ติงหวั่นปวดศีรษะมาก และกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
เมื่อก่อนตระกูลหลี่ไม่ค่อยสนิทสนมกับตระกูลติง เจียงเซี่ยนรู้ดีอยู่แก่ใจ คุณหนูตระกูลขุนนางที่ความคิดค่อนข้างซับซ้อนอย่างติงหวั่นจู่ๆ ก็ตกลงที่จะยืนอยู่ฝ่ายหลี่ตงจื้อ ไม่มีทางที่จะทำได้ทันที แต่ติงหวั่นไม่ช่วยเหลือทั้งสองฝ่ายในเรื่องนี้ได้ก็ชนะแล้ว ส่วนหลังจากนี้…นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าตระกูลหลี่จะไปถึงขั้นไหน และหลี่ตงจื้อจะสามารถทำให้พวกคุณหนูตระกูลขุนนางชอบและนับถือจริงๆ ได้หรือไม่แล้ว
เจียงเซี่ยนยิ้มและไม่เอ่ยเรื่องนี้อีก แล้วไปหาฮูหยินเหอกับพวกนาง
ฮูหยินเหอทั้งซาบซึ้งและตื้นตันที่ติงหวั่นสามารถส่งลูกสาวกลับมาได้ด้วยตนเอง จึงต้อนรับติงหวั่นอย่างอบอุ่นเป็นอย่างมาก
ติงหวั่นยังคงคิดอยู่ในใจตลอดเวลาว่าจะเลือกฝ่ายอย่างไรถึงจะเป็นการเลือกที่ถูกต้อง จึงอยากกลับไปขอคำแนะนำจากมารดาของตนเองเร็วหน่อย จะนั่งอยู่ได้ที่ไหนกัน นางปฏิเสธฮูหยินเหออย่างยากลำบาก ไม่ว่าอย่างไรนางก็จะกลับจวน เจียงเซี่ยนก็ไม่ฝืนใจเช่นกัน เอ่ยอย่างเกรงใจสองสามคำ ก็สั่งให้ไป่เจี๋ยส่งแขก
หลี่ตงจื้อ เหอถงเหนียง และไป่เจี๋ยส่งติงหวั่นถึงหน้าประตูฉุยฮวา
ทว่าพอหันตัวกลับเจอฉิงเค่อ
นางยิ้มพลางคารวะหลี่ตงจื้อ แล้วเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “ท่านหญิงเชิญคุณหนูใหญ่กับคุณหนูเหอไปคุยที่เรือนของฮูหยินด้วยกันเจ้าค่ะ”
นี่คงจะบอกมารดาเรื่องที่นางทะเลาะวิวาทกระมัง!
หลี่ตงจื้อสายตามืดมน และพยักหน้า แล้วตามฉิงเค่อไปที่เรือนของฮูหยินเหอ
เจียงเซี่ยนนั่งอยู่บนเตียงอุ่นหลังใหญ่ใกล้หน้าต่างของห้องพักผ่อนของห้องหลัก บนพื้นเป็นถ้วยชาที่ตกแตกกับน้ำชาที่หก แล้วก็ฮูหยินเหอที่เดินกลับไปกลับมาในห้องอย่างโกรธจัด
หลี่ตงจื้อชะงักฝีเท้า นางกลัวจนไม่กล้าก้าวไปข้างหน้าเล็กน้อย
ฮูหยินเหอได้ยินเสียงก็หันมาตวาดนางแล้ว “เจ้ายังยืนอยู่ตรงนั้นทำไม? ให้เจ้าไปร่วมวันเกิดคุณหนูสามตระกูลซือ เจ้ากลับทะเลาะกับคุณหนูจวง เจ้ายังมีเหตุผลอย่างนั้นหรือ? จะยืนอยู่ตรงนั้นรอข้าเชิญเจ้าเข้ามาหรือ!”
เจียงเซี่ยนขมวดคิ้ว และรีบเอ่ยว่า “ฮูหยิน ท่านรับปากข้าแล้วว่า ให้ข้าเป็นคนจัดการเรื่องนี้!”
ฮูหยินเหออดกลั้นความโกรธที่ค่อยๆ พุ่งขึ้นในใจไม่หยุดอย่างยากลำบาก แล้วตีหน้าขรึมและนั่งลงบนเตียงอุ่นตรงข้ามเจียงเซี่ยน
เจียงเซี่ยนให้เสี่ยวฮุ่ยยกม้านั่งมา ให้หลี่ตงจื้อกับเหอถงเหนียงนั่งลง แล้วก็ให้สาวใช้นำชากับของว่างมาให้ นอกจากฉิงเค่อกับไป่เจี๋ยแล้วก็ไล่คนที่รับใช้ในห้องออกไปหมด และถึงจะถามหลี่ตงจื้อด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “ที่นี่ไม่มีคนอื่น ตอนนั้นสถานการณ์เป็นอย่างไร เจ้าบอกพวกเรามาตรงๆ ได้เลย หากตระกูลจวงมาหาถึงบ้านจริง พวกเรารู้ล่วงหน้า ก็มีแผนการรับมือที่รัดกุมมากเช่นกัน เจ้าว่าจริงหรือไม่?”
หลี่ตงจื้อพยักหน้า หางตามีประกายน้ำตาแล้ว และเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าก็กลัวว่าจะทำให้ที่บ้านเดือดร้อน จึงเชื่อฟังคุณหนูใหญ่ตระกูลลู่กับคุณหนูสามตระกูลหยวนและกลับมา…”
ไม่อย่างนั้นนางยอมทะเลาะกับคุณหนูจวงอีกรอบ แต่จะไม่ยอมตามติงหวั่นกลับบ้านเหมือนหนีหัวซุกหัวซุน
พอฮูหยินเหอได้ยินก็ทำหน้าโกรธอีก แล้วปิดปากเล็กน้อยกำลังจะเอ่ยปาก
เจียงเซี่ยนรีบขัดขวางนาง “ฮูหยิน ท่านรับปากข้าแล้ว!”
ฮูหยินเหอจำเป็นต้องกลืนคำพูดลงไปอีกครั้ง
ทว่ากลับไม่สามารถปิดบังความโกรธในใจได้ นางโกรธจนหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง
หลี่ตงจื้อเบือนหน้าไปทางอื่น และไม่มองฮูหยินเหออีก แล้วเล่าเรื่องราวทั้งหมดเบาๆ แต่ถึงอย่างไรคำพูดเหล่านั้นของคุณหนูจวงก็สบประมาทเจียงเซี่ยน นางจึงเพียงแค่เอ่ยผ่านๆ ว่า ‘พูดจาไม่น่าฟัง’ และข้ามไป
แต่เจียงเซี่ยนรู้ว่า สิ่งที่คุณหนูจวงเอ่ยตอนนั้นจะต้องไม่เพียงแค่ไม่น่าฟังเท่านั้นอย่างแน่นอน
ทว่าฮูหยินเหอกลับตำหนิลูกสาวว่าจุ้นจ้านในใจ เพียงแค่พูดจาไม่น่าฟัง ทำไมถึงอดทนไม่ได้?
นางอยากสั่งสอนหลี่ตงจื้อสักสองสามคำ แต่พอเงยหน้าเห็นใบหน้าที่จริงจังปนน่าเกรงขามเล็กน้อยของเจียงเซี่ยน และนึกถึงดวงตาที่เย็นยะเยือกของเจียงเซี่ยนก่อนหน้านี้ นางอยากพูดแต่ก็หยุดไว้
เจียงเซี่ยนมองไปที่เหอถงเหนียง
พวกนางสองคนไปร่วมงานเลี้ยงของคุณหนูสามตระกูลซือด้วยกัน เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหอถงเหนียงน่าจะรู้ดี
และเดิมทีเหอถงเหนียงก็กลัวเจียงเซี่ยนอยู่แล้ว พอถูกเจียงเซี่ยนมองแบบนี้ ก็กลายเป็นลนลานและคิดฟุ้งซ่านขึ้นมาทันที เจียงเซี่ยนถามอะไรพูดอะไร แม้แต่สิ่งที่ไม่ได้ถาม ขอเพียงนางรู้ ก็เทออกมาทั้งหมดเช่นกัน
ฮูหยินเหอยังฟังไม่จบก็โกรธจนลุกขึ้นแล้ว “ตระกูลจวงเป็นตระกูลขุนนางไม่ใช่หรือ? ทำไมลูกสาวที่เลี้ยงมาถึงสู้แม้แต่ผู้หญิงที่ทำไร่ไถนาในชนบทก็ไม่ได้? หนังสือของนักปราชญ์ของนางล่ะ? บันทึกชีวประวัติสตรีล่ะ? อ่านไปถึงในท้องสุนัขแล้วหรือ? นางเลี้ยงคนแบบนี้มา แล้วมีหน้ามารังเกียจพวกเราว่ามาจากตระกูลไม่สูงได้อย่างไร! ต่อให้พวกเรามาจากตระกูลต่ำต้อยแค่ไหน ก็ไม่พูดถึงความถูกผิดของคนอื่นลับหลังเหมือนพวกนางเช่นกัน…”
คำพูดที่ไม่น่าฟังนั้นชาติก่อนเจียงเซี่ยนก็ฟังมาทั่วแล้ว การสาปแช่งที่เหมือนภาษาท้องถิ่นในชนบทของชนชั้นสูงวังหลัง การทำเป็นด่าคนนี้แต่ความจริงด่าคนนั้นที่สุภาพเรียบร้อยของขุนนางใหญ่ในราชสำนัก นางผ่านมาหมดทุกแบบแล้ว ดังนั้นตอนที่นางได้ยินเรื่องนี้จึงเพียงแค่แปลกใจเล็กน้อย และไม่ได้รู้สึกโกรธ
ดูเหมือนคำกล่าวที่ว่าภรรยาเจริญรุ่งเรืองและร่ำรวยเพราะสามีเจริญรุ่งเรืองและร่ำรวยยังคงได้รับการยอมรับจากคนมากมาย
ไม่อย่างนั้นด้วยยศท่านหญิงที่เงินเดือนชินอ๋องสองเท่าของนาง ทำไมถึงมีคนกล้านินทานางอย่างกำเริบเสิบสานและไร้ความเกรงกลัวแบบนี้ลับหลังนาง
บัญชีนี้…เดี๋ยวต้องกลับไปคิดกับหลี่เชียน!
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าหมอนั่นกำลังทำอะไรอยู่?
บอกเขาแล้วว่าเรื่องเสฉวนไม่ต้องรีบ แต่เขาก็ยังออกเช้ากลับดึก ก็ไม่รู้เช่นกันว่าฟังคำพูดของนางหรือไม่
เจียงเซี่ยนคิดถึงคนๆ นั้น แล้วบนหน้าก็มีรอยยิ้มเล็กน้อยอย่างควบคุมตนเองไม่ได้
คนที่อยู่ในห้องเห็นแล้วก็อดที่จะรู้สึกกลัวไม่ได้
นี่เจียงเซี่ยนคงโกรธจนเป็นบ้าไปแล้วกระมัง?
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเดี๋ยวเจียงเซี่ยนจะเป็นอย่างไร?
โดยเฉพาะหลี่ตงจื้อที่รู้สึกเสียใจมาก
พี่ใหญ่ชอบพี่สะใภ้ขนาดนั้น ทุกวันกลับถึงบ้านก็อยู่ในเรือนของตนเองไม่ออกมา ไปไหนก็นำของไปให้พี่สะใภ้ ประคบประหงมพี่สะใภ้ กลัวพี่สะใภ้ไม่พอใจตรงไหน ไม่สบายตรงไหน หากพี่ใหญ่รู้ว่าพี่สะใภ้ถูกดึงเข้าไปพัวพันกับบุญคุณและความแค้นกับตระกูลจวงเพราะเรื่องของนาง จะต้องคิดว่านางเป็นคนที่ทำให้เกิดข้อพิพาทอย่างแน่นอน และคงจะเกลียดนางกระมัง?
หลี่ตงจื้ออดไม่ได้ที่จะเรียก “พี่สะใภ้” อยากพูดอะไรบางอย่าง ก็คิดว่าเรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว นางพูดอะไรก็ผิดอยู่ดี หากพูดมากอีก กลับจะถูกสงสัยว่าเล่นลิ้น และยิ่งทำให้คนเกลียด
เจียงเซี่ยนได้สติกลับมา พอเห็นฮูหยินเหอยังคงต่อว่าอยู่ตรงนั้น ก็ยิ้มให้หลี่ตงจื้ออย่างหวังดีก่อน แล้วเรียกฮูหยินเหอ และเอ่ยว่า “ท่านก็อย่าโกรธเลย นั่งลงดื่มชาสักอึกก่อน คิดเล็กคิดน้อยกับคนแบบนาง จะทำให้ฐานะตกต่ำ”
ฮูหยินเหอก็ไม่ถนัดแยกคนตีกันออกจากกันและโต้เถียงอย่างไร้หลักการเช่นกัน นางด่าไม่กี่คำนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า พอนานๆ ไปก็เหนื่อยเล็กน้อย
นางนั่งลงดื่มชาสองสามอึก แล้วถึงนึกถึงเรื่องของลูกสาว
นางปรักปรำลูกสาวจริงๆ ด้วย
แต่เด็กจะเข้าใจอะไร? ผู้ใหญ่ว่าสองสามคำแล้วอย่างไร?
ไม่นานฮูหยินเหอก็ลืมเรื่องนี้ไปจนหมดสิ้น
นางถามเจียงเซี่ยนว่า “หากตระกูลจวงมาหาถึงบ้านจริงๆ พวกเราควรจะทำอย่างไร? อย่างไรก็ขอโทษพวกนางจริงๆ ไม่ได้กระมัง?”
“ไว้พวกนางมาหาถึงบ้านแล้วค่อยว่ากันแล้วกัน” คำตอบของเจียงเซี่ยนคลุมเครือเล็กน้อย “ส่วนน้องหญิงนั้น…ท่านก็อย่าตำหนินางอีกเลย นางก็หวังดีเช่นกัน”
บอกตามตรง นางยังคิดไม่ออกจริงๆ ว่าควรจะทำอย่างไร!
ทว่าหากตระกูลจวงกล้ามาหาถึงบ้านจริง การจัดการพวกนางสักรอบก็เป็นสิ่งที่ยกเว้นไม่ได้
แต่คุณหนูใหญ่ตระกูลลู่ไม่เจอไม่กี่วัน ทำให้นางมองใหม่
ฮูหยินเหอถอนหายใจ
ทำไมนางจะไม่อยากให้ลูกของตนเองถูกประคบประหงมจนโต เพียงแต่ส่วนใหญ่ นางจำเป็นต้องคำนึงถึงสถานการณ์ของตระกูลหลี่ เวลานี้ลูกสาวถูกนางตวาดด่าโดยไม่ถามต้นสายปลายเหตุ นางยังอยากกลั่นแกล้งลูกสาวที่ไหนกัน จึงรับปากอย่างเต็มปากเต็มคำ และเอ่ยอย่างกังวลว่า “หากใต้เท้าถามขึ้นมา พวกเราควรจะบอกอย่างไร?”