอย่างแน่นอน!”
หลี่เชียนก็ยิ้มพลางมองนางพักหนึ่ง
เจียงเซี่ยนเอ่ยอย่างไม่เข้าใจว่า “เจ้ามองอะไร?”
หลี่เชียนจับมือของนางและลูบฝ่ามือเบาๆ พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าดูว่าเจ้าบาดเจ็บหรือเปล่า?”
“ไม่แน่นอน!” เจียงเซี่ยนหน้าแดงเล็กน้อย และเอ่ยว่า “ข้ายืนอยู่ข้างๆ และบอกให้แม่ครัวทำ ไม่ได้ลงมือเองเสียหน่อย”
“เจ้าก็เป็นคนบอกให้นางทำเช่นกัน” หลี่เชียนยิ้มและจูงนางเดินเข้าไปข้างใน “วันนี้หิวจะตายอยู่แล้ว อากาศก็ร้อนอีก ตอนที่เพิ่งกลับมายังคิดอยู่ว่าดื่มน้ำแกงถั่วเขียวสักถ้วยก็พอแล้ว คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะทำบะหมี่เย็น ข้าได้ยินแล้วก็น้ำลายไหลตลอด ต้องลองชิมสักหน่อย หากอร่อย พรุ่งนี้ให้ในห้องครัวทำเยอะหน่อย และส่งไปให้ท่านพ่อด้วย”
“ได้สิ ได้สิ!” เจียงเซี่ยนก็ชอบให้ทั้งครอบครัวมากินข้าวและเล่นด้วยกันอย่างคึกคัก ต่อให้ทะเลาะกันก็สนุกเช่นกัน
ใช้เฉียวม่าย[1]ที่ออกใหม่ทำจนบะหมี่นุ่มเหนียวและลื่นชุ่มคอ บวกกับเครื่องปรุงที่เปรี้ยวเผ็ด ทำให้หลี่เชียนที่ตัดสินใจว่าไม่ว่าบะหมี่นี้จะอร่อยหรือไม่ก็ต้องกินหนึ่งชามใหญ่ชมเป็นเสียงเดียว และถามเจียงเซี่ยนทันทีว่า “ยังมีอีกหรือไม่? หากยังมีอีก ส่งไปให้ท่านพ่อตอนนี้เลย เขาก็ต้องชอบกินมากเหมือนกันอย่างแน่นอน!”
เจียงเซี่ยนเองไม่กินเผ็ด นางจึงเปลี่ยนพริกเป็นน้ำตาล บะหมี่เปรี้ยวหวาน ก็เจริญอาหารมากเหมือนกัน จึงสั่งให้พวกฉิงเค่อส่งบะหมี่เย็นที่รสเปรี้ยวเผ็ดให้หลี่ฉางชิง และบะหมี่เย็นที่รสเปรี้ยวหวานให้ฮูหยินเหอ หลี่ตงจื้อ ป้าเหอ และเหอถงเหนียง
ไม่นาน ทางเรือนตะวันออกก็ส่งเสียงชื่นชมมา
หลี่ฉางชิงกินจนท้องใหญ่เหมือนกระบุงและนั่งอย่างอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือ พลางถอนหายใจและเอ่ยกับเกาฝูอวี้อย่างมีความสุขมากว่า “ลูกสะใภ้ของข้าคนนี้ฐานะมีอำนาจมาก ตอนที่แต่งนางเข้ามา ข้าขอเพียงให้นางดีกับลูกชายของข้าหน่อย แต่คิดไม่ถึงว่า ข้ายังมีวันได้กินบะหมี่ที่ลูกสะใภ้ทำด้วย มิน่าเล่าคนอื่นถึงต่างบอกว่าข้ามีวาสนา ข้าก็ยังมีวาสนาตอนแก่จริงๆ ด้วย!”
ทำให้เกาฝูอวี้ที่เดิมทีคิดจะต่อว่าเจียงเซี่ยนกับหลี่ฉางชิงได้ยินแล้วอยากพูดแต่ก็หยุดไว้ สุดท้ายคุยเล่นกับหลี่ฉาชิงสองสามคำก็ลุกขึ้นบอกลา
———————————–
[1] เฉียวม่าย = บัควีท