ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 97 แผนการหลบหนีเริ่มต้นขึ้น!

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 97 แผนการหลบหนีเริ่มต้นขึ้น!

บทที่ 97 แผนการหลบหนีเริ่มต้นขึ้น!

ไม่ว่าสีหน้าของหลิงเยว่ขณะที่จ้องมองไปยังเนื้อสัตว์อสูรจะอ้อนวอนหรือบิดเบี้ยวเพียงใด เหลยซาก็ยังคงเฉยเมยและพานางไปหาเจ้าเมืองอย่างไร้ความปรานี

“ท่านเจ้าเมือง ข้านำตัวคนมาแล้วขอรับ”

เมื่อหลิงเยว่เห็นเจ้าเมืองด้วยตาของตนเอง ปากของนางก็อ้าค้าง ด้วยไม่คาดคิดเลยว่าเจ้าเมืองที่ดูแลเมืองฮั่วหยางจะเป็นสาวงามที่ดูอายุน้อยกว่าสามสิบปีเช่นนี้!

แต่หญิงงามผู้นั้นดูเย็นชาราวกับน้ำแข็ง เพราะเพียงถูกเหลือบมอง หลิงเยว่ก็กระเด้งตัวลุกขึ้นยืนโดยพลัน จากนั้นนางก็ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนและโค้งคำนับให้อีกฝ่าย

“คารวะท่านเจ้าเมือง…”

“เจ้าเป็นคนสำนักไหน ข้าอยากฟังความจริง”

ดวงตาจากสาวงามกดดันยิ่ง แต่หลิงเยว่ยังคงยืนกรานว่านางมาจากสำนักเยว่อิน

“ไม่อยากบอกความจริงอย่างนั้นหรือ?” สาวงามยกมุมริมฝีปากขึ้นแล้วโบกมือให้เหลยซาเข้ามา “จับนางไปขังไว้ที่ห้องขังหมายเลขเจ็ดเสีย”

แรงกดดันจากหญิงสาวต่อหลิงเยว่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ จนเด็กสาวเหงื่อไหลไม่หยุด และขาของนางก็แทบจะทรุดลงไปกับพื้น ทว่านางยังคงกัดฟันพยายามยืดหลังให้ตรงและปฏิเสธที่จะยินยอมแต่โดยดี

ไม่มีทางบอกว่านางมาจากสำนักหลานเทียนแน่! สถานที่แห่งนี้ใกล้กับถ้ำหมอกดำมากเกินไป ดังนั้นจึงไม่สามารถเสี่ยงได้!

แม้ว่าเหลยซาจะไม่พอใจกับคำพูดโกหกของหลิงเยว่ แต่เขาก็ยังคงอยากช่วยพูดให้นางอยู่ดี เมื่อได้ยินว่าเด็กหญิงตัวน้อยที่คอยติดตามเขาต้อย ๆ ระหว่างทางกลับมา กำลังจะถูกขังอยู่ในห้องขังที่เต็มไปด้วยพวกสวะสังคมเหล่านั้น

“ท่านเจ้าเมือง ข้ายินดีรับประกันให้นาง”

“แค่นางเรียกเจ้าว่าพี่ชายไม่กี่ครา เจ้าถึงกับยินดีรับประกันให้นางเลยอย่างนั้นหรือ?”

ซูซวงเอนกายไปกับเก้าอี้พลางไล่นิ้วบนถ้วยชาในมือ ก่อนมองดูเหลยซาด้วยท่าทางเฉยชา

“ขอรับ” เหลยซาตอบด้วยสีหน้าเฉยชาเช่นเดียวกัน

ขณะนี้ทั้งสองคนเหมือนพยายามแข่งกันว่าใครจะเย็นชามากกว่ากัน และหลิงเยว่ที่กำลังเฝ้าดูอยู่ ก็รู้สึกเหมือนความหนาวเหน็บแผ่ซ่านมาโดนตัว

“หากท่านรู้สึกไม่สบายใจกับการมีอยู่ของข้าในเมือง ท่านจะโยนข้าออกจากเมืองฮั่วหยางก็ได้เจ้าค่ะ…”

หลิงเยว่ที่จู่ ๆ ก็พูดออกมานั้น รู้สึกหนาวสั่นไปถึงกระดูกจากการจ้องมองที่เฉียบคมของทั้งสองพร้อมกัน

นางพูดผิดอีกแล้วหรือ?

ซูซวงมองหลิงเยว่ตั้งแต่หัวจรดเท้า และในที่สุดดวงตาเฉยชาก็จับจ้องไปยังกระโปรงที่ขาดรุ่งริ่ง ซึ่งไม่สามารถมองเห็นสีดั้งเดิมได้ ทันใดนั้นนางก็หัวเราะขณะจ้องมองมัน “เจ้าจะออกไปเมื่อใดก็ได้ แต่ต้องบอกให้สำนักหลานเทียนส่งโอสถมาให้ข้าชุดหนึ่งด้วย”

หลิงเยว่ “!!!”

นางถูกเปิดเผยตัวตนได้อย่างไร เป็นเพราะชุดของศิษย์สายตรงหรือ? แต่ชุดของนางสกปรกมากเสียจนมองไม่เห็นสี หนำซ้ำยังขาดรุ่งริ่งจนจำแทบจะไม่ได้เลยนี่นา? หรือว่าพวกคนที่มีระดับการบำเพ็ญสูงจะมีดวงตาที่สามารถมองทะลุผ่านความคิดได้ใช่หรือไม่?

นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว! หลิงเยว่ตื่นตระหนก ทว่าด้วยการแสดงออกของเด็กสาวจึงสามารถปกปิดได้ทัน ก่อนพูดอย่างใสซื่อว่า “ท่านเจ้าเมือง ท่านกำลังพูดถึงเรื่องอะไร ข้า… ไม่เข้าใจ”

“ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปเยี่ยมยอดเขาโอสถของเจ้าในอีกสามเดือน”

ซูซวงยืนขึ้นและตบหลังเหลยซา “เจ้าทำได้ดีมากที่สามารถนำปลาตัวใหญ่กลับมาได้!”

สำหรับสาเหตุที่นางรู้ว่าหลิงเยว่มาจากยอดเขาโอสถของสำนักหลานเทียนนั้น แน่นอนว่าเป็นเพราะ ‘ผ้าขี้ริ้ว’ ที่หลิงเยว่สวมอยู่

เชียนเย่ซา ต้นไม้ที่มีอายุนับพันปีซึ่งมีเพียงสองต้นทั้งโลกบำเพ็ญเซียน ล้วนถูกถอนไปไว้ที่สำนักหลานเทียนเพื่อที่ยอดเขาโอสถจะเอาใยของมันมาทำเป็นชุดสวมใส่ให้กับศิษย์สายตรงของผู้นำยอดเขา

ปลาตัวนี้ช่างใหญ่จริง ๆ!

ขณะที่ซูซวงกำลังจะจากไปก็นึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นได้ จึงหันกลับไปจัดการ ‘ผ้าขี้ริ้ว’ ให้กับหลิงเยว่

“ถ้าเจ้าต้องการหลีกเลี่ยงการถูกจดจำก็จงเปลี่ยนผ้าขี้ริ้วเชียนเย่นี้เสีย”

“อย่างไรก็ตาม ข้าสามารถเก็บความลับการมีอยู่ของเจ้าที่นี่ไว้ได้ แต่ถ้ายังไม่มีใครมารับเจ้าเป็นเวลาสามเดือน…”

ซูซวงไม่ได้พูดส่วนที่เหลือ แต่นางเชื่อว่าเด็กหญิงตัวน้อยเข้าใจ

สีหน้าของหลิงเยว่บ่งบอกว่าตนเองทนไม่ได้อีกต่อไป

แม้ว่านางต้องการจะถอดชุดของตัวเองตั้งแต่แรก แต่จะให้ทำอย่างไรเล่า ถ้าถอดมันแล้วเด็กสาวก็ต้องเผยร่างเปลือยเปล่าอย่างนั้นหรือ ต้องไม่ลืมว่าแหวนมิติและถุงเก็บของทั้งหมดของนางหายไปแล้วด้วย

หรือต่อให้นางจะมีเสื้อผ้าใหม่ แต่ก็ไม่มีเวลาเปลี่ยนอยู่ดี

ซูซวงโยนชุดกระโปรงสีดำลงพื้นก่อนจะตบหน้าหลิงเยว่เบา ๆ เป็นเชิงหยอกล้อแล้วจากไปอย่างสงบ แม้มองเพียงแผ่นหลังของหญิงสาว ก็รู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังมีความสุข

เหลยซากะพริบตาปริบ ๆ หลังจากเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว แต่ด้วยข้อมูลที่มากจนเกินไป ทำให้เขาไม่สามารถแยกแยะข้อมูลได้ครบถ้วน

“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียก่อน พอเปลี่ยนเสร็จแล้วข้าจะพาเจ้าไปกินข้าว”

หลิงเยว่ไม่มีความอยากอาหาร ไม่มีความอยากอาหารแม้แต่น้อยเลย แต่นางยังคงหยิบกระโปรงขึ้นมาอย่างเชื่อฟังและเข้าไปในห้องข้าง ๆ เพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า

นางเดินออกมาในชุดกระโปรงสีดำแต่ใบหน้านั้น…

ถ้าเหลยซาไม่ใช่คนที่มีจิตใจแข็งแกร่ง เขาคงจะหัวเราะออกมาเสียงดังเป็นแน่ ด้วยไม่เคยพบใครที่ทำให้เขานึกขบขันเช่นนี้มาก่อน

หลิงเยว่เหลือบมองเหลยซาอย่างเศร้าใจ เด็กสาวไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องปกปิดใบหน้าที่แท้จริงของตัวเอง มิฉะนั้นแล้วหมอกดำอาจรู้ว่านางหน้าตาเป็นอย่างไร และบางทีเด็กสาวอาจถูกตั้งค่าหัวแล้วด้วยซ้ำ นางไม่แม้แต่จะกล้าออกไปข้างนอกโดยไม่อำพรางใบหน้าที่แท้จริงด้วยการแต่งหน้าเลย

หลิงเยว่ที่กำลังกินข้าวและน้ำแกงเนื้อต้มรู้สึกเหมือนกำลังเคี้ยวหมาก เด็กสาวดูเหม่อลอยนัก

ไม่ นางต้องหนี!

หลบหนีในขณะที่คนทั้งเมืองกำลังเฉลิมฉลอง มีแค่ตอนนี้เท่านั้นที่การป้องกันจะอ่อนแอที่สุด!

หลิงเยว่ตัดสินใจยกชามขึ้นซดอย่างรวดเร็ว จนหัวเล็ก ๆ แทบจะจมลงไปในชาม เด็กสาวกำลังสังเกตเส้นทางหนีที่เป็นไปได้ด้วยการกวาดสายตามองรอบข้าง หากถุงเก็บของยังอยู่กับตัว นางคงจะจิบชานมวิญญาณสักสองสามแก้ว แล้วกลายเป็นหญ้าหลบหนีไป ทว่าตอนนี้… เฮ้อ…

ดูเหมือนว่าดอกไม้ดำน้อยจะได้รับบาดเจ็บสาหัสและหมดสติไปแล้ว ไม่มีอะไรที่สามารถช่วยเหลือนางได้เลย ค่าพลังวิญญาณก็ลดลง จากมากกว่าหกสิบล้าน กลับเหลือเพียงสามล้านกว่าเท่านั้น หลิงเยว่ต้องใช้มันอย่างระมัดระวังที่สุด

ลองด้วยตัวเองก่อน ถ้าไม่ได้ผลก็ลองหาวิธีใหม่อีกครั้ง

“พี่ชาย ข้าง่วงมาก มีที่ให้ข้านอนหรือไม่?” หลิงเยว่ลืมตาดำคล้ำด้วยท่าทางเหนื่อยล้า

“ข้าจะพาเจ้าไปเอง!” สมาชิกในกลุ่มที่แสนใจดีวางชามลง แล้วพาหลิงเยว่ออกไป

ระหว่างทางที่เดินไป ก็มีเสียงหัวเราะของผู้คนมากมายเซ็งแซ่ขึ้น หากตัวตนของนางไม่ถูกเปิดเผย หลิงเยว่ก็คงจะเป็นหนึ่งในคนที่มีความสุขเหล่านั้นไปเสียแล้ว ทว่าน่าเสียดาย… ที่สิ่งต่าง ๆ ไม่สามารถคาดเดาได้

หากนางโชคดีหลบหนีสำเร็จ หลิงเยว่ก็จะไม่ไปยังสำนักจ้านเจี้ยน ทว่าตั้งใจจะกลับไปที่สำนักหลานเทียนเพื่อความอยู่รอด

“เสี่ยวชิง เจ้ามีความชอบแบบพิเศษอย่างนั้นหรือ?”

สมาชิกของกลุ่มที่แสนใจดีชี้ไปยังใบหน้าของชายหนุ่มข้างหลิงเยว่ แต่สายตาของอีกฝ่ายกลับจับจ้องไปที่ใบหน้าของเด็กสาวด้วยสีหน้าที่ยากจะอธิบาย

การแต่งหน้าเช่นนี้กำลังเป็นที่นิยมในภาคใต้ใช่หรือไม่?

‘เสี่ยวชิง’ เป็นนามแฝงของหลิงเยว่

“มันดูไม่ดีหรือเจ้าคะ?”

หลิงเยว่จงใจวาดนิ้วเรียวขึ้นม้วนผมยาวของนาง แล้วมองอีกฝ่ายอย่างเย้ายวน

สมาชิกของกลุ่มที่แสนใจดีรู้สึกว่าท้องไส้ของเขาปั่นป่วนนัก และรีบหันหน้าหนีก่อนจะอาเจียนออกมา

หลิงเยว่ถูกนำตัวไปยังห้องที่ถูกจัดแจงอย่างเรียบง่าย นางไม่ได้สังเกตอะไรมาก ก่อนจะปีนขึ้นไปบนเตียงอย่างรวดเร็วและหลับลึกไปในไม่กี่อึดใจ

สมาชิกของกลุ่มที่แสนใจดีแม้จะต้องการอธิบายสักสองสามคำ แต่เมื่อมองไปยังหลิงเยว่ที่แสนเหนื่อยล้าเข้าสู่ห้วงนิทราไปเสียแล้ว เขาก็ปิดปาก ก่อนจะถอยออกไปอย่างเงียบ ๆ และปิดประตูห้องเบา ๆ

เสียงฝีเท้าดังไกลออกไปเรื่อย ๆ หลิงเยว่แสร้งหลับตาจนกว่าจะไม่ได้ยินเสียงฝีเท้านั้นอีก…

แผนการหลบหนีเริ่มต้นขึ้นได้!

หลังจากลุกขึ้นและมองออกไปนอกหน้าต่างจนสุดสายตา ก็พบว่าสถานที่แห่งนี้ใกล้กับกำแพงเมืองมาก ซึ่งเหมาะสำหรับการหลบหนียิ่งนัก สิ่งที่นางต้องทำคือขุดอุโมงค์ลอดใต้กำแพงเมืองเพื่อหนีออกไป!

หลิงเยว่ปีนออกไปนอกหน้าต่าง ก่อนจะปกปิดตัวเองและรีบเข้าหากำแพงเมืองทันที

ที่นี่ไม่ใช่สถานที่จัดงานเลี้ยงจึงมีคนไม่มากนัก ดังนั้นระหว่างทางจึงเป็นไปอย่างราบรื่น

หลิงเยว่โปรยเมล็ดพืชสองสามเมล็ดที่ตีนกำแพงเมือง จากนั้นก็นั่งยอง ๆ ในที่ลับตาคนพลางใช้วิชาหมื่นชีวางอกเงย

แต่หารู้ไม่ว่าตรงมุมที่หลิงเยว่คิดว่าตัวเองซ่อนได้แนบเนียนแล้วนั้น จะมีทหารยืนอยู่บนกำแพงเมืองมองเห็นได้ชัดเจน ทหารยามกำลังจะลงไปจับนางออกมา แต่ทันทีที่เขาก้าวไปสองก้าวก็ถูกฉุดให้ก้าวถอยหลัง

“หัวหน้า ท่านจะปล่อยไว้เช่นนี้หรือ?”

หัวหน้าส่ายหัว “ไม่จำเป็น แค่แกล้งทำเป็นไม่เห็นอะไรเท่านั้น”

แม้ทหารยามจะไม่เข้าใจท่าทีของอีกฝ่าย ทว่าเขาก็ยังคงเชื่อฟังคำสั่ง และเฝ้ากำแพงเมืองอย่างเงียบ ๆ ต่อไป แต่หางตานั้นยังคงเหลือบมองไปยังเด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังนั่งยอง ๆ อยู่ตรงมุมมืด และในขณะนี้นางกำลังประสานมือเข้าด้วยกัน พลางพึมพำอะไรบางอย่าง

ในขณะนี้จิตใจของหลิงเยว่มุ่งความสนใจไปที่การควบคุมพืชวิญญาณ ตอนนี้เมล็ดพืชไม่ได้เติบโตโดยการผุดขึ้นบนดิน แต่มันกลับเติบโตโดยการมุดลงดิน เพื่อออกไปอีกฝั่งของกำแพง และพวกพืชก็ทำงานอย่างหนักเพื่อใช้รากของพวกมันขุดอุโมงค์ให้นาง

เพียงใช้เวลาไม่นาน หลิงเยว่ก็ได้อุโมงค์ที่ต้องการ

นางลงไปในอุโมงค์ใต้ฝ่าเท้า ก่อนจะเห็นว่าอุโมงค์นั้นยาวนัก คงเป็นเพราะความหนาของกำแพงเมือง หลิงเยว่จึงคลานผ่านอุโมงค์ไปอย่างนั้นเป็นเวลานาน ก่อนจะดันดินเหนือศีรษะด้วยมือ แล้วค่อย ๆ โผล่ออกมาจากพื้นดิน

อ่า… อากาศข้างนอกช่างสดชื่นนัก!

หลิงเยว่สูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะดีดตัวกระโดดขึ้นจากพื้น แล้วรีบหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว

ทหารยามคนแรกบนกำแพงเมืองที่เฝ้าดูเหตุการณ์ทั้งหมด “…”

ไม่ต้องไปจับกลับจริงหรือ?

ความคิดนี้หายไปเมื่อร่างหนึ่งปรากฏขึ้นข้าง ๆ หลิงเยว่

ไม่คาดคิดจริง ๆ ว่าเจ้าเมืองจะมีรสนิยมแปลกประหลาดเช่นนี้

“เจ้าวิ่งเร็วดีนี่ จะไปไหนหรือ?”

หลิงเยว่หันไปมองอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะเห็นคนที่เดินเร็วตามมาอยู่ข้าง ๆ เด็กสาวก็พูดอย่างตะกุกตะกักทันที “ทะ… ท่าน!”

“อะไรกัน เราเพิ่งแยกกันไม่นาน เจ้ากลับลืมข้าแล้วหรือ?”

ซูซวงที่ยิ้มยากอยู่เสมอกลับเผยรอยยิ้มที่หาได้ยากยิ่ง

หลิงเยว่หยุดและฝืนยิ้ม “ท่านเจ้าเมือง ท่านเองก็ชอบออกมาเดินเล่นหลังมื้ออาหารเหมือนกันหรือเจ้าคะ?”

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท