ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 180 สี่บรรยากาศงดงาม

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 180 สี่บรรยากาศงดงาม

Ink Stone_Romance

ไม่นานพระอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้า ถึงเวลาเปิดหอสุราอีกครั้ง

จนเมื่อปิดหอสุรา ลั่วเซิงก็ยังไม่เห็นร่างในชุดสีแดงเข้มที่คุ้นเคย

สือเยี่ยนดูเป็นกังวล “ไม่รู้ว่านายท่านของเราเป็นอะไรไปหรือไม่ เหตุใดไม่มากินข้าวนะ”

แต่ในใจไม่ใช่ความกังวล กลับเป็นความเจ็บใจที่ไม่อาจหลอกเหล็กให้เป็นเหล็กกล้าได้

นายท่านที่รักของข้า จับมือคุณหนูไปแล้วก็ไม่กล้ามาแล้วหรือ

แบบนี้ได้เรื่องที่ไหนกัน ร้อนใจจริงๆ

ลั่วเซิงมองเขาเงียบๆ “ท่านอ๋องไม่มา เจ้าก็ไม่อยากอาหารหรือ”

สือเยี่ยนตกใจ รีบโบกมือ “เถ้าแก่เข้าใจผิดแล้ว นายท่านจะมาหรือไม่มาก็ไม่กระทบกับความอยากอาหารของข้าน้อยหรอกขอรับ!”

อาหารยกมาวางตรงหน้า หงโต้วและคนอื่นๆ ล้อมวงกินกันอย่างคึกคัก ลั่วเซิงหยิบเทียบเชิญงดงามใบหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ

มันคือเทียบเชิญจากพระชายาที่เชิญนางไปวังบูรพาวันพรุ่งนี้

สำหรับพระชายารัชทายาท นางไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับอีกฝ่ายเลยสักนิด

ถึงอย่างไรนางเติบโตทางใต้ ไม่ได้คบค้ากับสตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลวง

ส่วนความทรงจำของแม่นางลั่ว นางก็ไม่มี

ลองนับเวลาดูแล้ว เมื่อครั้นพระชายาย้ายเข้าอาศัยในวังบูรพา คุณหนูลั่วมีอายุเพียงเจ็ดแปดขวบเท่านั้น เห็นทีทั้งสองคงไม่มีปฏิสัมพันธ์กันมากนัก

หลังจากกลับจวนแม่ทัพใหญ่แล้ว ลั่วเซิงก็ลองถามหงโต้ว

“ปฏิสัมพันธ์หรือเจ้าคะ” ดวงตามีชีวิตชีวาของหงโต้วเบิกกว้าง พูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจว่า “ย่อมมีปฏิสัมพันธ์แน่อยู่แล้ว คุณหนูท่านลืมไปแล้วหรือ ปีนั้นออกไปท่องเที่ยว ท่านถีบพระชายาและน้องสาวของนางลงคูน้ำ”

ลั่วเซิงเงียบไปครู่หนึ่ง เอ่ยถามอีกครั้งว่า “เพราะอะไรหรือ”

ครานี้หงโต้วตอบไม่ได้แล้ว

นางเกาศีรษะทำท่าครุ่นคิด สุดท้ายก็ยอมแพ้ “เรื่องมันนานแล้ว บ่าวจำไม่ได้ แต่ต้องเป็นความผิดของพวกนางแน่นอนอยู่แล้วเจ้าค่ะ”

ตั้งแต่ที่นางจำความได้ ไม่รู้ว่าคุณหนูตบตีคนไปมากมายเท่าไร ใครจะไปจำได้ทุกครั้งว่าเพราะอะไร

“หรือไม่ให้บ่าวลองถามโค่วเอ๋อร์ดูหรือไม่เจ้าคะ นางชอบจำเรื่องขี้ประติ๋วเหล่านี้”

เมื่อสงบอารมณ์ลง ลั่วเซิงพูดอย่างหมดหนทางว่า “เช่นนั้นก็ลองถามดูเถอะ”

คืนนี้ไม่ใช่เวรของโค่วเอ๋อร์ หงโต้วออกไปไม่นานก็เรียกโค่วเอ๋อร์เข้ามา

“คุณหนูมีเรื่องจะถามบ่าวหรือเจ้าคะ”

ลั่วเซิงพยักหน้าเบาๆ ถามเรื่องที่นางถีบพระชายาและน้องสาวนางลงคูน้ำ

“เรื่องนี้หรือ บ่าวจำได้เจ้าค่ะ” โค่วเอ๋อร์ครุ่นคิด “คุณหนูรองเฉียวโอ้อวดต่อหน้าท่านว่าพี่สาวนางจะได้แต่งงานกับรัชทายาทกลายเป็นพระชายา ท่านได้ยินแล้วไม่พอใจก็เลยถีบนาง อันที่จริงท่านไม่ได้ตั้งใจถีบนางลงคูน้ำ ใครจะไปรู้ว่าข้างๆ มีคูน้ำพอดี ว่าไปแล้วก็บังเอิญ…”

“พูดความจริง” ลั่วเซิงพูดเสียงราบเรียบ

โค่วเอ๋อร์สีหน้าเคร่งขรึม “ท่านตั้งใจจริงๆ เจ้าค่ะ คุณหนู พรุ่งนี้ไปหาพระชายา หากพระชายาใจแคบพูดถึงเรื่องอดีต ท่านจะยอมรับว่าท่านตั้งใจไม่ได้นะเจ้าคะ…”

ลั่วเซิงนวดหว่างคิ้วเบาๆ

นางรู้แล้ว

วันรุ่งขึ้น ค่อนข้างโชคร้าย เมื่อลั่วเซิงออกเดินทาง ท้องฟ้าก็มืดครึ้มเหมือนฝนจะตก

โค่วเอ๋อร์เตรียมร่มสองคันไว้ให้บนรถม้า ถามอย่างไม่ยินยอมว่า “คุณหนู ไม่ต้องให้บ่าวไปเป็นเพื่อนจริงๆ หรือเจ้าคะ”

หงโต้วความจำไม่ดี หากจะเข้าวัง นางน่าจะเหมาะสมกว่า

นางเป็นคนรอบคอบเช่นนี้ เหตุใดจึงถูกหงโต้วแย่งหน้าที่ไปทุกครั้งนะ

โค่วเอ๋อร์รู้สึกไม่ยุติธรรม หงโต้วก็ถ่มถุยทีหนึ่ง “เจ้าไปทำอะไร หากคุณหนูเจออันตราย เจ้าก็บ่นเป็นอย่างเดียว”

เจ้าเด็กเลวนี่ยังกล้าแข่งกับนางหรือ

หากมีใครรังแกคุณหนู นางจัดการได้อย่างน้อยก็สามคน

“ในวังจะมีอันตรายอะไรกัน หากมีอันตรายจริงๆ อาศัยเพียงแรงของคนๆ เดียวก็สู้ไม่ได้อยู่ดี เฮ้อ…” เมื่อเห็นรถม้าขยับ โค่วเอ๋อร์ก็สะบัดผ้าเช็ดหน้าอย่างโมโห

ในรถม้า ลั่วเซิงหลับตาลงเพื่อพักสายตา

เสียงล้อรถดังเอี๊ยดอ๊าดชวนให้รู้สึกเบื่อหน่าย

“คุณหนู เหตุใดเมื่อคืนไคหยางอ๋องไม่ได้มากินข้าวหรือเจ้าคะ” หงโต้วเกริ่น

ขนตาลั่วเซิงขยับไหวเล็กน้อย นางไม่ได้ลืมตาขึ้น

หงโต้ววิเคราะห์ต่อไปว่า “วันก่อนยังจ่ายเงินล่วงหน้ามาหนึ่งหมื่นตำลึง ตามหลักแล้วเมื่อคืนน่าจะมากินให้อิ่มหนำถึงจะถูก… เห็นทีไคหยางอ๋องคงเจอเรื่องอะไรเข้าจริงๆ…”

ลั่วเซิงลืมตา น้ำเสียงเยือกเย็น “หากพูดมากอีก ครั้งหน้าจะพาโค่วเอ๋อร์มาแทน”

หงโต้วรีบปิดปากทันที

คุณหนูอารมณ์ไม่ดีหรือ

ต้องไม่ใช่เพราะเข้าวังจึงอารมณ์ไม่ดีแน่นอน ถึงอย่างไรครานั้นคุณหนูก็ไม่ได้เสียเปรียบ หากจะให้พูดเรื่องอารมณ์ไม่ดีก็ควรจะเป็นพระชายาที่จะอารมณ์ไม่ดีมากกว่า

แล้วเหตุใดคุณหนูถึงอารมณ์ไม่ดีนะ

เมื่อครู่นี้พูดถึงไคหยางอ๋อง… หงโต้วกระจ่าง รู้สาเหตุแล้ว

เมื่อเข้าใจแล้ว หงโต้วก็เอ่ยปากถามว่า “คุณหนู ท่านคิดถึงไคหยางอ๋องหรือเจ้าคะ”

ลั่วเซิงผู้สงบนิ่ง ครานี้อดสะดุ้งเล็กน้อยไม่ได้ นางมองสาวใช้ตัวน้อยที่ใช้คำพูดน่าตะลึงออกมาด้วยใบหน้านิ่งขรึม

“หากท่านคิดถึงก็ให้เจ้าสือซานหั่วไปจวนอ๋องเรียกท่านอ๋องออกมาสิเจ้าคะ ทำไมต้องทำให้ตนเองหดหู่ด้วยเล่า”

เรื่องขี้ประติ๋ว หากไคหยางอ๋องไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ นางจะช่วยคุณหนูฉุดกลับจวนแม่ทัพใหญ่เอง

จะว่าไปแล้ว บุรุษมีฐานะสูงส่งเกินไปก็ไม่ดี

“อย่าพูดเหลวไหล ไม่เกี่ยวกับไคหยางอ๋อง” ลั่วเซิงหลับตาลงอีกครั้ง

นางแค่กำลังคิดว่าผ่านไปสิบสองปีแล้ว เฉาฮวาเป็นอย่างไรบ้างต่างหาก

ในบรรดาสี่สาวใช้ใหญ่ ซูเฟิงเฉลียวฉลาด เจี้ยงเสวี่ยเด็ดเดี่ยวใจกว้าง ซิ่วเย่ว์น่ารักไร้เดียงสา ส่วนเฉาฮวาเป็นคนอ่อนไหวกว่าผู้ใด

ด้วยนิสัยของเฉาฮวา ยอมถูกเว่ยเชียงเจ้าเดรัจฉานนั่นฝืนใจมาสิบสองปี นางต้องอดทนต่อความทุกข์ทรมานเพียงใด

ส่วนเรื่องทรยศ… อันที่จริงนางเองก็เคยคิดถึงความเป็นไปได้นี้

ใจคนเปลี่ยนง่าย เงินทองบังตา ไม่มีใครรับปากได้ว่ามนุษย์คนหนึ่งจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

นางจึงต้องมาดูกับตาตนเองที่นี่

ไม่ว่าอย่างไร เทียบกับการทรยศนางและตกหลุมรักเว่ยเชียงแล้ว นางอยากเชื่อว่าเฉาฮวายังเป็นสาวใช้ของนางมากกว่า

ยังคงเป็นสายลม บุปผา หิมะและจันทรา[1]ของนาง

ลั่วเซิงใช้ปลายนิ้วกดหางตาเบาๆ เพื่อกลั้นน้ำตา

ตอนนี้เฉาฮวาน่าจะได้ชิมไชเท้าดองที่เว่ยเชียงเอาไปให้แล้ว หากสำเร็จ เช่นนั้นนางก็จะรู้ว่ามีหอสุราแห่งหนึ่งที่ชื่อมีหอสุราบนถนนชิงซิ่ง

ผู้อื่นล้วนคิดว่าชื่อมีหอสุราชื่อนี้มีความหมายตามชื่อ ตรงไปตรงมาจนดูเชย

อันที่จริงแล้วไม่ใช่

ในปีนั้น ซิ่วเย่ว์ถามนางว่าเราจะตั้งชื่อหอสุราว่าอะไร

นางมีบิดามารดารักเอ็นดู มีเหล่าพี่หญิงคอยปกป้อง ฐานะสูงส่ง ไร้เรื่องกังวลใจ

นางมองสาวใช้ทั้งสี่ก็นึกชื่อของหอสุราขึ้นมาได้ชื่อหนึ่ง

สายลมพัดโชย บุปผาผลิบาน หิมะโปรยปราย จันทราสาดแสง สี่บรรยากาศงดงาม

นางที่ยังเป็นเด็กจะคิดได้อย่างไรว่าในโลกมนุษย์ไม่ได้มีเพียงสายลม บุปผา หิมะและจันทรา ยังมีหมาป่า เสือและเสือดาวด้วย

ต่อมานางรู้แล้ว นางตายแล้วและเติบโตแล้ว

หงโต้วแอบมองลั่วเซิง

ไม่เกี่ยวกับไคหยางอ๋องจริงหรือ

คุณหนูดูอารมณ์เสียมากเลย

ในที่สุดรถม้าก็หยุดลง

หงโต้วประคองลั่วเซิงลงจากรถม้า สีหน้านางกลับมาสงบดังเดิม ขันทีที่รออยู่ที่นั่นนานแล้วพาพวกนางไปยังตำหนักของพระชายา

“พระชายา คุณหนูลั่วมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

พระชายารู้ว่าวันนี้ต้องเจอคุณหนูลั่ว นางจึงเลือกใส่ชุดโอ่อ่าเพื่อรับมือกับสถานการณ์ เอ่ยปากอย่างเคร่งขรึมว่า “เชิญเข้ามา”

ไม่นาน หญิงสาวในชุดสีพื้นก็ค่อยๆ เดินเข้ามา

“ถวายพระพรพระชายาเพคะ”

พระชายามองหญิงสาวอย่างพินิจพิเคราะห์ ยิ้มเอ่ยว่า “ไม่เจอกันหลายปี คิดไม่ถึงเลยว่าคุณหนูลั่วจะโดดเด่นเช่นนี้”

[1] ชื่อของสาวใช้ทั้งสี่คนมีคำว่าสายลม บุปผา หิมะและจันทราในชื่อ

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท